ถอดบทเรียนการพานิสิตไปเรียนรู้จิตอาสาและปฏิบัติธรรม ตอนที่ ๒


        หลังจากที่นิสิตสาขาเทคโนโลยีการศึกษาและคอมพิวเตอร์ศึกษา ชั้นปีที่ ๑ ๓๗ ชีวิตสอบเสร็จ เราก็นัดกันว่า จะพร้อมกันกับอาจารย์อีกห้คนที่มีแนวทางร่วมกัน รวมตัวกันที่ใต้ตึกคณะศึกษาศาสตร์ เวลาห้าโมงเย็นของวันพุธที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ เดินทาง ไปยังวัดสันติวัน ซึ่ง อ.แอนได้ประสานงานกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราไม่สามารถให้รถบัสเข้าทางประตูหน้าวัดได้ เนื่องจากพร้อมกับเราในวันนี้ มีนิสิตพระจากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในจังหวัดพิษณุโลก และอุตดิตถ์ จำนวน ห้าร้อยเก้ารูป มาปักกลด (เต๊นท์) ปฏิบัติธรรมเป็นเวลาสิบวันเช่นกัน รถบัสน้าบุญพาจึงต้องมาส่งพวกเราที่หลังวัด ซึ่งพวกเรามาถึงก็เป็นเวลาที่ ทางวัดกำลังลงทำวัดเย็นพอดี ผมเองพอลงรถเสร็จก็ให้นิสิตหิ้วกระเป๋าเดินทางไปเข้กุฏิ ซึ่งแยกชาย หญิง พอ อ.แอน กับ อ.หนึ่งนำนิสิตหญิงไป ผมหันกลับมาก็ปรากฏว่านิสิตชายก็แยกไปเข้าห้องแล้ว

นั่งก็กำหนดรู้ว่านั่ง

 

           แต่ผมเองก็รู้สึกว่าไหนๆ มาวัดช่วยที่เค้ากำลังทำวัดสวดมนต์กันพอดี ดีเลย เราจะได้อาศัยทบทวนบทสวดมนต์เมื่อสมัยครั้งยังบวชที่เคยท่องได้คล่องปาก แต่ไม่รู้ว่าจะลืมไปหมดหรือยัง ก็เลยถอดรองเท้าเข้าไปสวดมนต์กับเค้าทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดทำงาน ซึ่งก็มองเห็น อาจารย์อมรรัตน์ เข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างกลุ่มแม่ชีแล้ว ผมก็เลยจะเข้าไปนั่งต่อท้าย มีแม่ชีท่านหนึ่งบอกว่า ผู้ชายเค้าให้เข้าไปข้างหน้า ผมก็เลยต้องลุกไปนั่งหน้าห้อง มองหาหนังสือสวดมนตร์ พอดีมีน้องผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ ใจดีส่งหนังสือสวดมนต์มาให้ พร้อมกับคอยบอกว่าตอนนี้เค้าสวดถึงหน้าไหนแล้ว

ใส่บาตรพระ 509 รูป

 

         "อิติปิโสพะคะวา อาราหังสัมมา....."ตรงบทภาษาบาลีนี่สบายมากเพราะเป็นนักบิน(บิณฑบาต)เก่า พอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ตรงบทแปลนี่ซิ ไม่ได้เลย เพราะตอนอยู่วัดเก่าพระท่านสวดแต่บาลี ไม่สวดแปล สวดมนต์ไปได้สักชั่วโมง หลวงพ่อท่านก็ให้ปฏิบัตวิปัสนากรรมฐาน นั่งสมาธิ ซึ่งบางคนก็ลุกขึ้นยืน บางคนก็ลุกเดิน บางคนก็นั่ง เพิ่งมาทราบภายหลัง ว่าที่วัดนี้เค้าใช้วิธีเรียนรู้ รู้กาย รู้จิต การกำหนดสติอยู่กับอารมณ์ ซึ่งเป็นวิธีการที่คนผ่านการฝึกมาแล้วบ้างจึงจะเข้าใจ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไปเดินจงกรมก่อน ตามวิธีที่เรียนมาจากคุณแม่สิริ กลินไชย แต่การเดินของผมนั้น ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ จึงเดินช้า และขวางทางพระ กับชีที่เดินตามหลัง ซึ่งหลวงพ่อท่านก็มาสอนภายหลังว่าให้เดิน ไม่เร็ว ไม่ช้า ตามปกติที่เราเดิน ตอนที่เราเดินในช่วงเวลาเราทำงาน เราไปไหนมาไหน ใช้จังหวะอย่างไร ก็เดินแบบนั้น ให้เรามีสติรู้ว่าเรากำลังเดินอยู่ หลังจากเดินแล้ว ผมก็มานั่งวิปัสนาต่อ จนเสียงระฆังดัง

ใส่บาตร

 

       นิสิตที่หายไปก็เข้ามาในศาลาพร้อมด้วยชุดขาวสะอาดตา พร้อมกับอาจารย์แอนก็นำดอกไม้ ธูปเทียนใส่พานมายื่นให้ และถามว่า "อาจารย์จะรับศีลแปด บวชทั้งชุดนี้เลยรึ" ผมเอง ซึ่งดูแล้วถ้าจะไปเปลี่ยนชุดแล้วกลับมาคงไม่ทันกาล ก็เลยบอกว่า "บวชทั้งชุดนี้แหละ " บวชใจก่อน แล้วค่อยบวชกาย

        หลวงพ่อท่าน ดูแล้วเป็นคนใจดี แต่ก็เป็นคนจริงจัง ยึดถือระเบียบ สังเกตุจากการลงทำวัด พระลูกวัดส่วนใหญ่จะลงกันครบ ไม่ค่อยขาด หลวงพ่อท่านก็ให้พวกเรากราบพระ แล้วตั้งนะโม พร้อมกับอราธนาศิลแปด พวกเราก็รับศิล ถวายดอกไม้ ธุปเทียน เพื่อขอบวชกันทั้ง ๔๑ คน

จิตอาสาช่วยกันล้างชาม

 

       เสร็จจากพิธีการบวช พวกเราก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก นิสิตผู้ชาย ก็เข้ามาช่วยผมถือกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วพาผมไปที่กุฏิ สองหลังติดกัน "อาจารย์จะอยู่หลังไหนเลือกเอาได้เลยครับ" "แล้วพวกเธออยู่หลังไหนกัน" ผมถาม ผมอยู่หลังซ้าย กันเจ็ดคนครับ ผมมองไปเห็นไฟในกุฏิเปิดอยู่ แสดงว่านิสิตเข้าพวกในกูฏินี้แล้ว "งั้นครูนอนกุฏิหลังขวาก็แล้วกัน" ว่าแล้วผมก็รับกระเป๋าเข้าไปในกุฏิหลังขวา พอเข้าไป ก็พบว่ามีนิสิต กำลังจัดข้าวจัดของอยู่แล้วสามคน ผมเข้าไปยังไม่ถึงสองทุ่มดี ก็เลยเดินสำรวจสถานที่แถวหน้ากุฏิ แล้วเดินเลยไปบริเวณหน้าวัดเพื่อดูว่าพระที่มาปฏิบัติธรรมท่านมีความเป็นอยู่อย่างไร

       พอกลับเข้ามาห้อง ก็ถามชื่อนิสิตกันว่าชื่ออะไรกันบ้าง นิสิตก็แนะนำตัว บางคนชื่อน่ารัก แถมกริยาก็น่ารักอีก กระตุ้งกระติ้ง พอตอนอาบน้ำ คุณเธอ ก็เอาผ้าเช็ดตัวมากระโจมอก ผมมองไปอีกคนก็กำลังส่องกระจกเสริมสวย เอาละหว่า เข้าห้องผิดแล้วซะละมังเรา ห้องนี้มันตุ๊ดสองคนแล้วมองไปยังอีกคน นึกใจชื้นว่า เออ โชคยังดีมีเพื่อนอีกคนเป็นแมน เผื่อมีอะไรก็ยังช่วยกันได้ แต่พอคุณเธอพูดออกมาเท่านั้นแหละ หายสงสัยเป็นปลิดทิ้ง ว่าทำไมเจ้าเจ็ดคนนั้นจึงยอมไปนอนเบียดรวมกันในกุฏิเล็กๆ ตั้งเจ็ดคน เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง

นิสิต อาจารย์ ถ่ายรูปร่วมกับพระอาจารย์

 

       คืนนั้นผมตัดสินใจ นอนหันก้นเข้าหากำแพงอย่างเดียวเลย นึกในใจว่าคืนนี้จะรอดไม๊ตู.......พอตอนเช้าเจ้าเจ็ดคนนั้นมันเมาท์ผมกันใหญ่ ว่า "ก็อาจารย์ตัดสินใจเองว่า  เลือกกุฏินั้น"  "แหม ไม่สะกิดเตือนกันสักนิดเลย" ผมต่อว่า แต่สุดท้ายอาจารย์หนึ่งไปสืบความได้มาว่า ไม่ใช่แต่อาจารย์ระแวงลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็ระแวงอาจารย์ แต่เค้าบอกว่าไม่ต้องกลัว "อาจารย์ไม่ใช่เสป็กเค้า อาจารย์แก่แล้ว" รอดตัวไป

หมายเลขบันทึก: 481004เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2012 22:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มีนาคม 2012 20:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

แวะมาคารวะท่านครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท