ในงานประชุมวิชาการที่ สกว. จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24-26 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา จ๊ะจ๋าได้มีโอกาสเข้าร่วมงานครั้งนี้แค่วันเดียวคือวันที่ 26 สิงหาคม 2549 ถึงแม้จะไปเพียงวันเดียวแต่สิ่งที่ได้รับก็มีคุณค่าในชีวิตยิ่ง ด้วยกำหนดการช่วงบ่ายที่เข้าร่วม ตนเองมีเป้าหมายมีเป้าหมาย 3 ข้อ คือ ข้อแรก ต้องการฝึกฝนการเป็นคุณอำนวย โดยสมัครใจทำหน้าที่คุณอำนวยในกลุ่มย่อย ช่วงของเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ : แนวทางการสร้างครูเรียนรู้ผ่าน “ครุวิจัย” ข้อสอง มีความอยากรู้อยากเห็นในส่วนตัวว่าจากการที่กลุ่มครูในโครงการครุวิจัยได้เข้าฝึกอบรมอยู่ 3 ศูนย์ในระยะเวลา 1 เดือน ได้เรียนรู้อะไรบ้างและเอาไปปรับใช้อย่างไร ทั้งในเรื่องของตัวเอง การสอน และสังคม ข้อสาม เป็นข้อที่สำคัญและจ๊ะจ๋ามีความใฝ่ฝันแรงกล้าว่าอยากฟังปาฐกถาพิเศษของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ซักครั้งหนึ่งในชีวิต.....เพราะตนทำงานที่ สคส. มาได้ 6 เดือนกว่าแล้ว ยังไม่เคยพบท่านซักครั้ง ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานาน ตนเองเคยแต่พบเจอผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสารต่างๆ
เมื่อมีเป้าหมายในใจ ตนเองก็เริ่มปฏิบัติการทันทีในวันนั้น ด้วยการไปถึงก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย ซึ่งกำหนดการนัดหมายรวมพล เพื่อซักซ้อมการเป็นคุณอำนวยอีกครั้งในวันงานคือ เวลา 11.30 น. ทางทีมงานคุณปรีดา เรืองวิชาธร จากเสมสิขาลัย ได้แจ้งว่าขอเลื่อนเวลานัดหมายไปซักเล็กน้อย จ๊ะจ๋าและพี่ๆ สคส. ที่มาถึงก่อนเวลานัด ได้ซักซ้อมกันเองว่า จากการที่ตนทำหน้าที่เป็นคุณอำนวย จะดำเนินการกระบวนการอย่างไรในกลุ่มย่อย เพื่อให้ได้ตรงตามเป้าหมาย 3 ข้อในใจของ สกว. ซึ่งเป็นผู้จัดงาน คือ สิ่งที่ได้เรียนรู้ (1 เดือน)? สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้อย่างไร? และจากประสบการณ์ที่ได้ มีข้อเสนอแนะต่อ สกว. ?
เมื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคของแต่ละคน พอสรุปได้ว่า เราทุกคนใช้เรื่องเล่าความสำเร็จเป็นตัวเดินเรื่อง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของเราคือ ครูในโครงการวิจัยเป็นผู้เล่าเรื่อง เนืองจากลุ่มเป้าหมายมีจำนวนน้อย เพียงกลุ่มละ 8 คน ก็วางแผนว่าจะให้ทุกคนเล่าเรื่องในกลุ่มใหญ่ และร่วมสรุปบทเรียนร่วมกัน และพร้อมนำเสนอ แหละนี่คือสาระที่ได้......แต่เทคนิคการพูดคุยนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นในการดึงความรู้ที่แฝงฝังในแต่ละคน ให้เค้าพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ลื่นไหล และเราก็มีคนจดบันทึกไว้คอยดักจับความรู้ที่ผู้เล่าถ่ายทอดออกมา และสิ่งที่สำคัญที่ไม่ยิ่งหน่อยไปกว่ากันคือ การสร้างบรรยากาศให้เป็นอิสระ ความเท่าเทียมกัน มีความไว้เนื้อเชื่อใจ เคารพและเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน การชื่นชมและการซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถามด้วยคำถามเชิงบวก สร้างสรรค์ ทำให้ผู้เล่ายิ่งมีอรรถรสในการเล่ามากขึ้น........
เมื่อถึงเวลา 11.30 นัดรวมพลพูดคุยกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเริ่มกระบวนการในเวลาบ่าย 2 โมง เราได้พูดคุยซักถามกันหลายเรื่องในการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ให้ดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และสุดท้ายคือการทำใจให้สบายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเวทีนี้เป็นการฝึกฝนให้ได้ทดลอง และถ้าเกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะเกิดทักษะในการดำเนินกระบวนการได้
กำหนดการสำคัญที่จ๊ะจ๋าเฝ้ารอคอยก็มาถึง....การฟังปาฐกถาพิเศษของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ท่านเกริ่นนำด้วยการชี้ให้เห็นว่า ครูคือ เมล็ดพันธุ์แห่งความดี และมีหลัก 7 ประการที่สำคัญ คือ
1. ระบบครู การศึกษา และการเรียนรู้ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก เนื่องจากครูเป็นบุคลากรที่มีจำนวนมากที่สุดถึง 700,000 คน นักเรียน ประมาณ 10 ล้านคน ถ้าเปรียบเสมือนเป็นบริษัท ก็เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก ซึ่งใหญ่กว่าภาคการเมือง ภาคธุรกิจ เมื่อเปรียบเทียบขนาดแล้ว แนวความคิดอุดมคติ ระบบการศึกษาที่มีขนาดใหญ่กว่าภาคการเมือง ภาคธุรกิจ ควรจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นพลังทางความดี แต่ทำไม 2 กลุ่มที่กล่าวภายหลังจึงมีพลังมากกว่า ....ดังนั้นระบบการศึกษาควรผลักดันให้มีพลังมากขึ้น เพราะภาคการศึกษามีเป้าหมายในการพัฒนา คน ปัญญา ความดี และเรียกว่าเป็นพุทธบริษัท ซึ่งต่างจากภาคการเมืองและธุรกิจที่มีเป้าหมายเพื่ออำนาจ
2. เกิดวิกฤตการณ์ทางสังคม ทางสิ่งแวดล้อม และคน ที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมโยงของวัตถุนิยม บริโภคนิยม และจริตนิยม ซึ่งเป็นการลุ่มหลงในอวิชชา (โลภะ โมหะ โทสะ) “ทำอย่างไรระบบการศึกษาจึงสร้างสมรรถนะของชาติ รักษาสมดุลให้ดี ”เป็นคำถามที่ฝากไว้ในห้องประชุม
3. ย้อมมองถึงพลังในการสร้างสรรค์การกลับมาเป็นมนุษย์ มองลึกลงไปในศักยภาพของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ท่านได้ยกตัวอย่างว่า สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลง เช่น การกลายพันธุ์ของไวรัส มันสามารถปรับตัวเพื่อเกิดความอยู่รอดได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้อย่างไวรัส สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้คือ ให้ใช้สมองในการปรับตัว สมองที่มนุษย์มีเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด เมื่อผ่าดูจะเห็นว่ามีเซลล์เป็นแสนล้านเซลล์ที่เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย มีความซับซ้อนและวิจิตร สมองมีเครื่องรับรู้ ส่งผลให้มนุษย์ มีความคิด มีความรู้สึก (สดชื่น เศร้า เครียด ) เกิดกุศล อกุศล บุญ บาป ซึ่งต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆการที่คนเราสามารถรับรู้และเกิดการเรียนรู้ โดยการรับรู้ผ่านอายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ผ่านสมองจะเกิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ให้เป็นความเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น เกิดเป็นความรู้ที่ชัดขึ้น ความรู้ใหม่ ความรู้ที่สูงขึ้น เป็นการเรียนรู้ เปรียบเสมือนการวิจัยคือวิถีชีวิตที่ทำให้มนุษย์อยู่รอด วิจัยให้รู้ความจริง เพื่อให้เกิดเครื่องมือด้วยการใช้ปัญญา
4. ท่านได้ยกตัวอย่างการวิจัยของชาวบ้าน ทั้ง 3 พื้นที่ ซึ่งแต่ละคนทำการวิจัยผ่านวิถีชีวิตของแต่ละคนด้วยการตั้งคำถาม ทดลองปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่าจดเป็นที่พอใจ (วิจัย) เกิดความรู้ใหม่และสามารถสร้างมูลค่าของสินค้า และเป็นคำถามขบคิดว่าการที่เรามีความรู้ นำไปใช้ประโยชน์ โดยไม่เรียนรู้ เป็นจุดที่สำคัญที่ควรหันกลับมามอง5. เกิดคำถามว่า ทำไมระบบการศึกษาจึงตัดขาดการวิจัย? การศึกษาสูงแต่การวิจัยต่ำ มักพบได้ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่ทั้งการศึกษาและการวิจัยมีค่าสูงทั้ง 2 เรื่อง เมื่อมองในการศึกษาไทย มีการแยกการศึกษาออกจากชีวิตและ การวิจัยนั่นแหละคือวิถีชีวิต เพราะเป็นความอยู่รอดของชีวิต การที่นักเรียนใช้การเรียนแบบท่องจำ และสอบเรื่องวิชา มุ่งเน้นแต่เกรดเพียงอย่างเดียว ขาดความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง ปู่ ย่า ตา ยาย ทำให้ขาดจากการดำเนินวิถีชีวิต แท้จริงแล้ว การเรียนรู้และเอาวิถีชีวิตเป็นตัวตั้ง แล้วเอาวิชาเป็นเครื่องมือเป็นหลักที่สำคัญ ปัจจุบันเด็กขาดการเรียนรู้ในวัฒนธรรม ในวิถีชีวิต เรียนรู้นอกฐานวัฒนธรรม ทำให้ขาดรากเหง้าของสังคม เปรียบเสมือนต้นไม้ ที่ขาดรากเหง้าของสังคม เพราะรากของสังคมคือวัฒนธรรม การศึกษาต้องปรับ ขยับเข้าไปศึกษาชีวิตจริง และ เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตชาวบ้านเป็นการวิจัยที่เนียนอยู่ในการศึกษา
6. การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ผ่านกระบวนการทางปัญญา มี 10 ขั้นตอนคือ
ฝึกสังเกตฝึกบันทึกฝึกการนำเสนอฝึกซักถาม (ปุจฉา-วิสัชนา) เกิดความแจ้งแจ้งทางปัญญาตั้งสมมติฐาน คือ นี่คืออะไร เกิดจากอะไร อะไรที่มีประโยชน์สำหรับเรื่องอะไร มีประโยชน์อย่างไร เปรียบเสมือน ทุกข์ สมุทัย นิโรค มรรคตั้งคำถาม ด้วยขบวนทางปัญญาแสวงหาคำตอบ ค้นทางห้องสมุด อินเทอร์เน็ต คุยกับปู่ ย่า ตา ยาย การวิจัย (Research Methodology) เชื่อมโยงสู่บูรณาการ ด้วยความรู้คู่ปัญญาเป็นการเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน การจดบันทึก ควรจะยกระดับสมรรถนะด้วยการฝึกจดบันทึก คนไทยมักติดรูปแบบมากกว่าสาระ ติดฐานะรูปมากกว่าแก่นสารที่ควรจะได้
7. วิถีชีวิต การเรียนรู้ การวิจัย ทั้ง 3 สิ่งเป็นวิถีเดียวกัน สิ่งที่เป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าของมนุษย์คือ สมอง เพื่อใช้ในกระบวนการเรียนรู้ ตั้งแต่การปฏิบัติในวิถีชีวิตของตน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ใหม่ และนำไปปรับใช้ในสภาวะแวดล้อมของตน และนำกลับมาปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดความเข้าใจ และเรียนรู้ หมุนเวียนจนเกิดความรู้ใหม่ ต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้นการเรียนรู้ที่ดีเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ทำให้มนุษย์เข้าไปเจอความดี ความงาม ที่สรรค์สร้างบรรจงสิ่งดี ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
7 หลักที่กล่าวมานี้เหนือคำบรรยายที่จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เพราะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมเรา และนอกเหนือไปจากนั้น การเน้นย้ำถึงความสำคัญของรากเหง้า วิถีชีวิต วัฒนธรรมของเราที่สืบสานมาเป็นเวลาช้านานได้ร้อยเรียงมาจนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การรักษาอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าในโลกปัจจุบันจะก้าวล้ำไปซักแค่ไหน มีเทคโนโลยีมาเสริมให้ผู้คนมีวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปซักเท่าไร่ แต่คุณค่าของความเป็นคนด้วยการใช้ปัญญา เพื่อวิเคราะห์ หาเหตุและผล นำเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในวิถีชีวิต ในสังคมของเรา ปัญญาเป็นสิ่งมีค่าแก่การใช้งาน ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มพูน
ด้วยความยินดีคะ คุณตาหยู
โห...เป็นบันทึกเรื่องเล่าที่ได้ความรู้และสาระมากเลยคะ...ตั้งใจอ่านทุกคำ ประโยค บันทัดเลยคะ
...
เก็บเข้าขุมความรู้ตนเองไว้เรียบร้อยแล้วคะ
*^__^*
ขอบคุณมากนะคะ
กะปุ๋ม
ขอบคุณคะ ดร. กะปุ๋ม และดีใจที่เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
That's awesome. I really like this topic. It makes me like missing so many things as I was young.
What you have concluded from Dr Prawade is very critical for developing Thai society; especially, from education point of view. I believe that SKS is doing on the right track in KM for all Thai people. I wish to see more of this matter from SKS.
Thanks Ja+ for your sharing such precious information.
ทำนายความรัก
ข้อความ:ทดสอบความรักของตัวคุณเอง
ทดสอบความเซ็กซี่ [[ถ้าโกงขอให้คำทำนายม่ายเปนความจิง ]]
เอากระดาษมาแผ่นนึงแล้วเขียน1-10
(ห้ามโกหก+++เด็ดขาด)
1.คุณมีผมสีเข้มหรือสีอ่อน
2.ถ้าเกิดได้ไปเดท คุณจะเลือกไปกินข้าว2ต่อ2 หรือไปปาร์ตี้
3.สีโปรดของคุณคืออะไร ระหว่าง ชมพู, เหลือง, ฟ้าอ่อน , หรือ เขียวน้ำทะเล
4.กิจกรรมที่คุณโปรดปรานมากที่สุดระหว่าง โต้คลื่น , เสก็ต , หรือ สกี
5. ถ้าจะเลือกท่าเรือระหว่าง อู่เรือรบเก่า , อู่แปซิฟิค หรือ อู่วิคตอเรีย ซีเคร็ต คุณจะเลือก อันไหน
6.รัฐที่คุณชอบที่สุดคือรัฐใดระหว่าง แคลิฟอร์เนีย , ฟลอริดา , หรือ โอไฮโอ
7. ในฤดูร้อนคุณจะไปทะเล หรือ จะไปที่ๆเย็นกว่านี้
8. เกิดเดือนอะไร
9. คุณจะนั่งอืดอยู่ที่บ้านหรือ ออกไปเที่ยวกับเพื่อน
10. ชื่อคนที่เป็นเพศตรงข้ามกับคุณ
—=====อธิษฐาน=====—
*เริ่ม เลย*
10 ฟิล์ม
9 นั่งอืดอยู่ที่บ้าน
8 กันยายน
7 ที่ๆเย็นกว่านี้
6 ฟลอริดา
5 อู่วิคตอเรีย ซีเคร็ต
4 สเก็ต
3 ฟ้าอ่อน
2 กินข้าว2ต่อ2
1 เข้ม
***หยุด!***
*คำตอบ*
1. สีเข้ม-เซ็กซี่ ~ สีอ่อน-หวาน น่ารัก
2. ไปกินข้าว2ต่อ2-โรแมนติค ~ ไปปาร์ตี้-ขี้เล่น
3. ชมพู-น่ารัก ~ เหลือง-ชอบเสียงดัง ~ ฟ้าอ่อน-ใจเย็น ~ เขียวน้ำทะเล-แข็งแกร่ง
4. โต้คลื่น-ว่องไว คล่องแคล่ว ~ เสก็ต-เด็ดเดี่ยว ~ สกี-กล้าหาญ
5. อู่เรือรบเก่า-น่ากลัว ~ อู่แปซิฟิค-สนุกสนาน ~ อู่วิคตอเรีย ซีเคร็ต-เซ็กซี่
6. แคลิฟอร์เนีย - คุณชอบอยู่กับคนมากๆ ~ ฟลอริดา-ปาร์ตี้ในความร้อน ~ โอไฮโอ- เงียบ เย็น
7. ทะเล-ผิวสีแทน ชอบพระอาทิตย์ ~ ที่ๆเย็นกว่านี้-ผิวสีอ่อน และ หัวโบราน
8. มกราคม-โด่งดัง ~ กุมภาพันธ์-น่ารัก ~ มีนาคม-เสียงดัง ~ เมษายน-ขี้เล่น พฤษภาคม-ใจเย็นมาก ~ มิถุนายน-อารมณ์ดี ~ กรกฎาคม-เรียบง่าย ~ สิงหาคม- สนุก สนาน ~ กันยายน-เงียบ ~ ตุลาคม-กล้าแสดงออก ~ พฤศจิกายน-ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น (ทั้งทางดีและไม่ดี) ~ ธันวาคม-อบอุ่น
9. อืดอยู่บ้าน-น่าเบื่อ ~ ไปเที่ยวกับเพื่อน-บ้าๆบอๆ
10. คนนั้นจะตกหลุมรักคุณ!!!!!
ถ้าคุณโพสกระทู้นี้ไปเวปอื่น:
0 เวป…คำอธิษฐานของคุณจะไม่เป็นจิง
1-5เวป….คำอธิษฐานของคุณจะเป็นจิงภายใน6เดือน
6-10 เวป….คำอธิษฐานของคุณจะเป็นจิงภายใน2อาทิตย์
11 เวปขึ้นไป…..จะเป็นจิงเร็วมาาาาาาก pan da pan da
#21 By นู๋น้อยน่ารัก (124.120.61.3) on 2009-08-01 18:56
...
#22 By .. (118.173.144.61) on 2009-08-02 10:08