บางระกำช้ำใจจริงรึเปล่า??


คนไทยเราอยู่กับน้ำมาตั้งแต่สร้างบ้านแปรเมือง แต่วันนี้เรากลับอยู่กับน้ำไม่ได้อีกต่อไป ทำไมกัน???

ตอนนี้น้ำที่จังหวัดพิษณุโลกลดลงไปมากแล้วเพราะเขื่อนสำคัญลดการปล่อยน้ำลง มันทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่า ทำไมผู้คนมากมายจึงโทษว่าน้ำท่วมคราวนี้เกิดจากการบริหารจัดการเขื่อนที่มีปัญหา เช่นเดียวกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2538 ถึงแม้ทางกรมชลจะออกมาปฏิเสธว่า น้ำฝนปริมาณมากมายขนาดนี้ ยังไงน้ำมันก็ต้องท่วม แต่หากยังจำกันได้ เมื่อต้นฤดูฝนนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ทำการพยากรณ์ว่า ปีนี้ฝนจะมาเร็วและก็จะไปเร็วด้วยเช่นกัน ให้เกษตรกรรีบทำนาเพราะปลายฤดูจะเกิดภาวะภัยแล้งเกิดขึ้น แต่การคำนวณนี้ก็อย่างที่เราท่านทราบกันว่า มันถูกต้องเพียงแค่ฝนจะมาเร็ว แต่มันไม่ได้ไปเร็วอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ และผมก็เชื่อว่าการพยากรณ์ที่ผิดพลาดนี้เป็นต้นเหตุให้เขื่อนต่างๆทำการกักเก็บน้ำไว้มากมาย จนเมื่อถึงฤดูมรสุมก็ไม่อาจรับน้ำได้อีก ต้องปล่อยน้ำจำนวนมากมายมหาศาลที่เก็บเอาไว้ลงมาท่วมบ้านท่วมเมือง

 

 

แล้วจะโทษใครได้หรือไม่ ถ้าการพยากรณ์ถูกต้องว่าปีนี้น้ำจะมาก เขื่อนต่างๆคงพร่องน้ำตั้งแต่ต้นฝน ไม่เก็บไว้ถึงระดับวิกฤต เพราะก่อนหน้านั้นปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆก็มีน้อยอยู่ในระดับที่ใช้ปั่นกระแสไฟฟ้าแทบไม่ได้อยู่แล้ว จะโทษคนพยากรณ์หรือ ก็คงไม่ได้เช่นกัน เพราะถึงแม้ในยุคสมัยนี้เราจะเข้าใจระบบกระแสน้ำอุ่นน้ำเย็นในมหาสมุทธที่ทำให้เกิดภาวะภัยแล้งวาตภัยอุทกภัย ปรากฏการณ์ชื่อแปลกๆลานินย่า เอลนินโย่ จนสามารถทำนายได้แล้วก็ตาม แต่ปีนี้ หลังจากเกิดเอลนินโยมันก็ต่อด้วยลานินย่าทันที ทั้งที่ไม่เคยเกิดแบบนี้มาก่อน และปีต่อมาก็ยังตามด้วยลานินย่าต่ออีก ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เคยเกิดปรากฏการณ์ซ้ำซ้อนติดๆกันแบบนี้ มั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลกภาวะภูมิอากาศโลก ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกแล้ว วัฏจักรธรรมชาติเสียสมดุล และกำลังปรับเข้าสู่สมดุลใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลายาวนานนับร้อยๆปี และเป็นเรื่องที่เราต่างต้องปรับตัวเพื่อสร้างสมดุลใหม่ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยเช่นกัน

 

การสร้างบ้านพักชั่วคราวริมถนนเห็นได้ทั่วไป

 

จากภาวะน้ำท่วมภาคเหนือที่เกิดขึ้นก่อนที่น้ำจะไหลบ่าเข้าท่วมภาคกลาง ความต่างหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือพฤติกรรมของผู้คน ดูเหมือนคนเมืองจะรับไม่ค่อยได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างโทษกันไปกันมา ต่อว่าด่าทอหน่วยงานต่างๆ มาช่วยล่าช้า ดูแลพื้นที่ไม่ดีปล่อยให้น้ำเข้ามาได้ มีเจ้าหน้าที่ไม่พอไปช่วยยกข้าวของในบ้านก็ด่าว่า(ทั้งที่บ้านเจ้าหน้าที่ที่ไปช่วยก็น้ำท่วมไม่ต่างจากบ้านเค้าเหล่านั้น) น้ำท่วมเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ออกมาชุมนุนลื้อพนังกั้นน้ำโดยไม่ฟังเหตุฝังผลอะไรทั้งสิ้น เห็นแล้วมันอนาจใจจริงๆ มันแตกต่างจากชาวบ้านทางเหนือที่ผมได้สัมผัส มันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

 

ที่จอดรถกลายเป็นที่จอดเรือ

 

ผมได้มีโอกาสแวะไปพูดคุยกับเพื่อนๆที่บางระกำ ที่ที่อุทกภัยไม่เคยปราณี จนรัฐบาลประกาศให้นำร่องโมเดลการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก บางระกำโมเดล ที่นั่นพอมีข่าวว่าน้ำจะท่วมเขาก็เตรียมข้าวของหนีน้ำ ทำบ้านเรีอนชั่วคราวสำหรับการอพยพ เตรียมเรือรับกับภาวะน้ำท่วม มีการชุมนุนมีการเรียกร้องก็เพียงขอให้ชลอน้ำไว้บ้างเพื่อให้พวกเค้าเกี่ยวข้าวให้เสร็จเสียก่อน เพราะถ้าข้าวเสียหายนั่นหมายความว่าทั้งปีนั้นเขาอาจไม่มีแม้ข้าวจะกินเข้าไป และหนี้สินที่จะตามมาไม่รู้เท่าไร หรือในบางพื้นที่ที่มีชาวบ้านชุนนุนเพื่อขอให้ลื้อพนังกั้นน้ำ ก็เพราะว่าเขาต้องทนอยู่กับน้ำที่เน่าเหม็นแล้วเป็นเดือนสองเดือน ไม่ใช่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังน้ำท่วมแบบคนเมือง

 

 

และเมื่อถามว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเขาโทษใครหรือไม่ คนบางระกำและคนจังหวัดห่างไกลจากเมืองกรุงต่างตอบเหมือนๆกันว่า มันเป็นภัยธรรมชาติ ก็โดนกันหมดแล้วจะโทษใคร ทุกฝ่ายต่างพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น

 

และคำถามยอดนิยมที่มักถูกถามก็คือ ถ้าจะมีการปล่อยน้ำเข้าท่วมต่างจังหวัดเพื่อลดปริมาณน้ำที่จะเข้าสู่กรุงเทพ เขาจะว่าอย่างไร คำตอบที่ได้ยินบ่อยๆก็คือ ยินดีถ้ามันจะทำให้คนเมืองหลวงรอดพ้นจากอุทกภัย แต่ขอให้ให้ความช่วยเหลือเขาบ้าง ชลอน้ำไว้บ้าง และอย่าปล่อยให้เขาอยู่กับน้ำนานเป็นเดือนๆ

 

 

มีน้ำก็มีปลา

 

ผมไม่อยากโทษคนเมือง เพราะเขามีสิ่งมีค่ามากกว่า(ในความคิดของเค้า)ที่ต้องปกป้องเอาไว้ แม้ผมจะเห็นว่าน้ำที่ท่วมนาข้าวของชาวบ้าน ที่จะทำให้เค้าสิ้นเนื้อประดาตัวมันก็มีค่าไม่ต่างกัน หรืออาจจะมากกว่าในสำนึกของผม แต่ผมก็อยากให้คนเมืองมีสติและสำนึกถึงสิ่งต่างๆมากกว่าการออกมาโวยวายโทษนั่นโทษนี่ พังพนักกั้นน้ำ หรือไปขอกระสอบทรายเพื่อเอามาขายต่อ หรือขโขมยกระสอบทรายที่กั้นพื้นที่สาธารณะมาเพื่อกั้นบ้านของตัวเองเพียงเท่านั้น อยากให้คนเมืองส่องกระจกแล้วมองเห็นคนอื่นบ้าง นอกจากมองเห็นแต่ตัวเองคนเดียว

 

น้ำไม่เคยทำให้เด็กหายสนุก

 

ที่อำเภอบางระกำซึ่งห่างจากบ้านผมไม่กี่กิโล ที่ที่ใครๆก็ว่าต้องระกำช้ำใจกับภาวะน้ำท่วม แต่...ทราบหรือไม่ว่า คนบางระกำมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอำเภอต่างๆของจังหวัดพิษณุโลก และยังมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นอีกด้วย ผมยังมองไม่เห็นว่าอะไรที่บางระกำแตกต่างจากอำเภออื่นๆ นอกจากน้ำท่วม หรือบางที... น้ำนั้นเองนำมาซึ่งความมั่งคั่ง

 

พอน้ำมาชาวบ้านก็ทำเครื่องมือหาปลา

 

บางระกำมีประเพณีกินปลาชมหมา เพราะอำเภอนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลานานาพันธุ์ และเป็นถิ่นกำเหนิดของหมาบางแก้วที่เลื่องชื่อว่ารักเจ้าของนักหนา(และกัดเก่งโครตๆ) หมาบางแก้วเป็นหมาที่ว่ายน้ำเก่งมาก และยังสามารถจับปลากินได้ (นั่น หมายังปรับตัวได้) น้ำที่หลากจากแม่น้ำยม จากอุทยานแห่งชาติแม่ยม ไม่ได้มีแต่น้ำเท่านั้น ยังนำพันธุ์ปลามาให้ชาวบางระกำจับ และนำแร่ธาตุอาหารมาบำรุงผืนดิน ทำให้พืชพรรณอุดม

 

มีปลามากมายใต้ถุนบ้านก็มี

 

คำถามคือ ถ้าน้ำไม่ท่วมบางระกำ ชาวบางระกำยังจะมีรายได้เฉลี่ยสูงที่สุดในจังหวัดพิษณุโลกอีกหรือไม่ บางระกำยังจะมีปลาไว้จับกินในงานประเพณีอีกหรือเปล่า ความเดือนร้อนที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของธรรมชาติ หรือเพราะเราใช้ชีวิตไม่เหมาะสมกับธรรมชาติเองรึเปล่า

 

บนถนนก็มีปลา

 

นักวิชาการต่างพูดเสมอๆว่าบางส่วนของ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อยุทธยา เหล่านี้เป็นแก้มลิงธรรมชาติ ต้องปล่อยให้น้ำท่วม ถ้าน้ำไม่ท่วมที่นี่ก็จะต้องไปท่วมที่อื่น(กรุงเทพใช่ไหม) แต่ผมอยากถามต่อว่า แล้วกรุงเทพ นนทบุรี ปทุมธานี ไม่ใช่แก้มลิงธรรมชาติขนาดยักษ์รึอย่างไร

 

ถนนที่กลายเป็นคลอง

 

ปัญหาเรื่องที่เกิดขึ้นคงต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เขตเศรษฐกิจสำคัญคงต้องรักษาไว้ แต่ผังเมืองก็คงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ กรุงเทพและปริมณฑลควรหยุดการขยายตัวได้แล้ว เพราะยังไงก็ต้องยอมรับว่ามีสภาพพื้นที่เหมาะสมกับเกษตรกรรมมากกว่าการเป็นเมือง และสุ่มเสียงกับภาวะน้ำท่วม รวมถึงอาจจมทะเลได้ในอนาคต เมืองต้องขยายไปในพื้นที่ที่เหมาะสมกว่านี้ การบริหารจัดการน้ำต้องมีเครื่องมือมากขึ้น เขื่อนคงปฏิเสธไม่ได้ แต่ต้องมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม พื้นที่เกษตรกรรมต้องมีการวางแผน ทั้งชนิดพันธุ์พืชระยะเวลาการเพาะปลูก รวมถึงการชดเชยความเสี่ยงต่างๆ บ้านเมืองสาธารณูปโภคสาธารณูปการต้องมีการปรับใหม่ทั้งหมด คงต้องคิดนอกกรอบออกไปจากเดิม(คิดเหมือนเดิมก็เดือนร้อนเหมือนเดิมนั่นหล่ะ)

 

 

ธรรมชาติผลิกผันจนไม่อาจคาดเดาได้แล้ว ถ้าเราไม่ปรับตัว ไม่แก้ไขอะไรเลย ก็คงถูกธรรมชาติคัดสรรให้ต้องหายไปจากแผ่นดินเหมือนกับไดโนเสาร์นั่นหล่ะครับ และถ้าอยากหาคนรับผิดชอบ อยากโทษอะไรสักอย่าง คนคนนั้นแท้จริงก็คือคุณนั่นหล่ะ หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกที่เกิดขึ้น

 

หมายเลขบันทึก: 471295เขียนเมื่อ 15 ธันวาคม 2011 09:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 10:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ท่วมมากๆๆเลยครับ แต่ยังหาปลาได้นะครับ

ถ่ายรูปได้สวยทุกภาพเลยครับ

แต่ละภาพดูมีชีวิตชีวามากๆ เลย

ชาวบางระกำคงชินไปแล้วมังคะ น้ำมาก็เตรียมหาปลา

ท่าทางคงชุมมาก ถึงขาดนั่งตกตรงใต้ถุนบ้านกันเลย

ภาพชัดเจนมาก ดูวิถีชีวิตคนนอกเมืองที่อยู่กับน้ำแล้ว

ก็ขำๆ คนในเมือง ที่น้ำท่วมแล้วโวยวาย

ชอบภาพเด็กน้อย น่ารักมากๆ ขอบคุณค่ะ

 

ครั้งหนึ่ง ที่บ้านคุณมะเดื่อก็เคยประสบกับอุทกภัยชนิดไม่มีบ้านอยู่เหมือนกัน .. ทำให้ " เพลงน้ำท่วม" ของคุณศรคีรี ดังโด่งจนมาถึง มหาอุทกภัยปีนี้น่ะแหละจ้ะ

...จริงๆเจ้าค่ะ..มองตรงแป๊ะ..ทุกคนในโลกสมัยใหม่มีส่วน..ในการกระทำที่เปลี่ยนแปลง..ธรรมชาติได้อย่างรวดเร็วเห็นผล.อยู่ทุกวันนี้...แต่เสียดาย..ที่เอาแต่พูด(ด่าทอต่อว่าทำสงคราม)เท่านั้น..ถ้าเราหันมาเข้าใจตัวตน..และปฏิวัติตัวเอง..กันทั้งโลก..ได้ละก็..จะกลับเข้าสู่ปรกติสุขได้ทั่วถ้วน..นะเจ้าคะ.."ยายธีแอบคิด"..อ้ะ..

ดูท่าจะระดำจริงนะครับนี่

มาเยี่ยมชมเรือนชานครับ

  • นักศึกษาเคยได้อาศัยร่ม
  • เรียนอบรมค้นคว้าวิชาเพิ่ม
  • ร้อนอารมณ์ร้อนดินฟ้าร้อนค่าเทอม
  • ร้อนนี้เริ่มรุกไล่ไร้ปรานี

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท