น้ำท่วมกรุงเทพ ฯ ทำให้คนมีน้ำใจ


น้ำท่วมกรุงเทพ ฯทำให้คนมีน้ำใจ

 

 

 

 

กรุณาฝากข้อคิดเห็นผ่าน http://www.nature-dhrama.com

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมาจากสภาพการดำเนินชีวิตตามระบบ "วัตถุนิยม"
หากเราเปลี่ยนแนวคิดใหม่ที่ทรงด้วยคุณค่ายิ่ง โดยการดำเนินชีวิตตามระบบ "พอเพียงนิยม"
ปัญหาต่าง ๆ จักลดลง หรือแทบไม่มี
ด้วยความปรารถนาดีจาก "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"

 

น้ำท่วมกรุงเทพ ฯ ทำให้ฅนมีน้ำใจ

         " ฅนเมืองแล้งน้ำใจ ฅนชนบทเปี่ยมล้นด้วยน้ำใจ"  คำพูดลักษณะนี้ได้ยินอยู่เสมอ และต่างเห็นพ้องต้องตามว่าเป็นจริง อย่างไรก็ดีน้ำท่วมกรุงเทพ ฯ ครั้งใหญ่นี้ทำให้จิตใจฅนเปลี่ยนแปลงไปก็มี เปลี่ยนจากแล้งน้ำใจกลายเป็นคนมีน้ำใจ  เรื่องอย่างนี้น่าชวนขบคิดให้ละเอียดพิสดารยิ่งขึ้น เพราะเรื่องน้ำใจสำคัญยิ่งสำหรับสัตว์สังคมอย่างมวลมนุษยชาติ

          ฅนเมืองแล้งน้ำใจจริงหรือ   อันที่จริงสันดานของมนุษย์ย่อมมีเอื้ออารี  มีเมตตาธรรม ทั้งนี้น่าจะถูกถ่ายทอดจากพันธุกรรมก็เป็นได้  ฅนเมืองเขาก็มีน้ำใจ แต่มีน้อยน้อยจนไร้ซึ่งคุณค่าในการอยู่ร่วมแบบสังคมมนุษย์  ด้วยเหตุนี้จึงตีค่าว่า "คนเมืองแล้งน้ำใจ"

          สาเหตุใดที่ทำให้ฅนเมืองแล้งน้ำใจ   เหตุเพราะการแข่งขันด้านธุรกิจสูง   การแข่งขันหาเลี้ยงชีพสูง    ต่างฅนต่างแย่งชิงหาเงินทองเพื่อการดำรงชีพของตน  และครอบครัว  เพื่อความอยู่รอดในสังคมที่มีค่าครองชีพสูง ค่าครองชีพในเมืองสูงกว่าชนทบ ยิ่งเมืองใหญ่  เมืองท่องเที่ยวยิ่งสูงเพิ่มมากขึ้นอีก   การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของฅนเมืองจึงมากกว่าฅนชนบทหลายเท่า  การเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้มาเต็มเปี่ยมอยู่ในความคิดของฅนเมือง  จึงทำให้คนเมืองแล้งน้ำใจโดยไม่รู้ตัว

          การมุ่งแต่ผลประโยชน์  มีการแย่งชิงจนให้พอเพียง หรือเกินความพอเพียงข้อหนึ่ง   การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในสังคมแข่งขันสูงอีกประการหนึ่ง   สองข้อนี้เป็นเหตุเป็นเหตุให้ฅนเห็นแก่ตัว  เมื่อเกิดความเห็นแก่ตัวเรื่องแล้งน้ำใจก็ตามมา

          ฅนเมืองมัวยุ่งกับงาน กับการแข่งขัน จึงไม่มีเวลาให้สำหรับเพื่อนบ้าน  เพื่อนบ้านห้องแถวเดียวกันโดยแท้แต่ไม่เคยได้พูดคุย เพราะต่างฅนต่างดิ้นรนทำงาน กอปรกับการจราจรที่ติดขัด  ต้องตื่นเร็วรีบไปทำงาน ขากลับกลับบ้านดึก  ได้พักผ่อนดึก เพราะรถติด ปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ทำให้ฅนเมืองมีช่องว่างห่างขึ้นในเรื่องที่จะได้พบปะเพื่อนใกล้บ้าน  เพื่อได้พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ  อันที่จริงสิ่งอย่างนี้ไม่ควรเกิดในสังคมมนุษย์  ที่เกิดขึ้นเพราะการดำเนินชีวิตของมนุษย์เป็นตัวกำหนด  ฉะนั้นหากเรา
กำหนดวิถีการดำรงชีพแบบพึ่งพา แบบเอื้อเฟื้อต่อกันตามแนวของ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" สังคมก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติที่แท้จริง ความสันติสุขก็เกิดขึ้นแน่นอน

          น้ำท่วมกรุงเทพ ฯ ครั้งนี้ทำให้ฅนรู้จักพึ่งพา  รู้จักเอื้ออารี  รู้จักแบ่งบัน ฯลฯ ซึ่งเข้ากับแนว "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" จึงขอนำเรื่องที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ครั้งนี้เล่าสู่กันฟัง เผื่อเป็อุทาหรณ์ เผื่อเป็นข้อมูล อันจะเป็นเหตุเป็นผลที่จะมองแนวทางการดำรงชีพของมนุษย์ตามแนว "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ว่าดีหรือไม่อย่างไร

          มีข่าวว่าเศรษฐีฅนหนึ่งมีบ้านอยู่ในกรุงเทพ ฯ ขอเรียกบ้านว่าคฤหาสน์ก็แล้วกัน เพราะทราบว่าราคาค่างวดบ้านหลังนี้เป็น สิบ ๆ ล้าน  คฤหาสน์หลังนี้ถูกน้ำท่วมหนักเช่นกัน  แต่เจ้าของไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากนัก  ไม่คิดที่จะขนข้าวของปล่อยให้น้ำท่วมไปตามบุญตามกรรม ส่วนตัวเองก็ถือโอกาสตระเวนดูสภาพน้ำท่วมไปเรื่อย ๆ บังเอิญไปพบครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก จำนวน 4 ฅน  มีพ่อแม่ และลูก ๆ 2 ฅน กำลังรับประทานข้าวกล่องที่ได้รับแจก ทันทีที่เศรษฐีเข้าไปนั่งใกล้ ๆ    พวกเขาทั้ง 4 ได้เจียดอาหารฅนละเล็กฅนละน้อยให้เศรษฐีโดยมิได้เรียกร้องจากเศรษฐีแต่อย่างใด

          จากภาพที่คอยเตือนใจ คอยตอกย้ำของฅนทั้ง 4 ที่มีความตั้งใจจริงในการแบ่งปันอาหารหวังประทั้งความหิวของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยามที่มีเภทภัย บวกกับความมีจิตสำนึก ทำให้ท่านเศรษฐีเกิดมีความศรัทธาที่จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งนี้ จึงร่วมบริจาคอาหารแก่ผู้ประสบภัยติดต่อกันเรื่อยมา หลายครั้งหลายคราว จนเป็นข่าวเล่า
ลืออย่างที่รู้กัน

          "ไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา"  "เมื่อแกงรสจืดชืดจึงรู้คุณค่าของเกลือ" หรือสำนวนอื่น ๆ ที่เข้าทำนองนี้ ก็เปรียบเสมือนของครอบครัว และท่านเศรษฐีที่ได้กล่าวถึง จากส่วนลึกในใจจริง ๆ ของมนุษย์เราย่อมมีความเอื้ออารี  มีจิตเมตตาเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งมาประสบความเดือดร้อนลำบากด้วยตนเอง  ความสำนึกยิ่งมีทวีขึ้นเป็นหลายเท่าในยามนี้คงไม่มีใครที่จะเข้าใจเรื่องความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนเท่ากับครอบครัวนี้ และท่านเศรษฐี

          จริง ๆ การดำรงชีพของมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยแบบวัตถุุนิยม มันไม่ได้เดินไปอย่างราบรื่นนัก  ผู้ฅนจำนวนไม่น้อยต่างประสบแต่ความเดือดร้อน  ทุกข์ยาก ร้อยละ  90  ก็ว่าได้  ฅนเหล่านี้ต่างมีความต้องการรับการเยียวยา  ช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา   หากแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้นเอง   หรือเห็นก็ส่วนน้อย    เห็นอย่างผิวเผินไม่ลึกซึ้งตรึงใจอะไรมากนัก ก็เลยปล่อยเป็นปกติวิสัย  คือไม่ได้วิเคราะห์เจาะลึกถึงแก่นแท้  อันที่จะได้มองเห็นความจริง

          หากเราจับจุดหลักการสอนของศาสนาในบางอย่าง บางตอนจะมองเห็นชัดว่าคำสอนมาเกี่ยวเนื่องในสิ่งที่กล่าวมา ศาสนาอิสลามสอนให้ถือศีลอดก็เพื่อให้รู้ถึงความทุกข์ความเดือดร้อน  ความตกทุกข์ได้ยาก  การไม่พอกินพอใช้จะมีความทุกขเวทนาแค่ไหนเพียงใด  เมื่อถือศีลอดจะได้มีจิตใจที่จะรู้การแบ่งบัน การเอื้ออารี นั่นเป็นการสอนให้รู้จักคำว่า ให้ทานนั่นเอง   ศาสนาพุทธสอนให้พุทธศาสนิกใส่บาตร นั่นเป็นการฝึกจิตใจให้รู้จักแบ่งบัน อยู่จักช่วยเหลือเกื้อกูล รู้จักเสียสละ สรุปแล้วก็ให้พุทธศาสนิกรู้จักให้ทานเช่นกัน

          การที่มนุษย์จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงเป็นเรื่องปกติวิสัยสามารถจะทำได้ทุกเวลา  ไม่เฉพาะในยามตกทุกข์ได้ยากที่เกิดจากภัยพิบัติ  หรืออะไรก็แล้วแต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมเช่น  ปลวก  มด   ผึ้ง   ตัวต่อ  หรือ ฯลฯ จึงต้องมีหน้าที่   แบ่งหน้าที่ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล  โดยเห็นประโยชน์ร่วมกัน  เห็นเพื่อเกิด  เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ และเพื่อนตาย หลีกเลี่ยงการเห็นประโยชน์ส่วนตน ถ้าดำเนินชีวตอย่างที่ว่านี้ความสันติสุขก็เกิดขึ้น อย่างที่นำเสนอตามแนวของ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"

         ระบอบประชาธิปไตยในระบบวัตถุนิยมซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างสุดเหวี่ยงเช่นนี้ ยิ่งทำให้เกิดช่องว่าระหว่างฅนจน กับฅนรวยเพิ่มขึ้น  (หรือเรียกให้เข้าใจง่าย ช่องว่างระหว่างทาสแรงงาน กับนายทุน)   ความเดือดร้นของฅนก็เพิ่มขึ้น   เพราะต้องดิ้นรนตามกระแสแรงผลักดันของกลุ่มทุนนิยม   (กระแสตัญหาของกลุ่มทุนนิยม)ต้องทำงานแข่งขันกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น   ซึ่งสังคมที่ใช้เงินตราเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนจะเห็นว่าค่าของเงินอ่อนค่าลงตลอดเวลา  ค่าครองชีพจึงเพิ่มขึ้นตามมานั่นคือมูลเหตุที่ทำให้ฅนต้องมีความทุกข์   มีความเดือดร้อน ความเดือดร้อนอย่างนี้ก็เท่ากับถูกภัยพิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดเช่นเดียวกัน  ฉะนั้นการดำเนินชีวิตบนเส้นทางระบบวัตถุนิยมผู้ฅนในสังคมแบบนี้รอการช่วยเหลือเยียวยาอยู่ตลอดเวลา

          คิดว่าน้ำท่วมกรุงเทพ ฯ ครั้งนี้ทำให้น้ำใจฅนเมืองหวนกลับมาอีกครั้ง  สำหรับฅนในชนบทซึ่งเขามีน้ำใจเป็นทุนอยู่แล้วก็คงจะยิ่งเห็นค่าของน้ำใจมากยิ่งขึ้น  สิ่งสำคัญน่าจะช่วยเตือนจิต  สะกิดใจให้มองเห็นคุณค่าการดำรงชีพที่ยึดการช่วยเหลือเกื้อกูล การแบ่งบัน ให้ลึกซึ้งขึ้น  และหาแนวทางพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป

          เรื่องการอยู่ร่วมของสังคมมนุษย์ถือว่าการมีน้ำใจเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง   คุณค่าของน้ำใจยิ่งกว่าค่าของทรัพย์สินเงินทองหลายเท่าอันประมาณค่ามิได้ แนวทางหนึ่งเพื่อการดำชีพของเพื่อมนุษย์ให้เกิดความสันติสุขอย่างแท้จริง   "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"  ขอช่วยกันส่งเสริม และเสนอแนวคิดเพิ่มเติมเพื่อเติมเต็ม
กันต่อไป


ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมาจากสภาพการดำเนินชีวิตตามระบบ "วัตถุนิยม"
หากเราเปลี่ยนแนวคิดใหม่ที่ทรงด้วยคุณค่ายิ่ง โดยการดำเนินชีวิตตามระบบ "พอเพียงนิยม"
ปัญหาต่าง ๆ จักลดลง หรือแทบไม่มี
ด้วยความปรารถนาดีจาก "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"

หมายเลขบันทึก: 479415เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2012 09:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 19:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

เห็นด้วยกับวัตถุนิยมครับ

เพราะตอนนี้เงินมีอำนาจเหลือเกิน

เรียน ท่านอาจารย์โสภณ เป็นพระคุณยิ่งครับ

เอาสองภาพมาผนวกด้วยกัน จะดีนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท