หลังจากที่เมื่อวานผมได้รับอีเมลล์จากเพื่อนปุ้ย ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
เพื่อนปุ้ยได้เขียนเขียนมาเล่าให้ผมฟังว่า “สวัสดีจ้าคุณจอห์น พอดีกำลังสนใจเรื่อง KM เลยเข้ามาดูในเว็บนี้..ตกกะใจเจอคนหน้าตาคุ้น ๆ อยู่ในเว็บ เธอเก่งมากเลยนะ..ชั้นกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่งานก็(..ขอเซ็นเซอร์ครับ) เยอะเลย เอาไว้วันหน้าชั้นจะมีแบบนี้เป็นของตัวเองบ้างนะ แล้วจะขอคำแนะนำจากเธอ..ได้ป่าว..555 ”
ผมก็ตอบได้ทันทีเลยคำว่าว่า “แนะนำได้แบบไม่ได้ เพราะนายต้องไปเสพเอาเอง” จึงเป็นที่มาของชื่อแห่งบันทึกนี้ครับ
ขออนุญาตเล่าถึง “เพื่อนปุ้ย” สักหน่อยก่อนนะครับ ปัจจุบันจำชื่อจริงไม่ได้ครับ เพราะเขาแต่งงานแล้วเปลี่ยนทั้งชื่อทั้งสนามสกุลเลย ตอนแรกไปเห็นชื่อที่คณะฯ นึกว่ามีอาจารย์ใหม่มาสอน (กะจะจีบสักหน่อย ที่แท้ก็เพื่อนปุ้ยเรานี่) เมื่อก่อนชื่อว่า อ.สุปรียาครับ ที่เปลี่ยนชื่อก็เพราะผมเป็นต้นเหตุส่วนหนึ่งครับ เพราะตอนที่อยู่ในคณะฯ ผมเป็นเจ้าพ่อหรือนำทางไสยศาสตร์อีกตำแหน่งหนึ่งครับ โดยเฉพาะเรื่องฮวงจุ้ยครับ
"แต่ถ้าไม่มีเพื่อนปุ้ยก็ไม่มีผมในวันนี้ครับ"
เพราะบุปเพอาละวาดดลให้เรามาพบเจอกันในครั้งที่ไปเรียนปริญญาโท (M.B.A.) ที่ม.รามคำแหง สาขาสุโขทัยครับ ตอนนั้นผมทำงานที่อยู่ สำนักวิจัย สถาบันราชภัฏกำแพงเพชร
นั่งเรียนไปก็คุยกับไป (แอบจีบสาว) เพื่อนปุ้ยก็เล่าให้ฟังว่า ที่คณะฯ เขารับสมัครอาจารย์ ยังขาดอยู่อีกหลายคน ถ้าผมมีเพื่อนก็ให้แนะนำไปสมัครหน่อย จบโทบริหารธุรกิจ หรือตรีเกียรตินิยมก็ได้ ตอนนั้นก็สบโอกาสพอดีเลยครับ ถึงแม้ว่าจะกำลังเรียนโทอยู่ครับ แต่จบตรีเกียรตินิยม ผมก็เลยไปสอบเองเสียเลย ด้วยเหตุนี้เองก็เลยได้ไปทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
“ถ้าไม่มีนายก็คงไม่มีเราในวันนี้นะเพื่อนปุ้ย”
ออกนอกเรื่องไปเสียนาน ขออนุญาตกลับไปต่อเรื่องการเขียนบล็อกที่เพื่อนปุ้ยให้แนะนำครับ
จากการที่ผมได้เคยไปสอน ไปแนะนำ และทำงานต่าง ๆ เกี่ยวกับบล็อกมาเป็นเวลาเกือบ ๆ 1 ปี
ตอบได้เลยครับว่า “แทบไม่ได้ผลอะไรเลย” ครับ
พอเราอยู่เขาก็ทำ พอเราไม่อยู่ เขาก็นั่งมองอยู่เฉย ๆ ยิ่งถ้าหัวหน้าหน่วยงานไม่เอาด้วยแล้ว ลูกน้องก็แทบจะไม่มีใครเอาเลยครับ ๆ ก็เพราะเหตุผลสุดฮิต “ไม่ว่างและไม่มีเวลา” (เพื่อนปุ้ยเป็นแบบนี้หรือเปล่าหนอ)
แหม พูดไปได้ครับ คนเราจะไม่มีเวลาได้อย่างไรใช่ไหมครับ เพราะคนเรามีเวลาอยู่แล้วเท่ากันด้วย ก็คือ วันละ 24 ชั่วโมง แล้วบอกได้ไงเน๊อะ ว่าไม่มีเวลา
ทุกคนมีเวลา แต่ทุกคนก็มีงานของตัวเองใช่ไหมครับ
แล้วคราวนี้เราจะเอาเวลาที่เรามี (เท่า ๆ กันเนี่ย) ไปใช้อะไรล่ะครับ
อันนั้นก็สุดแล้วแต่การตัดสินในของแต่ละท่าน โดยขึ้นอยู่กับฐานคิดที่ง่าย ๆ และเบสิคมาก ๆ ครับ นั่นก็คือ “ทำสิ่งใดฉันพอใจมากกว่ากัน” หรือทำอะไรแล้วได้ประโยชน์มากกว่ากัน
อันนี้เราไปตัดสินเรื่องประโยชน์ให้กับเขาไม่ได้หรอกครับ เขาจะต้องตัดสินใจของเขาเอง เพราะแต่ละคนมีบริบทในชีวิตแตกต่างกัน
บางคนมีลูก มีครอบครัว มีทั้งงานราษฎร์งานหลวง ในงานหลวงมีงานหลวงหลักกับงานหลวงรองอีก แถมบางครั้งยังมีงานหลวงแบบพิเศษ ๆ หรือแบบสเปเชี่ยล ด้วยครับ ดังนั้นการตัดสินใจเรื่องประโยชน์เนี่ย ก็ต้องขึ้นอยู่กับเขาเองครับว่า “เขาจะทำอะไร”
จะทำบล็อก เขียนบันทึกหรือว่าทำงานประจำดี......
นั่นน่ะสิครับ อะไรมีประโยชน์มากกว่ากัน
งานราษฎร์กับงานหลวง อื่ม.. แล้วคุณล่ะครับว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน?
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า หลาย ๆ ครั้ง (เกือบทุกครั้ง) ที่มีการอบรมจะมีคนที่นำกลับไปใช้แบบจริง ๆ จัง ๆ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากร้อย ก็ได้เพียงแค่เลขหลักเดียวครับก็คือ 0-9 % และเป็น 0-9% แบบถูกบังคับเสียครึ่งหนึ่งอีกต่างหากครับ
แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ....
จากการที่ผมเฝ้าสังเกตถึงความเป็นไปเป็นมาของสรรพสิ่งใน G2K มาเกือบ ๆ 4 เดือน และยิ่งโดยเฉพาะใน 2 เดือนหลังนี้ที่ได้อยู่ติดกับหน้าจอวันละเกือบ ๆ 10 ชั่วโมง ก็ได้พบความเป็นไปเป็นมาของ G2K
ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพบก็คือความยั่งยืนของ Blogger และการเป็น Blogger นั้น “อยู่ที่ใจ”
ถ้าจะนับ Blogger ที่เป็นแฟนพันธ์แท้จริง ๆ ใน G2K แบบขาเก่า ขาโจ๋ หรือขาประจำ ตอนนี้ในรอบสองเดือนที่ผ่านมา (จากการสังเกตช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. – 24.00 น.) นั้นพบว่า จะมีสมาชิกขาโจ๋อยู่ในเลขหลัก 10 ครับ ก็คือประมาณ 10- 99 คน + - หรืออาจจะเรียกว่า Gang หรือ แก๊งค์ตามที่ สมาชิก สคส. เคยได้ Review AI ไว้ก็ได้นะครับ
แต่อันนี้ Positive Gang ครับ หรือแก๊งค์เชิงสร้างสรรค์
และผมก็ลองกลับไปย้อนดูถึงที่มาที่ไปของขาประจำทั้ง 99 คน เหล่านี้
ส่วนใหญ่ ไม่ได้ร่ำได้เรียนแบบในห้องเรียนมาครับ คือ "ไม่ได้ผ่านการอบรมเรื่องบล็อกมาอย่างเป็นทางการ"
แต่ทุกคน "มาด้วยใจ" ใช้พรแสวงในการทำบล็อก จนทำให้เป็น Blogger ที่ทรงพลังและมีคุณภาพแบบสุด ๆ ครับ
ส่วนใหญ่เคยได้ยินมา เคยรู้จัก เพื่อนบอก แอบดูเขาอบรม เคยเห็นเพื่อนทำ เพื่อนที่เคยไปอบรมมาสมัครให้
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ไม่ได้มาตามระบบการศึกษาของไทยครับ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มาตามระบบ “การศึกษาของใจ”
ฉันอยากทำ เธอช่วยฉันหน่อยสิ ฉันอยากมีบล็อก แนะนำฉันหน่อยสิ ฉันอยากมีบันทึก เขาทำอย่างไรกันเหรอ
“ความอยากที่มาจากใจ” มีค่ามากกว่า “ความอยากไปเข้ารับการอบรม”
ดังนั้นก็เหมือนว่าเพื่อนปุ้ยจะเดินมาถูกทางแล้ว คือ ตอนนี้เพื่อนปุ้ยมีความอยากใช่ไหมล่ะ
แต่เพื่อนปุ้ยมีความอยากที่มาจากใจสุด ๆ หรือยัง
ถ้ายังนะ เราจะกระตุ้นความอยากให้ออกมาจากใจของนายให้สุด ๆก่อน
เราจะให้นายเข้าไปอ่านบันทึกจากท่านต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนนะ
แล้วเพื่อนปุ้ยจะรู้ว่า “ความอยากที่มาจากใจแบบสุด ๆ มันเป็นอย่างไร”
พลังของ Gotoknow โดยท่าน Prof. Vicharn Panich
KnowledgeVolution ระบบการจัดการความรู้แบบเปิดเผยรหัสต้นฉบับ ระบบแรกของไทย โดยท่าน ดร. จันทวรรณ น้อยวัน
ประโยชน์ของบล็อก Gotoknow โดยท่าน Prof. Vicharn Panich
บล็อก (Blog or Weblog) คืออะไร? โดยท่าน ดร. จันทวรรณ น้อยวัน
การใช้บล็อกและบันทึกใน GotoKnow ให้เป็นประโยชน์ โดยท่าน beeman
Update! ผู้รู้ยอมรับว่า Blog คือ เครื่องมือของการ Capturing knowledge ที่ทรงพลัง โดยท่าน ดร. จันทวรรณ น้อยวัน
ความมหัศจรรย์แห่งบล็อก (ใน GotoKnow) beeman
blog คืออะไร ? โดยท่าน คนสร้างฝัน
Bloc คืออะไร และทำอะไรได้บ้างโดยท่าน raspo
บล็อก: เทคโนโลยีเพื่อการจัดการความรู้ฝังลึก โดยท่าน ดร. จันทวรรณ น้อยวัน
KM (แนวปฏิบัติ) วันละคำ : 132-2. บล็อก เครื่องมือสื่อออกมาจากใจ โดยท่าน Prof. Vicharn Panich
"คุณเอื้อ" นักเขียน บล็อก โดยท่าน Prof. Vicharn Panich
บล็อก VS เว็บบอร์ด เครื่องมือ KM ที่แตกต่าง โดยท่าน ดร. จันทวรรณ น้อยวัน
บล็อกให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด : กรณีตัวอย่าง โดยท่าน beeman
มุมมองใหม่ต่อระบบข้อมูล - ในมุม KM โดยท่าน Prof. Vicharn Panich
Comment การเขียนเรื่อง KM ลงบล็อก โดยท่านProf. Vicharn Panich
เราอยากให้เพื่อนปุ้ยอ่านบันทึกต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนนะ
เพื่อให้เพื่อนปุ้ยเกิดความอยากจากใจแบบสุด ๆ ก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยจุดประกายในการสร้างสรรค์ผลงานจากประสบการณ์ของเพื่อนออกมาให้ได้มากที่สุดนะครับ
"เพราะการอยากจากใจจะทำให้เพื่อนปุ้ยมีพลังในการเขียนบันทึกและสร้างสรรค์งานต่าง ๆ "
เมื่อเพื่อนปุ้ยเกิดความอยากที่มาจากใจสุด ๆ แล้ว
เพื่อนปุ้ยก็อ่านบันทึกถัดไปของเรานะ แล้วเพื่อนปุ้ยจะรู้ว่า "Blog" และบันทึกนั้นสร้างอย่างไร
ป.ล. ถ้านายสนใจเรื่องการจัดการความรู้ สิ่งที่เรากำลังทำให้นายอยู่ทั้งหมดเนี่ย คือ "การจัดการความรู้" นะ
นายลองสกัดสิ่งที่เราทำ ว่าทำไมเราถึงทำแบบนี้
เพราะแทนที่เราจะบอกนายเฉยๆ แป๊บเดียวก็เสร็จ แต่เราทุ่มเทเวลาให้กับบันทึกนี้หลายชั่วโมงเพื่อนาย อยากให้นายได้แบบคุ้มค่าและเป็นการได้ที่ยั่งยืนนะ
ทำไมเราถึงต้องให้นายอ่านบันทึกตั้งเยอะแยะ ทำไมเราถึงไม่บอกนายเอง
เมื่อนายเข้าถึงแก่นแห่งการจัดการความรู้
นายก็จะได้เห็นในสิ่งที่นายไม่เคยได้เห็น
ได้สัมผัสในสิ่งที่นายไม่เคยได้สัมผัส
ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป
แล้วนายจะ "รู้ได้ด้วยใจของนายเอง"
ขอพลังแห่งความรู้และปัญญาจงสถิตกับเพื่อนตลอดไป
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ (จอห์น)
คุณอาจารย์...หลานป้าบวม ยังบ้าพลังเหมือนเดิม...
คุณปุ้ย...
โห...เพื่อนจอน ไม่รู้ว่าจะขอบคุณก่อนดี หรือว่าจะ......ดี เธอเอาประวัติชั้นกับรูปชั้นมาประจานซะขนาดแบบว่า....เลยนะ ไปบอกเค้าทำไมว่าแต่งงง..แต่งงานแล้วอ่ะ....5555 ล้อเล่นอ่ะ..
พอดีว่าได้ไปอ่านใน บันทึกเทคนิคเรื่องการทำบล็อก : จัดการความรู้สู่เพื่อนปุ้ยและทุก ๆ คน อันนี้ซะก่อน ยังไม่ได้อ่านบันทึกอันก่อน (คืออันนี้แหละ) แหม่...แทบจะร้องไห้เลย...เธอเขียนซะ “ถ้าไม่มีนายก็คงไม่มีเราในวันนี้นะเพื่อนปุ้ย”
ปานว่าชั้นเป็นเทวดาเลยอ่ะนะ (เอ..เอาแถบสีออกไงหว่า) เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยหัดนะ ต้องทำได้แน่นอน (สัญญากับตัวเองไว้แล้ว) แต่ตอนนี้ต้องตรวจข้อสอบก่อน ดองไว้ 1 อาทิตย์แล้ว 55
ยังไงเราก็จะอ่านที่เธอแนะนำมาให้หมดเลยนะ ก็อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ "ใจ"เรามาแล้ว นี่ตอนนี้ก็ต้องเข้ามาอ่านเรื่องของคนอื่น ๆ เก็บเกี่ยวความรู้ ยิ่งเธอแนะนำบันทึกดี ๆ ให้อ่าน ก็ยิ่งดีใหญ่เลย
ขอบใจอีกครั้ง..ไม่ผิดหวังเลยที่ได้รู้จักกับนายและมีนายเป็น "เพื่อน" ที่ดี
ป้าบวมกับท่านmoomi ก่อนแล้วกันครับ ตามลำดับไหล่ (อายุ อิอิ)
เพื่อนปุ้ย
ป.ล. สำหรับแถบสีเหลือที่มันติดมาด้วย ก็เพราะว่า นายแทรกแถบสีเหลือก่อนที่นายจะพิมพ์เสร็จใช่ป่ะล่ะ
ก็คือ ถ้านายแทรกสีสรรก่อน แล้วนาย Enter ต่อมาพิมพ์บรรทัดอื่น แถบสีเหลืองมันก็จะติดมาด้วย ก็เหมือนโปรแกรมเวิร์ดนั่นแหละ ถ้านายคลุมตัวดำหรือปรับตัวอักษรอะไรไว้ นาย Enter ลงมามันก็จะติดมาด้วย
วิธีป้องกัน
นายควรพิมพ์ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยแทรกแถบสี หรือตกแต่งความสวยงามที่หลัง
วิธีแก้ไข
ถ้านายเกิดแทรกผิดไปแล้วแบบนี้ นายก็เลือก (คลุมดำ) แถบตัวอักษรที่เป็นสีเหลืองทั้งหมด แล้วนายก็เข้าไปที่แถบเครื่องมือที่นายแทรกแถบสีเหลืองไว้อีกทีนึง แต่คราวนี้นายก็ไปเลือกสีขาว แถบนั้นก็จะไม่มี
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
พอจะเข้าใจแล้วว่าคนแถว office เขาจัดเราอยู่ในประเ
ขอโทษทียังเม้นท์ ไม่จบ วันนี้ com ป้าบวมมันอืดๆยังไงชอบกล สงสัยจะอืดเหมือนเจ้าของ(บล็อค)
จอน..มีอีกเรื่องนึงคือว่าที่เราโทรศัพท์คุยกันหน่ะ เรื่องของรางวัลที่เธอจะได้ เค้าเรียกว่า "เสื้อสามารถ"จริง ๆ แล้วก็มีเกณฑ์จากคณะกรรมการด้วยนะ เราได้อ่านในรายงานประจำปี KM ประเทศไทย 2548 มา จากบันทึกของ คุณวัลลา ตันตโยทัย (น่าจะเป็นคุณหมอนะ) ขออนุญาตเผยแพร่ต่อละกันนะคะ
เหตุผลที่จะได้รางวัล "สุดคะนึง" คือ
1. จำนวน/ความถี่ของการโพสต์
2. การเล่าเรื่อง/การบันทึกในสิ่งที่เป็นความรู้ฝังลึกที่ได้มาจากประสบการณ์จริงจากการปฏิบัติจริงในเรื่องนั้น ๆ
3. การเล่าเรื่อง/การบันทึกที่อ่านเห็นภาพชัดเจนหลังจากการทำ KM
4. สามารถบันทึกเนื้อหาให้เกิดแรงกระตุ้นทางความคิดและเกิดแรงจูงใจต่อผู้อ่านได้
5. เรื่องความสวยงามของหน้าบล็อกที่บันทึก
6. ชื่อเรื่องน่าสนใจและมีแรงดึงดูด
เอาไว้เป็นความรู้ให้ Blogger ทั้งหลายด้วยนะคะ ส่วนตัวข้าพเจ้าขอเก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุดก่อนค่ะ
ปุ้ย
หวาย...นายจอน..พอเขียนเรื่องรางวัลสุดคะนึงเสร็จ ก็ไปอ่านบันทึกต่าง ๆ ที่นายส่งมาให้เรา...(เยอะมากอ่ะนะ) ไปเจอบันทึก "ที่มาและเป็นไปของรางวัลสุดคะนึง" ของคุณพี่ beeman ซึ่งนายก็เคยอ่านแล้วด้วยอ่ะ แล้วทำเป็นไม่บอกชั้น...เชอะ สอนจรเข้อีกแล้นนน (ปล่อยไก่..ตัวเบ้อเริ่มเลย) 555
ปล.มีเจ๊เฟินแอบเข้ามาด้วยอ่ะ เจ๊เฟินก็ทำ KM แล้วนะ เขียนไว้ดีด้วยแหละ ลองเข้ามาอ่านได้ที่เว็บของคณะเรานะ
เพื่อนปุ้ย
ป.ล. ถ้านายมีธุระด่วน โทรมาเลยก็ได้นะ โดยเฉพาะช่วง ตีห้าถึงห้าโมงเย็น โทรศัพท์เราโทรฟรี นายตื๊ดมาได้เลย เดี๋ยวเราโทรกลับ
อ่านจบหมดแล้ว..สำหรับบันทึกที่นายแนะนำเรามา ยิ่งอ่าน ทำให้มีแรงใจใหญ่เลย..ขอบใจมาก ๆ
ตอนนี้กะลังอ่านพวกเทคนิคต่าง ๆ อยู่ แล้วก็จัดสรรเวลาด้วย...งานที่คณะ ก็อย่างที่รู้อ่ะนะ...มันมีแต่เรื่องด่วน....เสมอเลย
ปล.คิดได้แล้วว่าจะเขียนเรื่องอะไร..อิอิ
ปุ้ย