ข้าวเม่าม้า บุญช่วย มีจิต
ข้าวเม่าในภาษาอีสานนั้น หาใช่ข้าวเม่าในความหมายของภาคกลางไม่
ผมมากรุงเทพใหม่ ๆ ก็งงอยู่มากว่า
ทำไมจึงเรียกกล้วยชุบแป้งทอดทั้งลูกว่าข้าวเม่า ?
ในภาษาอีสานนั้น คำว่าข้าวเม่า หมายถึงข้าวอ่อน ๆ ที่เพิ่งกลายจากข้าวน้ำนมไปเป็นเมล็ดข้าว
จะต้องอ่อนแก่พอดี ๆ ด้วย อ่อนเกินไปก็เป็นก้อนขี้แมว แก่เกินไปก็แข็งไม่อร่อย
ต้องให้ผู้ชำนาญการเท่านั้นเป็นผู้ดู (จากภายนอก) ว่า
ข้าวพอดีทำข้าวเม่าหรือยัง
เมื่อผู้ชำนาญ (มีประสบ) การบอกว่าข้าวตรงไหนใช้ได้ ก็ไปจัดแจงเกี่ยวมาสักหนึ่งหอบ
นำมาขูดออกจากรวงเป็นเม็ด ๆ ต้องให้ผู้ชำนาญการทำอีกเช่นเคย ขูดไม่เป็นรวงก็หักหมด
เมื่อได้จำนวนที่ต้องการแล้วก็นำเมล็ดข้าวที่ขูดออกมาไปคั่ว
การคั่วข้าวเม่านี้ยิ่งต้องใช้ผู้ชำนาญการ ส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้านหรือผู้หญิงที่มีอายุ มีประสบการณ์สูง
ข้าวเม่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย จะมีคุณภาพดีหรือไม่มีคุณภาพดี ก็อยู่ที่คนคั่วนี่เอง
คือต้องคั่วด้วยไฟพอประมาณ ไฟแรงไปก็ไหม้ ไฟอ่อนไปก็สุกไม่เท่ากัน
ดังนั้น คนคั่วต้องควบคุมไฟให้พอดีอยู่เสมอ และต้องขยันคนให้ทั่วถึงสม่ำเสมอจนสุกทั่วทุกเม็ด
รู้ได้อย่างไรว่าสุกเสมอกันดีหมดทุกเม็ด
ก็ประสบการณ์ไง
จากนั้นก็นำไปตำ (ครกตำมือ) คนตำก็ต้องชำนาญอีก คือ ค่อย ๆ ตำ ถ้าตำแรงก็เละหมดทั้งข้าว ทั้งเปลือกติดกันเป็นก้อนขี้แมว อีกอย่างก่อนตำก็ต้องรอให้มันเย็นพอประมาณเสียก่อน
ถ้าคนชำนาญทำตั้งแต่คนคำนวณอายุข้าว คนคั่ว คนตำ มีความสัมพันธ์กัน
ข้าวเม่าก็ออกมาสวยคือเป็นเม็ดอ่อนนุ่ม ไม่มีเปลือกข้าวหรือแกลบเจือปน
รสชาติหวาน หอม อร่อย เคี้ยวนุ่มปากชวนกินยิ่งนัก
ข้าวเม่าเป็นเพียงอาหารเสริมกินเล่น ๆ คล้ายขนม
ไม่ใช่กินเป็นอาหารหลักเพื่อให้อิ่ม
แต่ถ้าเจ้าไหนทำอร่อย ๆ ก็มีคนกินเพลินจนอิ่มและเกิดโทษในภายหลังได้เหมือนกัน
โทษของเจ้าข้าวเม่านี้ก็มีเพียงสองประการคือ
หนึ่ง ถ้ารับประทานมาก ๆ จนรู้สึกเต็มท้อง สักครึ่งชั่วโมงท่านก็จะรู้สึกอึดอัด ท้องอืด บางรายที่หนักหน่อยก็ถึงกับนอนร้องครวญครางเลยทีเดียว
สอง หลังรับประทานมักมีอาการอืด เฟ้อ เรอ เหม็น เปรี้ยว ผายลมดังสนั่นส่งกลิ่นไปรบกวนคนอื่นทำให้ได้รับเสียงสรรเสริญเจริญพรที่ไม่พึงปรารถนา
นี่คือที่มาของคำว่าข้าวเม่า
แต่เจ้าข้าวเม่าม้าที่จั่วหัวเรื่องไว้นั้น ไม่เกี่ยวกับข้าวเม่าที่ทำจากข้าวเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นคำสะแลง
ทำไมเรียกข้าวเม่าก็ยังหาข้อมูลไม่ได้
ที่บ้านปู่ผมมีม้าเทศอยู่ตัวหนึ่งเรียกมันว่า บักเขียว หรือ ไอ้เขียว
เป็นม้าที่รูปร่างสูงใหญ่น่ากลัวมากสำหรับพวกเราเด็ก ๆ
วันหนึ่ง หลังจากให้มันกินหญ้าอิ่มแล้วก็นำมาผูกไว้ใต้ต้นมะม่วงข้างบ้าน
ใต้ต้นมะม่วงเป็นที่วิ่งเล่นของพวกเรา เพราะร่มเงาเย็นสบายดี
วันนั้นผมกับเพื่อนลูกพี่ลูกน้องกันสองคนก็เล่นซนตามประสาเด็ก
เป็นหน้าเดือนสิบสอง หน้าข้าวเม่าพอดี
และเป็นหน้าเล่นว่าวของคนอีสานด้วย เพราะลมอ่วย คือ ลมจะพัดจากทางทิศเหนือไปทางทิศใต้เรียกว่าลมหนาว
เราสองพี่น้องทำว่าวเล็ก ๆ ทำจากใบตองกลอย ผูกด้วยเชือกกล้วยแล้วก็วิ่งเล่น
มันเป็นความสุขมากกับการที่ว่าวขึ้น ๆ ตก ๆ
โธ่ !! ก็วาดภาพดูซิว่า ใบกลอยแห้ง และเชือกกล้วยฉีกเป็นริ้ว ๆ ยาวไม่กี่วา
มันจะทำให้ว่าวขึ้นไปได้สักแค่ไหน
แต่พวกเราก็วิ่งเล่นกันได้ทั้งวัน
ขณะวิ่งว่าวอยู่อย่างสนุกสนานนั่นเองก็ไปชนเข้ากับเจ้าสิ่งหนึ่ง
มีความรู้สึกคล้ายเกิดแผ่นดินไหว (ก็เปรียบไปอย่างนั้นเองไม่เคยรู้จักหรอก)
และเหมือนมีมือยักษ์มาผลัก
ผมกลิ้งหลุน ๆ ไปกับพื้นและจากนั้นสายตาฝ้าฟางไม่รู้สึกอะไรเลย
มารู้สึกตัวอีกครั้งก็บนที่นอนบนบ้านท่ามกลางญาติพี่น้องที่มานั่งล้อม
พอจับใจความปะติดปะต่อกันได้ว่า
ผมวิ่งว่าวไปชนเอาเจ้าเขียวเข้า มันจึงเตะเต็มสองขาหลัง
ผมกลิ้งไปตามแรงเตะของมันจนสลบเหมือดและผู้ใหญ่ก็บอกว่า
“ มึงได้กินข้าวเม่าม้า ”
ไม่มีความเห็น