(ต่อจากตอนที่แล้ว)
....
เหตุการณ์อย่างคืนวันนั้นผ่านไป เหมือนจะไม่หวนกลับมาอีก เจ้าตัวอารมณ์ขุ่นมัวที่จะเป็นเหตุให้เกิดความโมโหร้ายติดตามมานั้นไปหลบอยู่เสียที่ไหน จะมีบ้างแต่พลังของพวกมันไม่พอที่จะชนะจิตใจของเขาได้ แต่เขาก็ไม่วางใจเสียทีเดียวว่าพวกมันจะหายจากโลกนี้ไป เพราะยังมีคนอื่นๆที่เจอกับพวกวายร้ายเหล่านั้นเล่นงานจนขาดสติไปอย่างที่เห็นอยู่ทั่วๆไปรอบๆตัวเรา หรือว่ามันไปสิงอยู่กับคนอื่นหมดแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่ควรจะถามหาพวกมันน่าจะดีกว่า จนกระทั่งวันหนึ่งประมาณกลางเดือนต่อมา เมื่อเจ้าหน้าที่ติดตามทวงหนี้บัตรเครดิตได้โทรศัพท์ติดต่อเขามา ทำให้เขาเห็นเจ้าอารมณ์ขุ่นมัวได้ก่อตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถึงไม่มากนัก ก็พอจะทำให้เขารำคาญใจและโทรศัพท์ไปสอบถามภรรยาของเขาทันที และพอรู้ว่าเลยวันกำหนดจ่ายมาและภรรยาบอกได้แจ้งผลัดกับทางเจ้าหน้าที่เป็นเดือนถัดไปเท่านั้น เจ้าตัวอารมณ์ร้ายก็เพิ่มทวีขึ้น แต่เขาพยายามเก็บกดมันไว้ไม่ให้พวกมันแสดงตัวออกมา เพราะอยู่ที่ทำงานมันอาจจะไม่เหมาะหากปล่อยให้พวกมันแสดงตนในสถานที่สาธารณะเช่นนี้ การเก็บกดพวกตัวร้ายนั้นเขาพบว่ามันทำให้เกิดความรุ่มร้อนขึ้นมาในจิตใจด้วย ร้อนจนแทบจะพลุ่งพล่านออกมานอกหน้าตาเลยทีเดียว
พวกมันยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน เขาเริ่มสงสัยบ้างแล้วว่ามันจะมาพร้อมกับเรื่องราวของเงิน รายได้รายจ่ายที่มากระทบกับตัวเขาโดยตรง แต่หากเป็นเรื่องของคนอื่นอย่างเพื่อนของเขาที่โดนโกงแชร์ไปหลายหมื่นบาท ซึ่งทำให้เพื่อนของเขาเองหัวเสียไปหลายวัน เขาก็รับรู้เรื่องนั้นและเห็นใจเพื่อนเขา แต่ไม่เห็นเจ้าพวกนั้นมาทำให้เขาเกิดอารมณ์ขึ้นมาได้มากมาย ถ้าอย่างนั้นทุกๆสิ้นเดือนการรับการจ่ายเป็นเรื่องเงินล้วนๆ เขาจะต้องเตรียมรับมือกับพวกมันให้จงได้ เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่พอจะรับรู้เหตุแห่งการเข้าโจมตีของพวกนั้น
แต่การเตรียมรับมือต้องมีอันคลาดเคลื่อนโดยสิ้นเชิง เจ้าอารมณ์ขุ่นมัวมันมาก่อนวันเงินเดือนออกเมื่อธนาคารได้โทรมาแจ้งการผิดนัดชำระค่าบ้านถึงสองเดือนติดต่อกัน ทันทีที่ได้รับรู้การเตรียมรับมือที่เคยตั้งไว้ได้สูญสิ้นไป อารมณ์เดือดดาลทำให้เขาเดินออกจากออฟฟิสและโทรไปหาภรรยาเขาทันที
"นี่เธอเอาเงินไปทำอะไรหมด ไม่จ่ายค่าบ้านถึงสองเดือน" เขาพูดขณะเดินหลบเข้าไปข้างๆบันไดเพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงอันโมโหนั้น
"พี่สาวของเธออีกแล้วเหรอ เมื่อไหร่จะหมดเวร หมดกรรมกันเสียทีวะ"เขาสบถเสียงดังอย่างลืมตัว
"เออ เออ แล้วจะให้บอกกับธนาคารว่ายังไง ...ก็อย่างนี้ทุกที" เขาปิดมือถือ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ถ้ามีใครสักคนเดินผ่านมาเห็นเขาในขณะนั้น คงจะเห็นว่าหน้าเขาแดงก่ำ บูดบึ้ง เสียงสบถที่เพิ่งหลุดออกไปบ่งบอกถึงอารมณ์อันขุ่นมัว ที่พวกมันโจมตีเขาอยู่ แล้วพวกมันก็ชนะเขาไปอีกครั้งหนึ่งและเป็นการชนะนอกบ้านเสียด้วย
หลังเลิกงานวันนั้น อารมณ์พวกนั้นยังคงเกาะติดจิตใจของเขาอยู่ เขาเองก็รู้ตัวว่าพวกมันยังไม่ไปไหน แต่ถึงยังไงเขาก็พอจะรู้แล้วว่าพวกมันทำอะไรเขานอกบ้านไมได้มากนัก นั่นก็เป็นสิ่งที่เตือนให้เขารู้ว่าเมื่อถึงบ้านจงระวังอย่างหนักไม่ให้พวกมันหึกเหิมจนเล่นงานเขาซ้ำอีก ซึ่งอาจจะไม่เป็นผลดีแน่หากเขาจะแพ้ติดต่อกันในวันเดียว โดยเฉพาะที่บ้านพวกมันจะแสดงพลังอันมหาศาลจนอาจทำให้เขายั้งสติไม่ได้
และเป็นไปตามคลาดขณะที่เขาขับรถถึงหน้าบ้าน มีรถจอดขวางอยู่ด้านหน้าคันหนึ่งด้านหลังคันหนึ่ง ที่จริงพวกเขาก็จอดหน้าบ้านใครหน้าบ้านมันล่ะ แต่เขาอยู่ตรงกลางเป็นเหตุให้เขาต้องออกแรงเดินหน้าถอยหลังอยู่หลายรอบกว่าจะจอดได้ เจ้าอารมณ์อันขุ่นมัวที่เกาะติดตัวเขามาอยู่แล้วก็ได้ทีรุมซ้ำเติมจิตใจของเขาทันที เขาพยายามจะรับรู้ให้ทันพวกมัน หลังเปิดประตูเข้าบ้าน ภรรยาและลูกสาวกำลังทานข้าวอยู่ "จะกินเลยมั๊ย อิ่มกันพอดีเลย" ภรรยาถาม เขาเงียบเก็บความรู้สึกไว้เดินขึ้นบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเลย เขาไม่อยากจะพูดคุยกับใคร ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกนั้นหลุดออกมาจู่โจมเขาอีก
ระหว่างอาบน้ำความน้อยเนื้อต่ำใจที่ลูกเมียไม่ยอมรอทานข้าวพร้อมหน้ากันก็ฉุกคิดขึ้นมา แต่ก็บ่อยครั้งที่เขาต้องนั่งทานข้าวเย็นคนเดียวเพราะเลิกงานดึกเป็นประจำ ไม่เป็นไรหรอกเรื่องกินข้าว แต่เรื่องเงินค่างวดบ้านที่ค้างคาอยู่เขาจะเริ่มคุยกับภรรยายังไงดี แต่ก็โทรคุยกันบ้างแล้วนี่ตั้งแต่ที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก เขาตอบโต้ความคิดที่แย้งกันระหว่างอาบน้ำ ความเย็นของน้ำที่ราดลงบนตัวทำให้เจ้าตัวอารมณ์ขุ่นมัวอันเร่าร้อนนั้นล่วงหลุดออกไปได้บ้าง
คืนนั้นหลังเขากินข้าวคนเดียวเสร็จ ภรรยาและลูกสาวขึ้นนอนแล้ว เขานั่งดูทีวีคนเดียว เจ้าอารมณ์ขุ่นมัวทั้งหลายหลบหายไปไหนแล้ว แต่เหมือนจะมีความเงียบเหงาที่เข้ามาครอบงำแทน เขาเดินออกมาหน้าบ้าน สายลมที่พัดผ่านเบาๆช่วยผ่อนคลายให้เขารู้สึกสบายกายสบายใจขึ้นมาได้บ้าง เขาสูดหายใจลึกจนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้จริงๆ ใบไม้หน้าปากซอยขยับเขยื้อนตามสายลม เขาเดินเข้าไปใต้ต้นไม้นั้นที่เดิมที่เขาเคยเจอกับเจ้าอารมณ์ขุ่นมัวนั้น บัดนี้มีเพียงแสงไฟที่เล็ดลอดจากร่มเงาของใบไม้ลงมาเป็นดวงระยิบระยับ แม้จะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่เมื่อแหงนมองบนท้องฟ้าดวงดาวบนฟ้ายังมีให้เห็นบ้าง หากเป็นบ้านต่างจังหวัดของเขาคงเห็นดาวเต็มฟ้า ป่านนี้พี่ๆคงหลับกันหมดแล้วสินะ วิญญาณพ่อแม่ล่องลอยอยุ่แห่งหนใด หรือแอบซ่อนอยู่บนฟากฟ้ารอคอยการไปหาของลูกชายคนนี้อยู่
แก๊ง แก๊ง แก๊ง...เสียงยามตีเหล็กบอกโมงยามของค่ำคืนดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง ทำให้เขาหยุดความคิดถึงบ้าน คิดถึงพี่ๆ คิดถึงพ่อแม่ที่ล่วงลับ อารมณ์เหงาเศร้าซึมช่างร้าวลึกบาดหัวใจไม่แพ้ความขุ่นมัว ทำไมนะจิตใจมันช่างอ่อนแอปล่อยให้อารมณ์ต่างๆเข้ามาครอบงำได้ง่ายดายเช่นนี้ เขารำพึงรำพันก่อนเดินเข้าบ้าน
ก่อนนอนคืนนั้น เขากราบพระรัตนตรัยเช่นทุกคืน อธิษฐานขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขอย่าได้ทุกข์กายทุกข์ใจเลย
....
(มีต่อ)
เจ้าอารมณ์ร้ายนี่ก็แพ้คนแปลกหน้า เพื่อนร่วมงานได้เหมือนกันนะคะ แสดงว่าความอายยังมีอำนาจมากกว่า
ขอบคุณค่ะ จะรอติดตามตอนต่อไปค่ะ
อ๋อ เข้าใจเลยค่ะ อ่านแล้วนึกถึงสมัยยังเรียนหนังสือกับพี่น้องที่บางกอก คล้าย กันเลยค่ะ
เจ้าอารมณ์ร้ายนี่เอง ขอบคุณ และส่งกำลังใจค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพ.แจ่มจำรัส
ขอบคุณค่ะ
" สายลมที่พัดผ่านเบาๆช่วยผ่อนคลายให้เขารู้สึกสบายกายสบายใจขึ้นมาได้บ้าง เขาสูดหายใจลึกจนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้จริงๆ " ยามทุกข์ร้อนใจชีวิตมีมุมดีๆมาแบ่งเบาได้เสมอๆ
ได้เรียนรู้อารมณ์ น่าติดตามค่ะ
ประมาณว่า...อารมณ์เดียวกัน..นะครับ