ห่อน้ำแข็งไปฝากหลาน บุญช่วย มีจิต
ชีวิตเด็กบ้านนอกเมื่อ พ.ศ. 2500 เป็นอยู่กันอย่างเรียบง่าย ตกบ่ายก็พากันออกไปหาปลา หากบเขียด มาปรุงอาหารเย็น เวลาว่างอยู่ด้วยกันหลาย ๆ คน ก็เล่นการพนันหนังยางบ้าง โยนหลุมโดยใช้เหรียญสตางค์แดงบ้าง วนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่แสนวิเศษสุดแล้ว เล่นกันแบบลืมมืด ลืมค่ำ ลืมข้าวลืมน้ำเลยทีเดียว ความสุขอย่างอื่นอย่าไปหา วิทยุ ทีวี.หนัง ละคร เป็นอย่างไรไม่เคยคิดว่า มันจะมีในโลก
นาน ๆ จึงจะมีงานประจำปี ทั้งของหมู่บ้านตัวเองและหมู่บ้านใกล้เคียงสักที มีงานทีจึงตื่นเต้นกันมาก บางคน ( ที่พ่อแม่มีเงิน ) ก็ได้เสื้อผ้าใหม่ เหม็นกลิ่นเจ๊กไปอวดเพื่อน ๆ สำหรับผมแล้ว เหมือนเดิมเสื้อผ้าตัวเดิม กางเกงหูรูด เสื้อผ้ายย้อมครามฝีมือคุณยาย แค่นี้ก็เท่แล้ว
งานวัดสมัยนั้นก็ยังไม่มีอะไรดูมากนัก นอกจากแม่ค้าซึ่งได้แก่สาว ๆ นำปิ้งไก่บ้าง ขนมที่ทำจากข้าวเหนียวตากแห้ง ไปซื้อมากจากวัด นำไปกวนกับน้ำอ้อย น้ำตาล ใส่แปะแซ นมหนูเข้าไป ห่อด้วยกระกาษ(เจี้ย) สองห่อต่อสลึง นอกนั้นก็มีขนม(น่าจะเป็นลูกอมมากกว่า) นกหวีด ที่เป็นของเจ๊ก กินขนมแล้วก็เป่านกหวีดพลาสติก เสียงดังปี๊ด ๆ ลั่นไปหมด จนผู้เฒ่าผู้แก่ดุเอา เพราะรำคาญหูนั่นเอง
เงินเที่ยวงานก็ขอจากพ่อแม่ สมัยนั้นเงินหายากมาก ใครได้เงินไปเที่ยวงาน 1 บาทละก็ถือว่ามากแล้ว
ส่วนใหญ่ไปแล้วก็ซื้อ ๆ ๆ แล้วก็กลับบ้าน
ผมไม่มีพ่อ ( มีก็เหมือนไม่มี ) ไม่มีแม่ ตายายก็จน ไม่มีรายได้มาจากไหน จึงไปเที่ยวงานโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่สตางค์แดงเดียว ( ตอนนั้นยังใช้สตางค์ห้า สตางค์สิบ สตางค์ยี่สิบซื้อของได้ ) เห็นเพื่อนกินอะไร ซื้ออะไร ก็ได้แต่มองเพื่อนตาปริบ ๆ ด้วยความอิจฉา แต่ก็ไม่เคยน้อยใจ
มีอยู่คราวหนึ่ง จำได้ว่าอาวเพ็งซื้อเสื้อยืด ( กล้าม ) ให้ตัวหนึ่ง และให้เงินเที่ยวงานอีก 50 สตางค์ รู้สึกดีใจมาก
มหรสพก็มีหมอลำ ( กลอน ) ยกเวทีเตี้ย ๆ ลำด้วยปากเปล่า ซึ่งฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะพวกหนุ่ม ๆ คึกคะนองทั้งหลายตะโกนแซวหมอลำบ้าง ตะโกนสอยบ้าง จนผู้เฒ่าที่อยากฟังลำตะโกนมาจากด้านหลังว่า
เงียบหน่อย ๆ ๆ !!
แต่เมื่อต่างคนต่างตะโกนก็เลยกลายเป็นฟังอะไรไม่รู้เรื่องไปฉิบ
คุณยายขี้ใจน้อยทั้งหลายก็ลุกขึ้นเก็บเสื่อ ( สั่นสาด ) สลัดขี้ฝุ่นเดินกลับบ้าน ฝุ่นก็ฟุ้งตลบไปหมด
แสงสว่างก็ใช้กระบอง ( ขี้ใต้ ) จุดไว้ที่มุม มองเห็นหน้ากันพอมัว ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และต้องขยันควักขี้ใต้ให้ไฟมันลุกอยู่ตลอดเวลา ไม่งั้นก็ดับ จึงมีบ่อยครั้งที่ทั้งหมอลำ ทั้งคนที่คอยจุดกะบอง หน้าดำไป ตาม ๆ กัน เพราะควันกะบองรม
อย่างดีหน่อยก็มีตะเกียง ( เจ้าพายุ ) ให้แสงสว่างนวลขาว เย็นตา สว่างไสวไปทั่ว
แต่ก็อีกนะแหละ ต้องคอยสูบลมประจำ สูบแรงไปไส้ขาดอีก วิ่งหาซื้อ ร้านปิด ( ทั้หมู่บ้านมีร้านเดียว )
บางทีก็น้ำมันหมด ต้องอาศัยกะบองต่ออีกเช่นเคย
ถึงกระนั้น หมอลำก็ยังต้องลำไปจนสว่าง ดึก ๆ มาเด็ก ๆ กลับหมดแล้ว เสียงก็เงียบขึ้นหน่อย ฟังได้น้ำได้เนื้อ รู้เรื่องรู้ราวมากขึ้น
มีสิ่งหนึ่งซึ่งตั้งแต่เกิดมาพึ่งจะเคยเห็น คือ
น้ำแข็ง !!
เจ๊กฮวย นำน้ำแข็งไสใส่น้ำหวานมาขาย[1] เด็ก ๆ ชอบมาก ( เหมือนทุกวันนี้แหละ )
และเจ๊กฮวย ยังได้นำอุปกรณ์การทำติ้มหลอด[2] ( หวานเย็น ) มาขายเป็นครั้งแรกอีกด้วย ด้วยการให้เด็กช่วยกันหมุน โยก หรือ เขย่า อะไรนี่แหละ เพราะดูใกล้ ๆ ไม่ได้ ถูกผู้ใหญ่เอ็ดเอาว่า เด็ก ๆ ไปไกล ๆ อย่ามายุ่ง ผมเป็นคนประเภทว่าง่ายอยู่แล้ว ต้องออกไปทั้ง ๆ ใจอยากดู ( และกลืนน้ำลายไปด้วย เพราะไม่มีเงินซื้อ )
ผู้คนแตกตื่นกันมาก มุงดูยังกะมีมหรสพ และอุดหนุนกันจนปั่นไม่ทัน
คุณยายบางคนได้กินแล้ว ( ติดคอ ) กินไม่ลง คิดถึงหลานที่อยู่บ้าน ลงทุนห่อใส่ชายผ้าขาวม้าไปฝากหลานที่บ้าน
ไม่ต้องสงสัยหรอกว่า พอถึงบ้านแล้วเหลือแต่
ขอดห่อผ้าเท่านั้นเอง !!
ไม่มีความเห็น