ผมเห็นผู้บริหารจำนวนมากแล้วก็ขำ ทั้งที่เป็นผู้บริหารใหญ่ มีอำนาจมากล้นฟ้า บริหารองค์กร และคนอื่น ได้มากหลาย แต่กลับบริหารตนเองไม่ได้
เช่น เป็นประธานการประชุม ก็มาสายเป็นประจำ บางคนมีมารยาท ก็ทำเป็นขอโทษขอโพย อ้างโน่นนี่นั่น แต่ส่วนใหญ่ไร้มารยาท ไม่รู้สึกผิด คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้บริหารใหญ่อย่างเรา ย่อมมาสายได้เสมอ ทำนองว่าเป็นสิทธิพิเศษ
จากนั้นประชุมไปได้ครึ่งทาง กำลังจะสรุปวาระสำคัญ ก็รับโทรศัพท์มือถือ แล้วอ้างว่ามีธุระสำคัญ ต้องไปก่อนละ ..ว่าแล้วก็มอบรองฯ ให้ทำหน้าที่ประธานต่อไป
คนแบบนี้..บริหารเวลาตนเองยังไม่ได้ แล้วจะมาบริหารองค์กร
อ้อ..ก็อาจเป็นเพราะเขาบริหารเวลาเก่งแบบนี้นี่เอง ถึงได้ไต่เต้าเข้าไปเป็นผู้บริหารระดับสูงได้ กล่าวคือ เอาเวลาส่วนใหญ่ไปพะเน้านอผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ
ผมเองก็เคยถูกบุญหล่นทับ ให้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงกะเขาอยู่เหมือนกัน (ระดับเทียบเท่ารองอธิบดี) วันๆหนึ่งผมต้องเป็นประธานการะประชุมอย่างน้อยหนึ่งครั้งเห็นจะได้ (บ้าไปแล้วประเทศไทย ประชุมแมร่งตลอดศก แต่หาสาระอะไรไม่ได้) มีบางวันผมทำสถิติประชุมถึง ๗ ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นประธานเสีย ๔ ครั้ง เลขาเสีย ๒ ครั้ง และ กรรมการธรรมดาเสีย ๑ ครั้ง
ไม่น่าเชื่อว่าแต่ละครั้งที่เป็นประธานประชุม หรือ เลขา นั้น ผมจะไปก่อนเวลาประมาณ ๑๕ ถึง ๕ นาที แต่ผมไม่เคยสามารถเปิดประชุมได้ตรงเวลาเลยสักครั้งเดียว เนื่องเพราะ “สมาชิกไม่ครบองค์ประชุม” ทำให้ต้องรอให้ครบองค์ประชุมอีกประมาณ ๑๐ นาที โดยเฉลี่ย บางทีต้องรอถึง ๓๐ นาที
คนแบบนี้..บริหารเวลาตนเองยังไม่ได้ แล้วจะมาบริหารองค์กร ...จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมองค์กร ซึ่งเป็นองคาพยพของประเทศไทย มันจึงด้อยพัฒนากันมาจนถึงบัดนี้
ผมมีวาระดำรงตำแหน่งอยู่ ๔ ปี มีเงินประจำตำแหน่งเดือนละ ๒ หมื่น แถมเงินจรอื่นๆ แต่พออยู่ได้สองปีหนึ่งเดือน ก็ขอลาออก เพราะผมทนไม่ไหวกับอาการปวดหัว ไมเกรน ที่มาเยือนประมาณทุกสองสัปดาห์...มันทรมานมาก
ผมคิดออกกว่า ที่ปวดหัวมากนี้เพราะเรายึดติด จริงจังกับการบริหารมากไป ทำให้เครียด แล้วปวดหัว ส่วนผู้บริหารอื่นๆ เห็นท่านยิ้มร่า หัวเราเอิ๊กอ๊ากกันได้ทั้งวัน มีพขร.ขับพาไปกินอาหารเที่ยงได้ทุกวัน ส่วนเราซื้ออาหารกล่องมากินที่ห้อง หรือว่าเรามันโง่แล้วขยัน ทำงานไม่เป็นเหมือนพวกเขา เขาคงบริหารเวลาได้ดีกว่าเราเป็นแน่
ในที่สุดผมได้คิดว่า ชีวิตเราจะต้องเอามาแลกกับอาการแบบนี้ มันคงไม่คุ้ม ขอเห็นแก่ตัวเอาชีวิตรอดไว้ก่อนดีกว่า ก็เรามัน “คนขี้ขลาด”
หลังจากลาออกมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีอาการปวดหัวอีกเลย จนบัดนี้ ...ส่วนการเสียดายโอกาสก็มีบ้าง นี่ป่านนี้ถ้าเราไม่ลาออกเสียก่อน ป่านนี้คง....ไปแล้ว (...นั้นหมายถึง “สมองแตกตาย” น่ะครับ อิอิ)
...คนถางทาง (๓ มีนาคม ๒๕๕๕)
อ่านเรื่องราวแม้เพียงสั้นๆ
แต่ทำให้นึกมามองตัวเอง
เออ..จริงแฮะ
สงสัยถ้ามีโอกาสต้องขอลาออกจากการเป็นหัวหน้างานบ้าง