ให้ทุกท่านทุกคนได้มีโอกาสฝึกตนเอง พัฒนาตนเอง เพื่อฝึกจิตฝึกใจให้สบาย ฝึกไม่มีตัวไม่มีตน ละอัตตาตัวตน ทำจิตใจให้สบาย ให้มีความสุขกับการทำข้อวัตรกิจวัตร อย่าได้ไปคิดว่ามันเคร่งครัดเกิน มันบีบคั้นเกิน อย่าไปคิดอย่างนั้น
อย่าไปว่าคำพูดทุกอย่างมันมาอัดเราเต็มที่ มาว่าเราเต็มที่ ถ้าเราคิดว่าทำเทศน์คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ครูบาอาจารย์ให้เอามาเทศน์ มากล่าว มาสอนว่าให้เรา นั้นแสดงว่าเราจะต้องแก้ไข ปรับปรุงตัวใหม่ ถ้าคนอื่นติเตียนเราได้ ตัวเองก็ยิ่งจะมีอะไรในใจที่จะติเตียนตนเองมากกว่าคนอื่นรู้ คนอื่นเห็น
การที่เราจะหนี หนีพระธรรม พระวินัย ข้อวัตรข้อปฏิบัติด้วยเหตุผลประการต่าง ๆ นานา ความคิดเห็นอย่างนี้ มันเป็นความคิดเห็นที่ยังไม่ถูกต้อง
พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เราเป็นคนประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท มีเวลาฝึกตนแล้ว ยังไม่ยอมฝึก
ขอให้ทุกท่านทุกคนดีใจ พอใจที่เราจะได้ประพฤติ ปฏิบัติกัน
เราต้องมาปรับความคิดความเห็นของเราใหม่ แสดงว่าความคิดเห็นของเรามันยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่มาก เป็นความคิดเห็นที่จะเอาตัวตนไว้ จะเอาแต่กิเลสมันออกไป อันที่จริงแล้วกิเลสกับตัวตนมันเป็นอันเดียวกัน
พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เพราะตัวตนของเรามีกิเลสมันถึงมี
เราพยายามยกตัวตนออกจากใจของเรา...
สิ่งที่ว่ามันเป็นเรานี้แหละ มันไม่ใช่เรา มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นอากาศธาตุ ที่มันหลงเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตาย มันเกิดจากอวิชชาของเรา มันหลงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเรา มันหลงตัวตน อะไรก็เป็นของเราหมด ความจริงมันเป็นธรรมชาติที่มันต่อเนื่องกัน
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามาปล่อยวาง ไม่ต้องไปติดสุขติดสบาย อย่างนี้ข้าพเจ้าชอบ ข้าพเจ้าก็จะเอา อย่างนี้ข้าพเจ้าไม่ชอบ ข้าพเจ้าก็ไม่เอา
ความแก่ข้าพเจ้าไม่ชอบข้าพเจ้าก็ต้องได้ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากต่าง ๆ ข้าพเจ้าไม่ชอบข้าพเจ้าก็ต้องได้
ทำไมมันต้องได้... ก็เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
บางคนอาจจะคิดในใจว่า ถ้าไม่ใช่ตัวเรา ถ้าไม่ใช่ของเราแล้ว เราจะกินข้าวไปทำไม ทำงานไปทำไม เราจะหาทรัพย์สมบัติข้าวของไปทำไม หามาได้แล้วมันก็ไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่ใช่ของเราแล้วเราก็มาทำเพื่อปฏิบัติธรรม เรากินข้าว เราทำงานก็เพื่อธรรมะ เพื่อเป็นการเสียสละ มันมีแต่คุณ มันมีแต่ประโยชน์ ได้ทั้งความสุข ได้ทั้งความดับทุกข์ ได้ทั้งสวรรค์ ได้ทั้งนิพพาน
เรามีตัวมีตนก็ต้องมีตัวตนที่มันไม่ทุกข์ คนเราเป็นทุกข์มาก เพราะว่ามันมีตัวตนมาก อันนี้ก็ขอวงเรา อันนี้ญาติพี่น้องของเรา วงศ์ตระกูลของเรา อะไร ๆ ก็มีแต่เรา ความคิดของเราแบบนี้มันเป็นมิจฉาทิฐิ
พระวินัยถึงเป็นคำสั่ง พระธรรมถึงเป็นคำสอน เพื่อจะจัดระบบจิตใจของเราให้มีสัมมาทิฐิ ให้มีความเห็นถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้เกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
คนเรา อะไร ๆ มันก็ไม่ใช่ของเรานะ สำหรับคนที่เป็นมิจฉาทิฐิมีอัตตาตัวตน เขาฟังแล้วเขาก็หมดกำลังใจ
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้พวกเราทุก ๆ ท่านมาแก้ไขที่ความคิด มาจัดระเบียบความคิดใหม่ ให้มันเข้าถึงสัจธรรม เข้าถึงความจริง อาการต่าง ๆ กิริยามารยารทของนิวรณ์ทั้ง ๕ คือ อาการของอัตตาตัวตน คือความเห็นแก่ตัวแก่ตน
พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้ที่รู้จักรู้แจ้ง เป็นผู้ตัดวงจรการสร้างภพ สร้างชาติ สร้างวัฏฏะสงสาร
ท่านตรัสว่าท่านรู้แจ้ง ท่านไม่ทำตามกิเลส ไม่ทำตามอาการของนิวรณ์ ๕ ท่านมอบจิตมอบใจให้กับพระธรรม
ท่านเคารพพระธรรม เราจะไปต่อต้านพระธรรมไม่ได้
เราต่อต้านพระธรรมอย่างไร...?
ก็คือ เราเป็นคนตามใจตัวเอง คิดเองทำเอง เราปฏิปทาของตัวเอง ไม่ได้เอาพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อยากกินก็กิน อยากจะนอนก็นอน อยากจะไปก็ไป อยากจะมาก็มา
พระพุทธเจ้าท่านถึงลงลายละเอียดสำหรับผู้มีอินทรีย์บามีน้อย ท่านบัญญัติศีล บัญญัติวินัย บัญญัติธุดงควัตร ให้วัดแต่ละวัดมีกติกามีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อมาถือนิสัยถือวินัยของพระพุทธเจ้าเหมือน ๆ กัน
ตั้งระเบียบทางจิตใจไว้เลยว่า สิ่งนี้ไม่ดีไม่ต้องคิด สิ่งนี้ไม่ดีไม่ต้องพูด สิ่งนี้ไม่ดีไม่ต้องทำ
เพราะอาการกิริยาต่าง ๆ คือใจที่มันสะเปะ สะปะ เลอะเทอะ ละเลือน เราต้องอาศัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องจัดการ เป็นเครื่องนำทาง
เราอุตส่าห์บวชมาอยู่วัดนี่นะ แต่เราไม่อุตส่าห์ประพฤติปฏิบัติ มันก็เลยไม่ได้เรื่องอะไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร
พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ให้เราตั้งมั่น ให้เราอด ให้เราทน เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่ เป็นงานรื้อ เป็นงานถอนภพชาติ เป็นงานที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันไม่ใช่งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ...
พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตามอบให้นำมาบรรยาย
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
ไม่มีความเห็น