โลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ เป็นยุค “สำลักความรู้” คือมีความรู้มากเกินไป จนงง ว่าจะใช้ความรู้ชุดไหนดี
จึงต้องร่วมกันทำข้อตกลงว่า จะเอาความรู้หรือเทคโนโลยีเป็นฐานหรือเป็นตัวตั้งไม่ได้ ต้องเอาผลประโยชน์ของสังคมเป็นตัวตั้ง ระบบความรู้หรือระบบปัญญาต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในภาพรวมของสังคม
นี่คือที่มาของขบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาของวิชาชีพสุขภาพ (Health Professional Education Reform – HPER) ในศตวรรษที่ ๒๑ ของทั้งโลก และของประเทศไทย ที่ผมมีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง
หลักการคือ เราเสนอว่า HPE ต้องก้าวข้ามการเรียนรู้แบบ Science-Based ไปเป็น Systems-Based คือแทนที่จะเอาความรู้เป็นฐานหรือตัวตั้ง ต้องเปลี่ยนไปเป็นเอาระบบสุขภาพเป็นตัวตั้ง จากระบบสุขภาพ (ที่กำหนด) นำไปสู่การกำหนดความรู้ความสามารถ (competencies) ของวิชาชีพสุขภาพแต่ละวิชาชีพ และนำไปสู่การกำหนดหลักสูตรและการเรียนรู้ของวิชาชีพนั้น
แค่นั้นยังไม่พอ อาจารย์ในแต่ละวิชาชีพต้องไม่ทำงานจำกัดวงแคบอยู่เฉพาะใน ส่วนตติยภูมิของระบบสุขภาพเท่านั้น ต้องใช้ความเป็น super specialist ของตน ทำงานร่วมสร้างระบบสุขภาพ โดยทำงานเชื่อมไปถึงระบบปฐมภูมิ ดังกรณีที่ผมได้บันทึกไว้เรื่องความพิการแต่กำเนิด ที่ ๑, ๒
ตัวอย่างของผลสำเร็จ ที่ super specialist ทำงานพัฒนาเชิงระบบให้แก่ระบบสุขภาพไทยคือ ศ. นพ. เทพ หิมะทองคำ และนักวิชาการระดับตติยภูมิอื่นๆ กับโรคเบาหวาน ที่ใช้โรงพยาบาลเทพธารินทร์ สมาคมนักกำหนดอาหาร เครือข่าย KM เบาหวาน ทุนพัฒนาจากต่างประเทศและอื่นๆ ดำเนินการเชิงระบบ ให้ความรู้เชิงเทคนิกที่มีความสำคัญเข้าไปสู่ระบบบริการทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับปฐมภูมิ ทำให้การป้องกันและดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง อ่านเรื่องนี้ได้จากหนังสือ เบาหวานฉบับเทพ
ในยุคศตวรรษที่ ๒๑ Super Specialist นอกจากเก่งในระดับตติยภูมิแล้ว ยังต้องเก่งในการพัฒนาสุขภาวะเชิงระบบด้วย
วิจารณ์ พานิช
๘ ม.ค.๕๕
ไม่มีความเห็น