ความรู้คู่ปัญญา
ความรู้ต่างจากปัญญาลิบลับ เพราะใครๆที่พอมีสตางค์และมีสมองระดับปานกลาง ภายในเวลา 3-5 ปีหลังจากจบปริญญาตรีก็สามารถผันตัวเองไปเป็นดอกเตอร์ผู้ทรงความรู้ได้แล้ว
แต่ปัญญานั้นเป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมบ่มเพาะเป็นเวลานานตลอดชาติ (หรือ อาจถึงหลายๆ ชาติ) จึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดอะไรที่เราจะเห็นผู้ทรงความรู้ที่ขาดปัญญาเต็มอยู่เกลื่อนเมืองทุกวันนี้ พอมีความรู้ขึ้นมาหน่อยก็ชูอวดอ้างฤทธีเป็นที่ปรึกษาโครงการ เป็นที่ปรึกษานักการเมือง หรือแม้กระทั่งเป็นนักการเมืองเสียเองกันมากมาย
บัณฑิตที่จบมหาลัยออกไปแล้วมีแต่ความรู้แต่ไม่มีปัญญานั้น คงเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่สามารถจะช่วยพัฒนาชาติได้มากนัก แต่อาจช่วยทำลายชาติได้มากด้วยซ้ำไป เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบุคคลชั้นนำของสังคมในอนาคต
ช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่จะทำให้เกิดก้าวกระโดดทางปัญญาของนักศึกษาหรืออย่างน้อยก็ก่อเชื้อแห่งปัญญาเพื่อรอวันเบ่งบานในอนาคต แต่อนิจจา..มหาลัยไทยส่วนใหญ่นั้นนอกจากจะไม่มีนโยบายยกระดับปัญญาของนักศึกษาแล้ว ยังช่วยกันทำลายเชื้อแห่งปัญญาที่พอมีอยู่บ้างด้วยวิธีการต่างๆมากมาย ....เริ่มตั้งแต่พิธีกรรมรับน้องใหม่นั่นเทียว คงไม่ต้องถามว่ามีมหาวิทยาลัยไหนบ้างไหมที่มีหลักสูตรเน้นปัญญาเท่าเทียมกับความรู้
ผมมีความเห็นว่า ความรู้มักเกิดจากการวิเคราะห์แบบแยกแยะหาส่วนย่อย ส่วนปัญญามักเกิดจากการสังเคราะห์ให้เกิดความสัมพันธ์แบบองค์รวม โดยสังเคราะห์ขึ้นจากความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์นั่นแหละ ยิ่งสังเคราะห์และเชื่อมโยงไปกับสรรพสิ่งในโลกนี้ได้ในวงกว้างมากเท่าไร ปัญญาก็จะเกิดมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงไปถึงสังคม ธรรมชาติทั้งหลาย ตลอดจนจิตวิญญาณ
อาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรัฐมนตรีความรู้ระดับปริญญาเอกมากที่สุดในโลก แต่กลับเป็นประเทศหนึ่งที่ด้อยปัญญามากที่สุดในโลก ตัวอย่างของเครื่องชี้วัดความด้อยปัญญาก็เช่น มีการประกวดนางงามมากที่สุดในโลก มีละครน้ำเน่ามากที่สุดในโลก และมีระบบการเมืองเน่าที่สุดในโลก เป็นต้น
ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะเรามีแต่ความรู้ท่วมหัวแต่ปัญญาเหมือนบัวที่ต่ำติดตมใช่หรือไม่
พระพะยอม กัลยาโณ (พระที่ผม “เคย” นับถือ) เคยให้ข้อคิดว่า ...ระบบการศึกษาไทยทุกวันนี้ ให้ความรู้เยอะ แต่ให้ปัญญาน้อย ซึ่งผมเห็นด้วย
ความรู้มากทำให้ฉลาดมาก เมื่อผนวกสองอย่างเข้าด้วยกันฝรั่งอาจเรียกว่า Intelligence คนพวกนี้จะมองของที่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนว่าเป็นของง่าย ซึ่งทำให้คนจำนวนมากนิยมนับถือ ทุกวันนี้พวกเขาได้ช่วยกันคิดค้นคอมพิวเตอร์เพื่อมาสร้าง ความฉลาดเทียมกันมากมาย เรียกกันว่า Artificial Intelligence
ส่วนปัญญานั้น ผมแปลเป็นอังกฤษว่า Wisdom ซึ่งคนบางคนนั้นอาจไม่มีการศึกษาแม้ปอหนึ่ง แต่กลับมีวิสดึ่มสูงมาก เช่น ขงเบ้ง แห่งเขาโงลังกั๊งนั่นไง เป็นแค่คนเลี้ยงหม่อนบนเขาสูง แต่กลับหยั่งรุ้ดินฟ้ามหาสมุทรได้ ปราชญ์ชาวบ้านไทยจำนวนหนึ่งก็เช่นนั้น (แต่ไม่ทุกคนหรอก ปราชญ์ปลอมก็มาก )
คนมี Intelligence มาก อาจมี Wisdom ต่ำมากก็เป็นได้ ซึ่งพวกนี้มักมีมาก และเป็นอันตรายต่อสังคมมาก เพราะมักเลียเก่ง ซึ่งในสังคมแบบไทยเรา ทำให้มีอำนาจมาก และทำลายล้างได้มาก
ทำอย่างไรเราจะช่วยกันทำให้คนที่มี IQ และ WQ สูงได้เป็นผู้กำหนดนโยบายบริหารประเทศ
...คนถา”ม”ทาง (๒๖ มกราคม ๒๕๕๕)
ปล. ถ้ามี WQ เสียแล้ว EQ เป็นเพียงผลพลอยได้
พิจารณา http://greatgreatgrand.blogspot.com/2007/10/intelligence-knowledge-wisdom.html
ดิฉันเองเห็นว่า ตำแหน่งของ "Wisdom" และ "Intelligence" น่าจะสลับกัน เพราะความรู้และสติปัญญา (Intelligence) น่าจะเป็นฐานของภูมิปัญญา ไม่ใช่ความรู้และภูมิปัญญาเป็นฐานของสติปัญญาขอบพระคุณ อ.วิไล ครับ ที่แลกเปลี่ยน ผมไปอ่านเว็บที่ท่านลิง์มา ผมเห็นด้วยบางส่วนและไม่เห็นด้วยบางส่วน ที่ว่า
intelligence คือ ความสามารถในการแก้ปัญหานั้น ถ้าจะให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต้อง "แก้ให้ดีขึ้น" ด้วยนะครับ โดยนิยามของความ "ดี" นั้นก็ต่างกันไปอีก สุดแล้วแต่ Wisdom ของแต่ละคนที่จะวินิจฉัย... เช่น รัฐบาลปู(ภายใต้การชี้นำของ สมองที่มองไม่เห็น) แก้ปัญหาว่าจะทำให้คนไทยมีความสุขมากขึ้นด้วยการ "เพิ่มรายได้" เพิ่ม GDP แบบนี้ถือว่ามีความสามารถในการแก้ปัญหาไหมครับ
Wisdom ที่เว็บบอกว่าคือ Experience ผมก็ว่าถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะเด็กอายุ ๗ ขวบมี Wisdom ขนาดตรัสรู้ได้ก็มีแล้วนะครับ ในขณะที่พระเถระอายุ ๘๐ ยังมะงุมมะงาหราอยู่เลยครับ
ผมสรุปว่ารัฐบาลไทยเราที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ขาดทั้งความรู้ ความฉลาด และ ปัญญา