ก่อนเปลี่ยนศักราชไม่กี่วัน ผมได้สนทนากับดุษฎีบัณฑิตรายหนึ่ง หัวข้อสนทนามีหลายเรื่องทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการศึกษา ก่อนจะมาจบที่เรื่องการเพิ่มรายได้ให้แก่บัณฑิตปริญญาตรีที่เริ่มทำงานใหม่ให้มีรายได้ถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เรื่องนี้ทำให้ผมนึกขึ้นได้ถึงตอนที่ไปกินอยู่ฟรี(เสียค่าเดินทางไปกลับเอง) ร่วมกับผู้รับเชิญจากหลายประเทศหลายสิบคน ที่สถาบันศิลปวัฒนธรรมเกาหลี ณ เมืองอุนจุงดง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณไม่เกินเจ็ดสิบกิโลเมตร วันหนึ่ง เจ้าภาพพาพวกเราทั้งหมดขึ้นรถบัสสองคันใหญ่ๆ ออกเดินทางเข้ากรุงโซล พอออกจากสถาบันไปไม่กี่นาที พวกเราต่างได้รับแจกซองกระดาษคนละซอง เมื่อแกะออกดูพบเงินสองหมื่นวอน (ไม่ถึงพันบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว) ซึ่งเขาบอกว่า เป็นค่าใช้สอยตามอัธยาศัยรวมทั้งอาหารกลางวันด้วย
ภาคเช้า เขาพาเที่ยวพระราชวังโบราณ และศูนย์วัฒนธรรมซึ่งแสดงวิถีชีวิตย้อนยุคไปหลายศตวรรษ หลังอาหารกลางวัน เขาพาไปปล่อยที่ตลาดนัมแดมุน (ซึ่งชาวไทยที่เป็นนักซื้อของต่างแดนส่วนมากรู้จักดี) คนขายของที่นั่นแทบทุกเจ้าพูดภาษาไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “ไม่แพง” และ “ต่อได้” ระหว่างเดินทางกลับ เราทราบว่าเงินสองหมื่นวอนนั้นไม่พอ เพราะแต่ละรายเข้าเนื้อไปตามๆกัน
ผมยกเรื่องนี้มาวิเคราะห์ร่วมกับคู่สนทนา จนพอสรุปได้ว่า คนที่เพิ่งจบปริญญาตรีและเริ่มทำงาน มักจะยังไม่มีของใช้อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ทั้งของที่จำเป็นต้องมีจริงๆ และของที่เจ้าตัวเห็นว่าจำเป็นจริงๆ (เพราะผู้ผลิตจำหน่ายโฆษณาเหลือเกินว่าจำเป็นมั่กมาก) ตั้งแต่เครื่องแต่งกายที่ต้องดูภูมิฐานสมกับงานหรือสถานที่ทำงานไปจนถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน
ดังนั้น เงินเพิ่มที่ว่านี้ จึงไม่ต่างกับสองหมื่นวอนที่ผมได้รับตอนเช้าแล้วหมดเกลี้ยงในตอนบ่าย มันเป็นเงินที่ผู้เริ่มชีวิตการทำงาน รับด้วยมือซ้ายแล้วจ่ายด้วยมือขวา ไม่มีเวลาได้เก็บใส่กระเป๋าให้อยู่นิ่งๆอุ่นๆ อย่างแน่นอน มันเป็นเงินหมุนเวียนตามแรงกระตุ้นการบริโภคที่กระทำอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง และชั่วโมงละหกสิบนาที บัณฑิตใหม่คือพาหนะของเงิน ซึ่งทำหน้าที่เป็น อัฐยายซื้อขนมยาย ที่ดูซับซ้อนกว่ายุคสมัยที่คำพังเพยนี้ถูกคิดขึ้นมานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม คู่สนทนาผมเห็นว่า มาตรการนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่มีวุฒิสูงกว่าและผู้ที่ทำงานมานานกว่า ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า ที่น่าเห็นใจยิ่งกว่ากลุ่มนี้อีกก็คือ บัณฑิตที่ยังตกงาน เพราะอย่าว่าแต่ที่จะได้เพิ่มเลย ที่จะทำให้สังขารกับวิญญาณอยู่ร่วมกันได้ด้วยความปรองดองไปวันๆ ยังไม่มีเลย
ครับ ไม่ยุติธรรม (เหมือนอีกมากมายหลายเรื่องในชีวิตมนุษย์ รวมทั้งชัยชนะจากลูกล้ำหน้าของทีมซันเดอร์แลนด์ที่มีต่อแมนเชสเตอร์ซิตีในค่ำวันแรกของศักราชใหม่) แต่มันสนองนโยบายกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาลทุนนิยม (ซึ่งเริ่มอย่างชัดเจนมาตั้งแต่สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหวัณแล้ว) และที่สำคัญมันทำให้รัฐบาลได้เครดิตไม่น้อยเลย
"มาตรการนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่มีวุฒิสูงกว่าและผู้ที่ทำงานมานานกว่า ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า" ... เห็นด้วยนะครับ เหมือนชุปมือเปิปอย่างไงอย่างนั้นละ ในช่วงกาลเวลาระยะหนึ่งเท่านั้น..ไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ทำงานมานานและมีประสบการณ์...