ติดจักจั่น บุญช่วย มีจิต
ผู้ที่จะฟัง ( อ่าน ) เรื่องราวของผมได้อรรถรส ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาเหมือนกัน หรือ ว่าง่าย ๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่เคยเติบโตมาจากท้องไร่ ท้องนา เท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ต้องอาศัยจินตนาการเข้าช่วย ถ้าไม่งั้นก็มองภาพไม่ออก กลายเป็นว่าผมเขียน ( หนังสือ ) ไม่รู้เรื่องไปฉิบ ความจริงก็มีส่วนถูกอยู่หรอก เพราะเขียนเอง อ่านเองแท้ ๆ ยังรู้สึกว่า มันไม่ค่อยเป็นสับปะรดอ่าวใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่ถ้าจะอ่านเอาสาระเนื้อหาของชีวิตเด็กบ้านนอกละก็ ไม่ผิดหวังแน่ ๆ เพราะแต่ละเรื่อง แต่ละตอนเขียนมาจากชีวิต ( ตัวเอง ) จริง ๆ ทั้งสิ้น
บางคนคงนึกว่ากำลังอ่านนิยาย !!
เปล่า ! นิยายกับเรื่องจริงมันต่างกันมาก
นิยายก็คือเรื่องจริง แต่จริงเพียงสิบ - ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ อีกแปดสิบ - เก้าสิบ เปอร์เซ็นต์เป็นนิยาย เป็นจินตนาการของคนเขียน
เรื่องจริงก็คือนิยาย นิยายที่เป็นเรื่องจริงแปดสิบ - เก้าสิบ เปอร์เซ็นต์ อีกสิบ - ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นนิยายที่ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดออกมาให้น่าอ่าน
เด็ก ๆ บ้านนอกนั้นวัน ๆ มีกิจกรรมที่สนุก ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องเอาเวลาไปมั่วสุมตามห้าง ตามร้านเกมส์ ( พูดยังกะสมัยนั้นมีห้าง มีร้านเกมส์ ) แค่ทำมาหากินไปวัน ๆ ก็หมดเวลาแล้ว
จักจั่น
เป็นแมลงที่เกิดตามฤดูกาลอีกชนิดหนึ่ง มาพร้อมกับฝนใหม่นั้นแหละ เดือนสามเดือนสี่ต้นไม้ผลัดใบ ฝนลงครั้งแรกก็ได้ยินเสียงร้องระงมไปทั้งป่าแล้ว เป็นมนต์เพลงของป่าที่ฟังแล้วเพราะพริ้งไม่แพ้เสียงเพลงจากตู้คาราโอเกะสักเท่าไรนัก
จักจั่น มีหลายชนิด เอาเป็นว่ามีทั้งจักจั่นบ้าน และจักจั่นป่า บางครั้งจักจั่นป่าก็มาอยู่ตามบ้านก็มี เพราะบ้านอยู่กลางป่า มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด
จักจั่นบ้านตัวเล็กกว่า พวกเราเรียกแมง แต๊ด !! ( อย่าคิดมากน่าเป็นแค่ภาษาถิ่นเท่านั้น ไม่มีอะไรหยาบคายหรอกน่ะ) เพราะเรียกตามเสียงร้องของมัน
กรรมวิธีการจับ ( ติด ) จักจั่นก็เริ่มต้นจากการหายางไม้ เช่น ไม้จำปา ( ลั่นทม ) หมากหมี้
( ขนุน ) มะเดื่อ และต้นโพ ( ไฮ ) เป็นต้น คนบ้านนอกเขารู้หรอกว่า ต้นไม้ชนิดไหนจะให้ยางข้น ยางเหนียวกว่ากัน
เมื่อได้น้ำยางไม้มาแล้ว ก็หาขี้ยาง ( ยางจากไม้กุง ไม้ยางป่า ไม้เต็งรังเป็นต้น ) ก็นำมาผสมกันตามสัดส่วน ( ที่คำนวณเอง ) ถ้าผสมมากไป น้อยไป ก็จะได้คุณภาพของ ตัง ไม่ดี
เขา ( คนบ้านนอก) รู้อีกนะแหละว่า จะทำตังให้ข้น ให้เหลวขนาดไหน ก็แล้วแต่การนำไปใช้ ถ้านำไปติดกะปอม นก หรือ สัตว์ใหญ่ ๆ ก็ทำให้ข้นมาก ๆ
เมื่อได้ตังมาแล้ว ก็หาเรียวไผ่ยาว ๆ หรือ ไม่ก็ไม้สำหรับทำลูกแคน(ไม้เฮี้ย) เพราะยาว เรียว และเบาแรง หาไม้ไผ่เหลาเป็นซี่กลม ๆ เล็ก ๆ ทาตังที่ปลาย นำไปเสียบกับปลายไม้ที่ว่านี้
แล้วก็นำไปติดปีกจักจั่นได้สบายแล้ว
แต่การติดก็ต้องมีศิลปะมากถ้าเป็นจักจั่นบ้าน ก็ต้องเรียกหาก่อน โดยทำปากเบะ ๆ แล้วทำเสียง เอี๊ยก ๆ ๆ จากลำคอ มันนึกว่าเพื่อนก็จะตอบว่า แต๊ด ๆ ๆ ๆ เมื่อมองเห็นแล้วก็จะค่อย ๆ บรรจงนำตังไปติดที่ปีก ซึ่งมันไม่ง่ายนักหรอกครับสำหรับคนไม่เคย เพราะเข้าไปใกล้นักมันก็บินหนี อยู่ไกลก็ติดไม่ถึง มือต้องนิ่ง และแม่นยำในการคำนวณ แล้วค่อย ๆ บรรจงเอาตังไปแตะตัวมัน ก็จะติดปลายไม้ดึงลงมาเก็บใส่พกผ้า ( ชายผ้า ) หรือ ไม่ก็ใช้ด้าย หรือ ก้านใบทางมะพร้าวร้อยเป็นพวง ๆ
นี่เป็นกรรมวิธีการหาจักจั่นบ้าน ซึ่งมีไม่มากนัก และเป็นงานเบา แต่ก็นั้นก็เถอะต้องลอดรั้ว สอดส่ายสายตาหาตามสวน ตามต้นไม้ มีบ่อยครั้งที่เหยียบหนามไผ่บ้าง หนามมันบ้าง ตามรั้วบ้าน เท้าบวม เลือดสาดไปก็มี หรือ หัวไปชนเอารั้ว ชนต้นไม้เข้า เพราะมัวแต่มองหาแต่จักจั่น ไม่ได้มองทาง หัวแตก หัวโน ก็มี
ถ้าเป็นจักจั่นป่าละก็ ต้องออกไปจับตามป่า ตอนบ่าย ๆ มันจะร้องระงมดังไปทั่วป่าเลยทีเดียว ถ้ามีมาก ๆ ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาก็จะเปียกชุ่มไปด้วยเยี่ยวจักจั่น ตอนเย็น ๆ มันจะลงมา(ร้องเพลง) หาคู่ที่ต้นไม้เตี้ย ๆ ป่าไหนมีมาก ๆ เสียงดังจนหูอื้อไปก็มี บางครั้งต้องเดินทางไปที่ป่าละเมาะ ๆ ไกล ๆ ไปเป็นคณะหลาย ๆ คน สนุกสนาน คนที่หาได้มาก ๆ เต็มตะข้องก็มี คนที่หาไม่เก่งก็ได้เพียงนิด ๆ หน่อย ๆ
อีกวิธีหนึ่งที่นิยมกันมาก ก็คือตอนกลางคืนออกไปหาดูว่าจักจั่นนอนที่ต้นไหน ก็ใช้ขวานโค่นลงมา จับเอาใส่ตะข้องได้ทีละมาก ๆ วิธีนี้จักจั่นจะไม่เหม็นตัง ( ยางไม้ ) และคนโตเท่านั้นจึงจะใช้วิธีนี้
ปัจจุบันนี้ ไม่มีป่า ไม่มีต้นไม้ให้จับ ( ติด ) จักจั่นอีกแล้ว ต้องเหมารถสองแถวไปไกล ๆ ขึ้นบนเขาและหายากขึ้นทุกที ถ้าซื้อเขากินก็แพงมากบางครั้งถึงตัวละหนึ่งบาทก็มี เมื่อก่อนเพียงร้อยละ 2 - 3 บาทเท่านั้นเอง
ความเจริญเข้ามา ถนนหนทางสะดวก สบาย แต่ไปทำลายป่า ต้นไม้ ป่าไม้ถูกตัดทิ้งหมด การติดจักจั่นก็เป็นเพียงตำนานเล่าขาน รุ่นลูก รุ่นหลานจะเห็นตัวจักจั่นก็เพียงในรูปวาดเท่านั้นกระมัง
ไม่มีความเห็น