หมากผีเบื่อ


นี่ก็ผลแห่งการซุกซนของเด็ก ๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

หมากผีเบื่อ            บุญช่วย มีจิต

 

      การเลี้ยงเด็กเมื่อสมัยผมเป็นเด็กนั้น  ดูเลี้ยงกันง่าย  ๆ  ดี  เด็กไม่มีอ้อนอยากกินโน่น อยากกินนี่ อยากได้โน่น อยากได้นี่  เหมือนทุกวันนี้  เพราะไม่มีอะไรให้ซื้อ ไม่มีขนม นมเนย ของกิน ของใช้สารพัดที่พ่อแม่ต้องเสียเงิน   เงินไม่มีความหมาย  ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็สามารถไปเที่ยวงานวัดได้เป็นวัน  ๆ[1]  ผมเพิ่งเคยได้จับต้องเงินเป็นของตัวเองเมื่ออายุสิบกว่าขวบ  ตอนไปรับจ้างขุดสระ(บ่อ)ในราคาลูกบาศก์เมตรละ  3  บาท  นี่เอง

                อาหารการกิน  ไม่มีอะไรจริง  ๆ  ก็ล้วงข้าวเหนียวจากติบ (ผมไม่ชอบคนเรียกกระติ๊บ) คลุกเกลือพอเค็มปะแล่ม ๆ  ก็กินกันตายได้แล้ว (เรียกกินข้าวบ่ายเกลือ)

                หรือ พิถีพิถันหน่อยก็หาพริกขี้หนูสด  ๆ  โขลกกับเกลือพอแหลก  ๆ  ข้าวเหนียวจ้ำยัดเข้าปาก (เรียกว่าจ้ำแจ่วหัวโปก) โดยไม่มีปลาร้า หรือ ผักจิ้มใด ๆ มาเคียงเลย 

                นี่แหละคือ เมนูอาหารอันสุดโอชะ( เผ็ด เค็ม) ของคนจน  คนอีสาน   หลายท่านคงเคยได้กินมาบ้างแล้ว

                อาหารทุกอย่างได้มาจากธรรมชาติทั้งสิ้น  ตกบ่ายมาก็ออกไปหาวิดปลา ขุดกบ ขุดเขียด ยิงนก ยิงกะปอม  หาได้ก็นำมาปรุงเป็นอาหาร  ใครขี้เกียจ หรือ หาไม่ได้ก็ต้องกินข้าวอย่างที่เล่ามาแล้วข้างต้น

                ถามว่า  ทำไมไม่หามาสำรอง หรือ สต๊อกไว้ให้มาก ๆ เล่า  ?

                ก็ต้องตอบว่า ไม่ทราบ !!

                แต่ถ้าให้เดา  ก็เพราะเหตุว่าเป็นวิถีชีวิตที่สมถะ  ที่เรียกว่าพอเพียงนี่ไงล่ะ 

                ปู่ย่า ตายาย พาอยู่มาอย่างนั้นนี่นา  ไม่มีใครโลภมากถึงกับไปกัก ไปตุนอาหาร  ยกเว้นหน้าฝน  ที่มีปลาเยอะ ๆ  ก็ทำปลาร้า  ปลาย่างเท่านั้น

                อีกอย่าง  ปูปลา อาหาร ยังสมบูรณ์มาก  หาเมื่อไหร่ก็ได้ อยากเมื่อไรค่อยไปหา ไม่จำเป็นต้องสะสม

                สมบูรณ์ขนาด  อยากกินปลา  ต้มน้ำไว้รอ  เอาแหไปหว่านสองสามทีก็ได้ปลามาทำแกง ทันหม้อน้ำเดือด  ชีวิตบ้านนอกจึงสงบสุขมาก  แต่ถ้าหน้าแล้งก็กันดารมากเช่นเดียวกัน หรือ บางปีที่ฝนแล้ง   ดังคำที่เขาพูดกันว่า

                แห้งแล้งเหมือนภาคอีสานนั่นแหละ

                เป็นอยู่แบบอด ๆ  อยาก ๆ 

                เอ๊ะ !! นี่จะสมบูรณ์หรืออดอยากกันแน่นะ ?

                ก็มีทั้งสองเวอร์ชันนั่นแหละ  เป็นบางแห่ง บางหน้า

                สำหรับ ผลไม้นะหรือ  บางอย่างได้รู้แต่ในเพลงที่ร้องเมื่อเข้าโรงเรียนว่า

                ขนุน น้อยหน่า พุทรา มังคุด ละมุด ลำไย มะเฟือง มะไฟ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ฟักแฟง แตงโม ไชยโย โห่หิ้ว

          รู้แต่ผลไม้พื้นบ้านไม่กี่ชนิดเท่านั้น

                นอกนั้น เข้าป่าหาผลไม้ป่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำเต้า หมากหมี้ ( ขนุนดินต้นเล็ก ๆ ) หมากผีพ่วน ตีนตั่ง

ตาใกล้ มะไฟ คอแลน ฯลฯ

อะไรสารพัด  มีเต็มป่าตามหน้าหรือฤดูกาลของมัน  บางอย่างมีในหน้าฝน บางอย่างมีในหน้าแล้ง  หากินได้ทั้งปี ส่วนใหญ่เด็ก  ๆ ไปหาเก็บกินเล่น ๆ 

                ในบรรดาผลไม้ป่าเหล่านี้  มีอยู่ชนิดหนึ่ง  เรียกตามภาษาพื้นบ้านว่า

                ลูกก้ามปู  ลูกเล็บแมว ( เล็บเหยี่ยว)

                ที่เด็ก ๆ  อย่างเราชอบกินกันนัก

                เล็บแมวนั้น  ลูกสุกสีดำ ลูกเล็กเคี้ยวทั้งเม็ดหวานกรอบ  แต่หนามของมันทั้งแหลม ทั้งคม ทั้งโค้ง เหมือนเล็บแมว  โดนเข้าละก้อเลือดซิบเชียวแหละ  แต่พวกเราก็มีวิธีการเก็บที่ไม่ให้โดนหนามมันได้

                สำหรับลูกก้ามปู ( จนปัญญาภาษากลางเรียกว่าอะไรไม่รู้) นั้น เป็นไม้ต้นเตี้ย ๆ ขึ้นตามลำห้วย ป่าละเมาะ เวลาสุกลูกมีสีแดงเรื่อ  ๆ  ลูกเล็ก ๆ  รสชาติออกหวานปะแล่ม ๆ  พวกเราชอบไปแย่ง ( นก ) กินประจำ

                วันนั้นเป็นหน้าฝนแน่นอน  เพราะน้ำหลากเต็มลำห้วยมะโน  และไหลบ่าท่วมทุ่งนาที่เรียกว่า

                น้ำออกแก่ง 

          เจิ่งนองไปหมด

                น้า(ทองคูณ จันดี เสียชีวิตแล้วทั้งคู่)  พาออกไปใส่เบ็ด ( ลงเบ็ดทง)  ที่ทุ่งนา

                ผมถือโอกาสหลบไปเก็บกินลูกก้ามปูที่ริมห้วย !

                ตามแผนการเดิม  จะนอน (เฝ้า) คอยยาม ( ระ ) เบ็ดทั้งคืน  ที่เถียงนา

                แต่พอตกเย็น  ผมมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน  ปวดท้อง อย่างรุนแรง  จึงต้องพากันกลับบ้าน

                มาถึงบ้านแล้วก็อ๊วก ( ขออภัยใช้ภาษาพื้นบ้าน) ออกมาเป็นลูกไม้สด  ๆ สีแดงเต็มไปหมด และออกมากจนหมดไส้ หมดพุง  หมดแรงสลบไสลไม่รู้สึกตัว

                พอพื้นขึ้นมาได้ยินแต่เสียงด่าว่า

          ไปกินหมากผีเบื่อมา [2]!!

      นี่ก็ผลแห่งการซุกซนของเด็ก ๆ  ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์



[1] ดู ห่อน้ำแข็งไปให้หลาน

[2] หมากผีเบื่อคือผลไม้บางชนิด  กินไม่ได้ กินแล้วจะเบื่อ คือ เมา  อาเจียน หรือ แพ้ด้วยประการต่าง  ๆ  ผมดันไปกินลูกไม้ที่คล้ายลูกก้ามปู  มันขึ้นใกล้กัน  และมีเยอะกว่า  เพราะนกก็ไม่กิน เลยมีอาการที่เรียกว่า อ๊วกแตก อ๊วกแตน วิงเวียน ปวด หัว ปวดท้อง จนหมดฤทธิ์จึงหาย

หมายเลขบันทึก: 473696เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2012 08:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม 2012 23:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท