หมออนามัย โรคกินดีอยู่ดี


หมออนามัย โรคกินดีอยู่ดี

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

นายอานนท์ ภาคมาลี นักวิชาการสาธารณสุข ชำนาญการ

 

ความรู้เรื่องโรค

การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง  “กินดี อยู่ดี” เพื่อต้านทานโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจากอาหารการกิน ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากขนม นม เนยและอาหารจานด่วน ไก่ทอดมันทอด อาหารอบกรอบ น้ำอัดลมแถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก         แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองโรคมะเร็งได้แค่ไหน
อาหารมีผลอย่างไรที่ทำให้เกิดโรคได้
    เมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะถูกย่อยเป็นโครงสร้างเล็กๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ หรือเมตาบอลิซึม ที่ทำให้เซลล์เล็กๆ ในร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์และเป็นพลังงาน แต่เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารในสัดส่วนที่ไม่สมดุลเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ทำให้มีแนวโน้มของการได้รับสารอาหารบางประเภทมากเกิน โดยเฉพาะแป้ง น้ำตาล และไขมัน ยกตัวอย่างเช่น แป้ง น้ำตาล ที่มักพบในอาหารจานด่วนและขนมต่างๆ เมื่อได้รับมากเกินไปจะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และเมื่อมีปริมาณไม่เพียงพอ จะนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้แป้งและน้ำตาลที่เหลือใช้จะเปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเมื่อเกิดการสะสมมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายจะเริ่มแปรปรวนและทำงานบกพร่องจนนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น ไขมันที่ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดจะทำให้หลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น ปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดจนอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง       การป้องกันย่อมดีกว่าแก้ไข กินดี อยู่ดีจึงต้องเริ่มจากการเลือกอาหารในแต่ละวันให้มีสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมลดและเลี่ยงอาหารบางชนิดโดยมีหัวใจหลักดังนี้
เลือกกินอาหารที่หลากหลาย
        เนื่องจากอาหารแต่ละชนิดจะมีองค์ประกอบของสารอาหารไม่เหมือนกัน โดยจะมีปริมาณที่แตกต่างกันออกไปตามหมวดหมู่ของอาหาร เช่น ส้มจะเป็นแหล่งของวิตามินซี แต่มีวิตามินบี 12 อยู่น้อย ในขณะที่ชีสจะมีปริมาณของวิตามินบี 12 อยู่มากกว่า การกินอาหารชนิดเดียวกันทุกๆ วันจะทำให้ร่างกายได้สารอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่กินมังสวิรัติมีแนวโน้มที่จะขาดโปรตีน วิตามินบี แคลเซียม และธาตุเหล็กได้ง่าย จึงอาจจำเป็นต้องรับประทาน วิตามิน หรืออาหารเสริม ในหนึ่งวันจึงควรเลือกอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ธัญพืช ผัก ผลไม้ นม เนื้อสัตว์และถั่วตามปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน

 

คุมปริมาณพลังงานและสัดส่วนสารอาหารในแต่ละวัน
       คุณควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ให้พลังงานต่ำ การหมั่นสังเกตฉลากแสดงปริมาณสารอาหารที่เป็นองค์ประกอบ ในอาหารนั้นๆ จะทำให้เข้าใจและสามารถกำหนดสัดส่วนการกินใน แต่ละมื้อได้ดีขึ้น โดยเฉลี่ยพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน 50% ควรมาจาก กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งควรเน้นอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว และธัญพืชต่างๆ อาหารกลุ่มโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วต่างๆ ควรได้รับประมาณ 15% ส่วนที่เหลือ 35% มาจากไขมันชนิดดีหรือไขมันที่ไม่อิ่มตัวกินธัญพืชผักและผลไม้เป็นหลัก อาหารจำพวกธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีคุณค่าแล้ว ยังเป็นกลุ่มของอาหารที่มีไขมันต่ำมาก ทำให้อิ่มนานเพราะมีใยอาหารปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ใยอาหารซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีจะช่วยในการขับถ่ายและดูดซึมสารพิษในลำไส้ โดยขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ จึงช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษ และลดอาการท้องผูกริดสีดวงทวารและลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ได้
เลือกกินแต่ไขมันชั้นดี
     ไขมันไม่ได้มีโทษไปเสียทุกชนิด ร่างกายยังต้องการไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างความอบอุ่น ช่วยในการทำงานของสมอง และเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ไขมันที่ดีคือไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมัน-ข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย และปลาทะเล ฯลฯ ส่วนไขมันชนิดเลวคือไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับ คลอเลสเตอรอลในร่างกาย เพิ่มขึ้น อาจสะสมอุดตันในเส้นเลือด น้ำมันชนิดนี้มักพบในกะทิ น้ำมัน-มะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไขมันจากสัตว์ และนม แต่ในเมื่อนมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สูง คุณอาจเปลี่ยนมาดื่มนมไขมันต่ำแทนก็ได้
ลดน้ำตาลลง
     อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตซึ่งได้แก่แป้งและน้ำตาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการย่อยจะได้กลูโคส ซึ่งก็คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง กลูโคสเป็นสารที่ให้พลังงานกับร่างกาย ในขณะเดียวกันหากมีมาก เกินไปจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม จึงไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการ ควบคุมน้ำหนักตัว นอกจากนี้การมีน้ำตาลอยู่ในร่างกายปริมาณสูงจะ ทำให้การสร้างอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเสียสมดุลไป เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงขนมหวานหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน การเลือกกินข้าวกล้องที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะทำให้ร่างกายค่อยๆ สลายกลูโคสออกมาอย่างช้าๆจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้
เลี่ยงรสเค็ม
      อาหารส่วนใหญ่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบในปริมาณสูง มีอยู่ในอาหารทั่วไปเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรส น้ำปลา ขนมกรุบกรอบ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป และอาหารที่มีรสเค็มทุกชนิด จึงเป็นไปได้ว่าเรามักจะได้รับโซเดียมเกินความต้องการของ ร่างกาย แม้ว่าโซเดียมจะมีประโยชน์ช่วยควบคุมปริมาณน้ำและความดัน-เลือดในร่างกาย แต่การได้รับโซเดียมมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคความดัน-โลหิตสูงได้ โดยในผู้ใหญ่แนะนำว่าควรได้รับประมาณวันละไม่เกิน1,100-3,300มิลลิกรัม
ระวังภัย7โรคร้ายด้วยการกินให้ถูกวิธี
     ถ้าคุณเป็นคนกินไม่เลือก ตามใจปากอยู่ร่ำไป เมื่อร่างกายที่อยู่ในภาวะโภชนาการไม่ดีไปนานๆ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาโรคเรื้อรังต่างๆ ขึ้นตามมาได้ ซึ่งโรคหลักๆ จากอาหารมีอยู่ไม่มากตามที่เกริ่นไว้แต่ต้น ดังนั้นถ้าสายเสียแล้วที่จะแก้ไข การเลือกวิธีโภชนะบำบัด (diet therapy) ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เพื่อให้การรักษาได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ร่วมไปกับการรักษาทางการแพทย์
เป็นโรคเบาหวานต้องคุมน้ำตาล
       โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้น้อยลง รวมทั้งเกิดความผิดปกติในการเผาผลาญสารอาหารด้วย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เบาหวานสามารถควบคุมได้ด้วยการควบคุมอาหาร ซึ่งสำคัญมากกว่าการรักษาด้วยยา ควรงดเว้นอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล ทุกชนิด จำกัดปริมาณผลไม้ และธัญพืชต่างๆ รวมทั้งข้าว เพราะจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด รับประทานผักประเภทใบที่มีใยอาหารสูงให้มากขึ้นในปริมาณไม่จำกัด เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ส่วนอาหารจำพวกโปรตีนยังสามารถกินได้ปกติ แต่ควรระมัดระวังเรื่องน้ำหนักตัวเพราะจะส่งผลโดยตรงกับอาการของโรคเบาหวาน การคุมอาหารควรทำไปพร้อมไปกับการควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
อาหารกับโรคหลอดเลือดแข็งและคลอเลสเตอรอล
        ภาวะไขมันในเลือดสูงจะมีผลให้ไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือดจนขาดความยืดหยุ่นและ อุดตันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ถ้าเกิดการอุดตันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ไขมันที่พบว่าเกิดการสะสม คือ คลอเลสเตอรอล เพื่อความปลอดภัยองค์การอนามัยโลกได้เสนอให้ควบคุมปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดให้ต่ำกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร เมื่อ คลอเลสเตอรอลได้จากอาหาร การควบคุมโดยลดการกินไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ ไข่แดง นม น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เพิ่มปริมาณอาหารที่มีใยอาหารให้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโอ๊ต เพราะใยอาหารจะจับกับ คลอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กทำให้ถูกดูดซึมได้น้อย และจะถูกขับออกมาทางอุจจาระ นอกจากนี้ แหล่งไขมันที่ควรได้รับในแต่ละวันควรมาจากไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าวอย่างน้อย10-12%ของพลังงานทั้งหมด
ควบคุมสัดส่วนอาหารต้านโรคอ้วน
       น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานเกิดจากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ จึงเกิดการสะสมในรูปของไขมัน จนอาจทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติและเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจ การรักษาจะต้องเริ่มจากสาเหตุ คือควบคุมปริมาณการกินอาหารให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม และออกกำลังกายให้มากขึ้น ในส่วนของอาหารนั้นจำเป็นต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อ แต่ลดพลังงานลงวันละ 500 แคลอรี จะสามารถ ลดน้ำหนักลงได้สัปดาห์ละ 1/2 กิโลกรัม เช่น เปลี่ยนจากกินข้าวมาเป็นผักที่มีใยอาหารสูงเพื่อให้อิ่มนานขึ้น งดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อติดมัน อาหารทอด และงดอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารทุกมื้อควรมีปริมาณโปรตีนที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ เช่น ถั่วชนิดต่างๆ แทนที่จะเป็นเนื้อสัตว์ที่มักจะมีไขมันสูง
โปรตีนต่ำเพื่อพยุงโรคไต
       ไต ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แต่ส่วนใหญ่จากการเผาผลาญของโปรตีน ดังนั้นอาหารที่ทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการขับถ่ายของเสีย คือ โปรตีน โรคเกี่ยวกับไตมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่โดยสรุปก็คือทำให้ไตไม่สามารถทำหน้าที่อย่างปกติได้ หลักสำคัญในการรักษาด้วยอาหารคือช่วยให้ไตทำงานน้อยลง เพื่อให้ไตได้มีโอกาสพักหรือฟื้นตัว และลดการคั่งของของเสีย อาหารที่รับประทานควรจะมีปริมาณโปรตีนน้อย แต่เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เพื่อนำไปช่วยเสริมสร้างทดแทนเนื้อเยื่อต่างๆ ที่สูญเสียไป แต่สำหรับผู้ที่เป็นไตวายเรื้อรังจะมีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง จำเป็นต้องงดโปรตีนที่มาจากนม ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และไข่ เพราะเป็นอาหารที่มีปริมาณฟอสเฟตสูง เมื่อจำกัดปริมาณโปรตีนในอาหารแล้ว พลังงานส่วนใหญ่ที่ได้รับจึงมาจากน้ำตาล ไขมัน และแป้งที่มีโปรตีนน้อย เช่น วุ้นเส้น แป้งมัน ข้าวโพด มันสำปะหลัง วุ้น ลูกชิด สาคู เป็นต้น รวมทั้งจำกัดการได้รับโซเดียม โดยหลีกเลี่ยงสารปรุงรสที่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น
โรคความดันโลหิตสูงต้องระวังเกลือ
      โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากแรงดันภายในหลอดเลือดแดงสูงตลอดเวลา โดยแรงดันค่าสูงสุด (systolic blood pressure) และแรงดันค่าต่ำสุด (diastolic blood pressure) มีค่าสูงกว่า 160/95 โรคความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมามากมาย คือหลอดเลือดแดง ไม่แข็งแรง เลือดไปเลี้ยงไม่สะดวก โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง ไต หรือจอตา ก็จะส่งผลให้เกิดอันตรายหรือถึงแก่ชีวิตได้ หลักการรักษาโรคความดันโลหิตสูงคือการควบคุมอาหาร การลดน้ำหนักลงให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงความเครียด การดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ อาหารที่ควรจำกัดคืออาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมอยู่มาก เพราะโซเดียมที่อยู่ในเกลือจะทำหน้าที่ในการควบคุมสมดุลแรงดันของผนังเซลล์ และปริมาณน้ำในร่างกาย อาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก ได้แก่ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ อาหารทะเล และยาบางชนิด นอกจากนี้ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมาก เพราะจะทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ยาก โดยน้ำหนักที่เกินมาตรฐานจะทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้นด้วย

โรคเกาต์กับกรดยูริค
       โรคเกาต์เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับกรดยูริค (uric acid) ในเลือดสูง ร่างกายได้รับกรดยูริคจากอาหาร และจากการสังเคราะห์ขึ้นในร่างกายโดยการสลายตัวของเซลล์ต่างๆ โดยจะมีอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของบริเวณที่มีการสะสมของกรดยูริค โดยเฉพาะบริเวณเนื้อเยื่อข้อต่อของกระดูก ทำให้ข้อกระดูกเสื่อม และกระดูกบริเวณนั้นผิดรูปได้ อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกาต์จะต้องมีสัดส่วนของสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแหล่งของกรดยูริค เช่น เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ ไข่ปลา ชะอม กะปิ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง สัตว์ปีก กุ้งชีแฮ้ หอย น้ำต้มกระดูก ซุปก้อน ปลาขนาดเล็ก เห็ด กระถิน ยีสต์ ปลาอินทรีย์ เป็นต้น ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ควรกินอาหารที่มีไขมันน้อยลงเพื่อให้น้ำหนักลดลง ถ้ากินไขมันมากเกินไปจะทำให้ขับถ่ายกรดยูริคได้ไม่ดี แต่อย่างไรก็ดีไม่ควรได้รับอาหารที่มีพลังงานต่ำจนเกินไป เพราะร่างกายจะมีการสลายไขมันจากเนื้อเยื่อ ออกมาใช้ ทำให้มีปริมาณกรดยูริค สะสมเพิ่มขึ้นและขับถ่ายออกจากร่างกายลดลง น้ำตาลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรงดเพราะมีผลต่อการขับถ่ายกรดยูริคด้วยเช่นกัน
ระวังอาหารห่างไกลโรคมะเร็ง
    โรคมะเร็ง (cancer) เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติ โดยจะขยายเซลล์ไปทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ด้วย พบว่าอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกจากมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวกระตุ้น ได้แก่ มลพิษจากสภาพแวดล้อมและอาหาร ข้อมูลต่างๆ จากการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการกินอาหารมีผลกับการเกิดโรคมะเร็งมาก เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจึงควรปฏิบัติดังนี้
1. จำกัดอาหารที่มีปริมาณ คลอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากพบว่ามะเร็งในลำไส้ใหญ่มักเกิดในกลุ่มผู้ที่กินอาหารที่มีไขมันและคลอเลสเตอรอลสูงเป็นเวลานานๆ
2.หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองหรือรมควันที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
3. กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักที่มีสารซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง ได้แก่ อินดอล (indole) อะโรมาติกไอโซไทโอไซยาเนต (aromatic isothiocyanate) ในดอกกะหล่ำม่วง บร็อคโคลี รวมทั้งผักและผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีและอี เช่น มะเขือเทศ ส้ม มะนาว จมูกข้าวสาลี ดอกคำฝอย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่จะช่วยลดการทำลายของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
     สำหรับแนวทางการจัดอาหารสำหรับผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง คือ ให้มีสารอาหารครบสัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการ โดยอาจจำเป็นต้องแบ่งอาหารออกเป็นหลายมื้อ ดัดแปลงอาหารให้น่ากิน รสชาติดี เนื่องจากความบกพร่องของระบบย่อยอาหารและปัญหาด้านจิตใจ ที่สำคัญควรเป็นอาหารที่ปรุงสุก
จะเห็นได้ว่าอาหารที่ดีนอกจากปรุงแต่งรสชาติได้อร่อยถูกใจแล้ว การเลือกสรรสารอาหารให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับแต่ละคนยังเป็นการป้องกันโรคได้ หรืออย่างน้อยการระวังในการกินสักหน่อยก็ทำให้คนเราอยู่กับโรคต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ลำบากมากนัก ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับอาหารที่คุณกินในแต่ละมื้อเพื่อการมีสุขภาพที่ดี

เกาต์ โรคของคนกินดีอยู่ดี

       เกาต์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากร่างกายมีกรดยูริก (uric acid) ในเลือดสูงเกินไป พบมากในผู้ชายอายุ 30 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงมักจะพบในวัยหมดประจำเดือน เกาต์เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้เมื่อเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
สาเหตุ

     เกิดจากการคั่งของกรดยูริกในร่างกาย ที่ได้จากการเผาผลาญ สารพิวรีน ซึ่งพบมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ พืชผักที่มีหน่ออ่อนหรือยอดอ่อน รวมถึงการสลายตัวของเซลล์ในร่างกายเอง ซึ่งกรดยูริกเหล่านี้ จะพบได้เป็นปกติในเลือดของเรา และจะถูกขับออกทางไต แต่ถ้าร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไป หรือไตขับกรดยูริกออกไปได้น้อยลง ก็จะเกิดการคั่งของกรดยูริกขึ้น ส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อร่างกายได้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีกรดยูริกในเลือดสูงต้องเป็นโรคเกาต์ ซึ่งการพิจารณาว่าเป็นโรคเกาต์นั้น จะต้องมีอาการปวดและอักเสบของข้อร่วมกับภาวะกรดยูริกในเลือดสูงด้วย
อาการ

        ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้ออย่างรุนแรงเนื่องจากการอักเสบอย่างเฉียบพลัน มักเริ่มเป็นเพียงข้อเดียวก่อน โดยข้อที่พบได้มากที่สุด คือ นิ้วโป้งเท้า ซึ่งข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง และมักมีอาการไข้ร่วมด้วย ลักษณะเฉพาะของโรค คือ เมื่ออาการทุเลาลง ผิวหนังบริเวณนั้นจะลอก และ คัน มักเริ่มปวดตอนกลางคืนหรืออากาศเย็น ถึงแม้อาการอักเสบจะเกิดขึ้นเองอย่างเฉียบพลัน แต่อาจมีสภาวะบางอย่างเป็นปัจจัยกระตุ้นได้ เช่น ความเครียด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การกินอาหารมากผิดปกติ และ การบาดเจ็บ    การปวดข้อครั้งแรกมักปวดอยู่เพียงไม่กี่วัน ถ้าไม่ได้รักษาก็จะกำเริบอีกในระยะเวลา 6 เดือน ถึง 2 ปี โดยจะเป็นที่ข้อเดิม แต่ปวดมากขึ้น นานขึ้น และ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็จะปวดข้ออื่นๆ เพิ่มขึ้นมาด้วย เมื่อเป็นมากๆ ผู้ป่วยจะเริ่มสังเกตเห็นมีปุ่มก้อนขึ้นบริเวณที่อักเสบ เรียกว่า โทฟัส (tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของกรดยูริกนั่นเองถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะหรือในไต หากมีผลึกของกรดยูริกสะสมในไตมากๆ อาจเกิดภาวะไตวายได้ นอกจากนี้ยังมีโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

การรักษา
1.    รักษาอาการปวดอย่างเฉียบพลัน และมีอาการปวดข้อในลักษณะเฉพาะของโรคเกาต์ชัดเจน จะให้ยาคอลชิซิน (Colchicine)  ซึ่งมีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ โดยให้ยาขนาด 0.5 มิลลิกรัม ครั้งแรกให้ 1-2 เม็ดจากนั้นกินซ้ำอีก 1 เม็ดทุกๆ 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 8 ชั่วโมง แล้วให้เป็น 1 เม็ดทุก 2 ชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด อาการปวดข้อมักจะหายไปภายใน 24 - 72 ชั่วโมง ไม่ควรใช้ยานานกว่านั้น เพราะอาจเกิดการสะสมของยา ทำให้เกิดอันตรายได้ แต่ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือ ท้องเดิน ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของการเกิดพิษจากการใช้ยาคอลชิซีน ให้หยุดยาทันที แม้ว่าจะยังไม่หายปวดก็ตาม และรีบไปพบแพทย์ นอกจากนี้อาจให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ เช่น อินโดเมทาซิน หรือ ไอบูโพรเฟน ครั้งแรกให้ 2 เม็ด แล้วให้ 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง จนกว่าจะหาย แต่ไม่ควรให้เกิน 3 วัน รวมถึงควรรับประทานยาลดกรดร่วมด้วย เมื่อมีอาการปวดข้อ ผู้ป่วยควรดื่มน้ำเยอะๆ อาจใช้ผ้าร้อนประคบข้อที่ปวด แต่ห้ามนวดเพราะจะยิ่งทำให้ข้ออักเสบรุนแรงขึ้น        และควรเว้นอาหารที่มีพิวรีนสูงเช่นเครื่องในสัตว์เนื้อสัตว์ถั่วต่างๆพืชผักที่มีหน่ออ่อนหรือยอดอ่อน 
2.    ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้น หรือ มีอาการไม่ชัดเจน จำเป็นต้องตรวจวัดระดับกรดยูริกในเลือดเพื่อพิจารณาการให้ยาลดกรดยูริกในระหว่างที่ไม่มีอาการปวดข้อ โดยในช่วงแรกสามารถใช้ร่วมกับการรับประทานคอลชิซินวันละ 1-2 เม็ด เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการข้ออักเสบกำเริบรุนแรงขึ้น ยาลดกรดยูริกในเลือดมีอยู่2ชนิดคือ
2.1    ยาเพิ่มการขับกรดยูริก เช่น ยาเม็ดโพรเบเนซิด (Probenecid) ทานวันละ 1-2 เม็ด และควรดื่มน้ำมากๆ ประมาณ 3 ลิตรต่อวัน เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในไต ดังนั้นยาชนิดนี้ห้ามใช้ในผู้ที่มีนิ่วในไต หรือ ไตวาย และไม่ควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ฤทธิ์ในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายลดลง
2.2    ยาลดการสร้างกรดยูริก เช่น ยาเม็ดอัลโลพูรินอล (Allopurinol) โดยจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ, มีอาการปวดกำเริบบ่อยๆ, ใช้ยาคอลชิซีนไม่ได้ผล หรือการทำงานของไตบกพร่อง โดยให้ยาในขนาดเม็ดละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2-3 เม็ด ยาชนิดนี้ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ ดังนั้นถ้าหากรับประทานเข้าไปแล้วมีอาการคันตามตัวควรหยุดยาทันที และใช้ยาอย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคตับเพราะยานี้ทำให้ตับอักเสบได้
สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาลดกรดยูริกอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนคุมปริมาณกรดยูริกและอาการได้ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารที่มีพิวรีนสูงอย่างเคร่งครัด สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด ในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
คำแนะนำสำหรับการดูแลตัวเอง

1.   ควรดื่มน้ำมากๆประมาณสามลิตรต่อวันเพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในไต
2.   ถ้าอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละนิดอย่าลดฮวบฮาบ เพราะจะเกิดการสลายตัวของเซลล์อย่างรวดเร็ว มีผลทำให้กรดยูริกในเลือดสูงขึ้น ส่งผลต่อการกำเริบของอาการข้ออักเสบได้
3.    ขณะที่มีอาการปวดข้อ ควรงดอาหารที่มีพิวรีนสูงๆ เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด กะปิ เนื้อหมู เนื้อวัว กุ้ง หอย กุนเชียง ไส้กรอก เนื้อเป็ด เนื้อห่าน เนื้อไก่ ปลาซาร์ดีน ไข่แมงดา ชะเอม กระถิน แตงกวา หน่อไม้ หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด ดอกกะหล่ำ ถั่วต่างๆ ถั่วงอก ยอดแค ดอกสะเดา สาหร่าย ยอดผักต่างๆ แต่ถ้าไม่ปวดข้อและรับประทานยาลดกรดยูริกอยู่เป็นประจำ ก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารเหล่านี้ แต่ก็ควรบริโภคอย่างพอดีเท่านั้น ควรจำกัดอาหาร พวกไขมันและอาหารที่ให้พลังงานสูง ส่วนอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตควรบริโภคในรูปของข้าว แป้ง และผลไม้ ควรลดน้ำตาล เพราะน้ำตาลมีผลทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง ซึ่งส่งผลต่อการขับออกของกรดยูริก รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดอีกด้วย
4.    ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพราะยาบางตัว เช่น แอสไพรินยาขับปัสสาวะกลุ่มไทรอะไซด์อาจส่งผลให้การขับกรดยูริกลดลงได้
5.    ถ้าหากมีญาติพี่น้องเป็นโรคเกาต์ ควรตรวจเช็คเลือดอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากโรคนี้อาจเกิดจากกรรมพันธุ์มีผลทำให้ร่างกายขับกรดยูริกออกได้น้อยกว่าปกติได้
6.    สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการออกกำลังกาย ควรหยุดพักรอให้อาการอักเสบบริเวณข้อหายไปจนหมดก่อนหลังจากนั้นสามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องแต่อย่าหักโหมจนเกินไป

โรคเกาต์ในหญิงตั้งครรภ์

สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์นั้น มีการศึกษาออกมาแล้วว่า ยาคอลชิซีนไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติในการพัฒนาอวัยวะของทารกในครรภ์ แต่ทั้งนี้ แพทย์ยังแนะนำให้ใช้การลดปริมาณอาหารที่มีพิวรีนสูง มากกว่าการใช้ยาในการรักษา และในช่วงของการตั้งครรภ์ร่างกายของผู้หญิงจะต้องการสารอาหารมากขึ้นเพื่อส่งไปถึงทารกในครรภ์ด้วย ดังนั้นจึงควรวางแผนเรื่องการรับประทานและการลดปริมาณอาหารที่มีพิวรีนสูงร่วมกับแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารด้วย
    โรคเกาต์ในผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง

          ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีภาวะไตบกพร่อง แนะนำให้ใช้ยา Allopurinol ในการควบคุมอาการ เนื่องจากไม่มีผลต่อไต แต่หากผู้ป่วยมีการใช้ยาขับปัสสาวะร่วมด้วย จะทำให้ผลการรักษาของ Allopurinol ลดลง แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ยา Benzbromarone แทน ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีแม้ว่าจะใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะก็ตาม ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดอยู่ให้รับประทานยาพาราเซตามอล ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคไต พร้อมกับดื่มน้ำตามเยอะๆ เพื่อให้เข้าไปช่วยละลายผลึกของกรดยูริกก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้
โรคเกาต์ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับบกพร่อง

          ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีความผิดปกติของตับ ควรใช้ยาอย่างระมัดระวัง เพราะยามีผลทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้ จึงควรตรวจวัดระดับค่าเอนไซม์ตับอย่างสม่ำเสมอ ในระหว่างการใช้ยารักษา
โรคเกาต์ เป็นโรคที่สามารถรักษาและป้องกันไม่ให้อาการกำเริบได้ ถ้าผู้ป่วยเข้ารับการรักษาและใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ หลายคนกังวลกับเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย แต่หากผู้ป่วยรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอก็ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดในการรับประทานอาหารมาก เพียงแต่ต้องบริโภคแต่พอดีและดื่มน้ำเยอะๆ เท่านั้น แต่เมื่อไรที่อาการปวดกำเริบก็ควรงดเว้นอาหารที่มีพิวรีนสูง และ ควบคุมอาหารทุกชนิดที่ส่งผลต่อการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย ส่วนการออกกำลังกาย ถ้าอาการอักเสบของข้อหมดไป ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายได้แต่ไม่ควรหักโหมจนเกินไป สำหรับการใช้ยารักษาเกาต์นั้น จะต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยจากอาการและเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด ผู้ป่วยไม่ควรหาซื้อยามารับประทานเอง รวมทั้งควรแจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งที่เกิดอาการเจ็บป่วยใดๆ ขึ้นมา ว่าเป็นโรคเกาต์และใช้ยารักษาเกาต์อยู่ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้การรักษาทุกๆ อาการมีประสิทธิภาพดีที่สุด

โรคเรื้อรัง เป็นโรครักษาหายยากหรือรักษาไม่หายขาด    โรคเหล่านี้ ได้แก่    โรคความดันโลหิตสูง  โรคหัวใจและหลอดเลือด  โรคเบาหวาน  รวมถึงโรคมะเร็ง   จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า     มีผู้ป่วยโรคเรื้อรังเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทั่วประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง    สาเหตุของการเกิดโรคเรื้อรังมาจากพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม    ทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกินและเป็นโรคอ้วน    เช่น     ชอบกินอาหารหวาน  มัน  เค็ม   การขาดการออกกำลังกาย    นอกจากนั้นยังสูบบุหรี่  ดื่มสุรา   มีความเครียดสูง    เป็นต้น

             จากรายงานผลจากการตรวจสุขภาพคนไทยปีพ.ศ.2554 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบว่า    คนไทยอายุ15ปีขึ้นไปมีภาวะอ้วนร้อยละ 34.7 และอ้วนลงพุงร้อยละ 32.1   คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมาก ไขมันนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ไม่ดีเกิดเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง   หลอดเลือดเสื่อม ประสิทธิภาพเกิดโรคหัวใจ  โรคหลอดเลือดสมอง   ทำให้ไตวาย   หัวใจวาย   เป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตและเสียชีวิตได้ รอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 ซม.จเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวาน 3 - 5 เท่า นั่นหมายความว่ายิ่งพุงใหญ่เท่าไร  ยิ่งตายเร็วเท่านั้น    ซึ่งเกณฑ์การวินิจฉัย “โรคอ้วนลงพุง” ของคนไทยคือ   ผู้ชายที่มีเส้นรอบเอวตั้งแต่ 90 ซม.ขึ้นไปและผู้หญิงที่มีเส้นรอบเอวตั้งแต่ 80 ซม.ขึ้นไป   ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ใน 4 อย่าง คือ 

       1.  มีความดันโลหิตตั้งแต่130 / 85 มม.ปรอทขึ้นไป    หรือกินยาควบคุมความดันโลหิตอยู่

       2.  มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงตั้งแต่ 100 มก. / ดล.ขึ้นไป

       3. ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงตั้งแต่ 150 มก. / ดล.ขึ้นไป

       4. ระดับไขมันเอช ดี แอล คลอเลสเตอรอล  ผู้ชายต่ำกว่า 40 มก. / ดล. ผู้หญิงต่ำกว่า 50 มก./ดล.

               ปัจจุบันคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นโดยผู้ชายเฉลี่ยอยู่ที่ 69.5 ปี    ผู้หญิงเฉลี่ย 76.3 ปี   มีระบบบริการสุขภาพที่ทั่วถึง  ผู้ที่รักสุขภาพจึงควรตรวจ สุขภาพประจำปี และหากผลการตรวจผิดปกติควรใส่ใจปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและดูแลสุขภาพตนเองโดย

     Ø    ควบคุมน้ำหนักตัว ให้ดัชนีมวลกายหรือ

     Ø    หลีกเลี่ยงอาหารหวาน   มัน เค็ม เพิ่มการ กินผัก   ผลไม้ รสไม่หวานและธัญพืชให้มากขึ้น   

     Ø    หากเป็นเบาหวาน    ความดันโลหิตสูง     ควรรับการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด  

     Ø    ออกกำลังกายระดับปานกลางสม่ำเสมอ เช่น เดิน วิ่งเหยาะ หรืออื่นๆอย่างน้อย 30 นาที    สัปดาห์ละ 3 - 5 วั

หมายเลขบันทึก: 481416เขียนเมื่อ 9 มีนาคม 2012 06:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม 2012 05:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท