ผมได้รับรู้มาจากหลายกระแสทำนองว่าปัจจัยหนึ่งของการสอนหนังสือที่ดีนั้น ครูต้องมีหน้าตายิ้มแย้ม บางคนถึงกับว่าต้องมีอารมณ์ขัน แทรกเรื่องตลก ...ซึ่งผมขอเถียง
เราท่านส่วนใหญ่ยอมรับกันว่าพระพุทธเจ้าคือครูผู้ยิ่งใหญ่ (ทางฝ่ายมหายานว่าเป็นไพศยากูรู หรือ ไพศาลครู ) แต่ในพระไตรปิฏกไม่ปรากฏเรื่องขำขันสักเรื่อง แต่มีเรื่องที่ทรงติเตียนคนต่างๆเสียมากด้วยซ้ำไป
ท่านพุทธทาสภิกขุก็สอนแบบดุๆ ตลอด ไม่มีการยิ้ม (นานๆ ท่านจะหัวเราะเบาๆในลำคอสักที แต่เป็นการหัวเราะทำนองเยาะหยันความโง่ของมนุษย์เสียมากกว่า )
อาจารย์ชา ก็ไม่ค่อยเห็นว่ายิ้ม
เวลาผมสอน ชั่วโมงแรกผมมักไม่ลืมบอกนศ.ว่า ห้องเรียนนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้ตั้งใจเรียนให้ดีไม่งั้นอาจถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษเอาได้ สำหรับครูเองก็ไม่ใช่ตัวตลกที่จะต้องมาสร้างอารมณ์ขันให้พวกเธอสนใจเรียนหรอกนะ ดังนั้นอย่าหวังว่าจะได้ยินเรื่องตลกจากครูแบบที่ตั้งใจจะให้ตลก...(บรรยากาศเริ่มเครียด)
ส่วนใหญ่ผมจะพยายามล้างสมองเด็กๆ ว่า การเรียนนั้นมันมี”ความสนุก” สุดเหวี่ยงในตัวของมันเองอยู่แล้ว ขอให้ตระหนักและทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกให้ได้ แล้วมันจะตั้งใจเรียนเองโดยอัตโนมัติ โดยครูไม่ต้องมีอาชีพเสริมเป็นตัวตลกอีกต่อหนึ่ง ลำพังการเตรียมการสอนให้ดีก็ยากแล้ว ยังต้องให้ครูมาเตรียมมุกตลกอีกหรือ ๕ห้า5
...คนถางทา (๘ มีนาคม ๒๕๕๕)
บันทึกนี้มีประเด็นครับ เวลาผมสอนหากมีโอกาสผมจะสอดแทรกมุขตลก หลายครั้ง (หรือโดยส่วนใหญ่....ไม่แน่ใจ...ต้องไปถามนักศึกษา) จะฝืด บางทีอาจจะไม่ควรทำครับ ที่รู้สึกอย่างหนึ่งคือมุขตลกนี้ทำให้นักศึกษาหลุดออกจากเนื้อหาพอเขาหลุดแล้วเขาก็ใจลอยไปเลย เรื่องนี้น่าคิดครับ
เหมือนครูญี่ปุ่นเลย ขำลึกๆ ยิ้มยาก แต่คุณภาพเขาจัดเต็ม