เช้าวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ผมและทีมงานกัดฟันแหวกม่านหมอกความหนาวเย็นของอากาศไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องศิลปะการแสดง หรือนาฏศิลป์จีนของมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี
ระยะทางจากที่พักไปยังจุดนัดหมายดูไม่ไกลจนเกินไปนัก การเดินเท้าเฉกเช่นผู้คนที่นี่ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่ผมและทีมงานไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งอันที่จริงก็น่าชมเชยอยู่มาก เพราะนักศึกษาที่นี่ไม่นิยมใช้รถจักรยานยนต์กันเลย ส่วนใหญ่ใช้วิถีแห่งการเดินเป็นหลัก นอกจากนั้นก็เป็นจักรยานล้วนๆ
ทั้งผมและทีมงานเดินกอดอกฝ่าความหนาวเย็นไปอย่างช้าๆ และกว่าจะไปถึงห้องเรียนที่นัดหมายไว้เวลาก็ล่วงเข้าเกือบจะ ๙ นาฬิกาพอดิบพอดี ภายในห้องมีอาจารย์และนักศึกษาจีนจำนวนหนึ่งมานั่งรอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กิจกรรมทุกอย่างจึงเริ่มต้นจากทักทายของเจ้าบ้านอย่างเป็นกันเอง
หัวหน้าสาขาที่เกี่ยวกับการแสดงได้บอกเล่าให้ทราบว่าในระบบการเรียนการสอนนั้นประกอบด้วยการเรียนในเรื่องกังฟู นาฏศิลป์โบราณ นาฏศิลป์ร่วมสมัย และนาฏศิลป์ชนเผ่น (๕๖ ชนเผ่า) โดยปัจจุบันมีนักศึกษาที่เรียนเกี่ยวกับศิลปะการแสดง หรือนาฏศิลป์จีนประมาณ ๘๖ คน ซึ่งกำหนดให้นักศึกษาชั้นปีที่ ๑ เรียนเกี่ยวกับการเต้นบัลเลย์ ปีที่ ๒ เรียนเกี่ยวกับนาฏศิลป์โบราณ ปีที่ ๓ เรียนเกี่ยวกับนาฏศิลป์ปัจจุบัน และชั้นปีที่ ๔ อันเป็นชั้นปีสุดท้ายจะให้เรียนเกี่ยวกับนาฏศิลป์ชนเผ่าและการออกแบบการแสดง หรือการประดิษฐ์ท่ารำเป็นสำคัญ
ยิ่งในชั้นปีสุดท้ายกำหนดให้มีการประดิษฐ์คิดท่ารำ หรือการแสดง ก็เป็นไปโดยปริยายที่นักศึกษาจะโน้มเอียงในการใช้ “ทุนทางสังคม” อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชนเผ่าตัวเองเป็นแกนกลาง หรือไม่ก็เป็นฐานรากของการปรับแต่งและบูรณาการกับความเป็นนาฏศิลป์ปัจจุบันและเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงอาจเรียกได้ว่านี่คือกลยุทธที่ให้ความสำคัญต่อการใช้ “วัฒนธรรม” เป็นเครื่องมือของการสร้างสังคม หรือสร้างชาติอย่างต่อเนื่อง และมีพลังสืบมาจนปัจจุบัน
นี่กระมังที่ทำให้เราต่างก็ยอมรับว่าประเทศจีนเป็นชนชาติที่รักษา “มรดกทางวัฒนธรรม” ของตนเองได้อย่างมหัศจรรย์ รากเหง้าต่างๆ มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นค่อนข้างมาก แม้จะอพยพไปอยู่ในมุมเมืองในของสังคมโลก ก็ยังเกาะกลุ่มกันอย่างแน่นเหนียว เมื่อถึงเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งก็สะท้อนเป็นพลังให้ได้ยินได้ชมกันอย่างน่าทึ่ง ทั้งด้านประเพณี พิธีกรรม หรือการแสดง
ภายหลังการแนะนำภาพรวมด้านการศึกษาเสร็จสิ้นลง นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซีก็ได้สาธิตการร่ายรำแบบผสมผสานของนาฏศิลป์สมัยใหม่กับนาฏศิลป์โบราณ ผ่านเรื่องราวอันเป็น “โศกนาฏกรรมความรัก” ที่ไม่สมหวังของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ถูกกีดกัน จนสุดท้ายฝ่ายชายตรอมใจตาย ...เมื่อหญิงสาวกำลังนั่งเกี้ยวเข้าสู่พิธีแต่งงานกับชายที่นางไม่ได้รัก เมื่อเดินทางถึงสุสาน หรือหลุมฝังศพของคนรัก นางก็ร่ำไห้อย่างไม่รู้จบ รู้ถึงฟ้าดิน ซึ่งฟ้าดินก็ทุกข์ระทมไปกับนาง รวมถึงเห็นใจความรักของสองคน จึงบันดาลให้แผ่นดินอันเป็นหลุมฝังศพของชายคนรักแยกออกจากกันและนำร่างของนางตกลงไปตายในหลุมศพเดียวกัน ท้ายสุดได้กลายเป็นผีเสื้อโบยบินอยู่คู่กัน จนกลายเป็นวาทกรรมเล่าขานอย่างเลื่องชื่อว่า “ยามอยู่ไม่อาจเคียงคู่ ยามตาย กลายเป็นผีเสื้อครองรักนิรันดร”
ครับ,การสาธิตการแสดงนาฏศิลป์ที่ว่านั้น เป็นการประดิษฐ์ท่ารำของนิสิตชั้นปีที่ ๔ โดยการนำเอาตำนานรักอันเลื่องชื่อจากวรรณกรรม หรือนวนิยายมาเป็นตัวเดินเรื่อง ดังนั้นกลิ่นอายทางวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าจึงปรากฏชัดทั้ง “ตัวเรื่องและลีลาการร่ายรำแบบนาฏศิลป์โบราณ” โดยผสมผสานกับศิลปะการเต้นที่ร่วมสมัยอย่าง “บัลเลย์” ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “นาฏศิลป์ร่วมสมัย”
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าศิลปะทุกแขนงส่องทะลุถึงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม (วรรณศิลป์) นาฏศิลป์ (การแสดง) ดนตรี (ดุริยางคศิลป์) ฯลฯ และการแสดงหลายต่อหลายอย่างก็ล้วนหยิบโยง หรือยึดโยงมาจากนิทาน ตำนานและเรื่องเล่า หรือแม้แต่ข้อมูลในทางสังคมด้วยกันทั้งสิ้น เฉกเช่นกับแนวคิด "ศิลปะเพื่อชีวิต,ศิลปะเพื่อศิลปะ" นั่นเอง
ภายหลังการสาธิตเสร็จสิ้นลง ผมถือโอกาสแลกเปลี่ยนกับอาจารย์และนักศึกษาโดยสังเขปว่าการแสดงชุดดังกล่าวมาจากนวนิยายที่ชื่อ “กำแพงประเพณี” หรือเปล่า เพราะผมเคยได้อ่านหนังสือและดูในเวอร์ชั่นภาพยนตร์มาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งผม “ชื่นชอบและประทับใจ” ในโศกนาฏกรรมความรักของคนทั้งสองมาก
ถัดจากนั้นก็ถึงคิวของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ต้องนำ “มรดกทางวัฒนธรรม” ของตนเองออกมาสาธิตและใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักศึกษาจีน ทั้งนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์พื้นบ้านและรำมวยโบราณ
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีนิสิตจำนวนหนึ่งแอบถามผมเงียบๆ ว่าเรื่องราวที่นักศึกษาจีนนำมาประดิษฐ์เป็นท่ารำนั้นเป็น “นวนิยายและภาพยนตร์” จริงหรือไม่
ผมได้แต่หวังว่ากลับไปถึงเมืองไทย นิสิตคงได้มีแรงบันดาลใจในการติดตามดูหนังและอ่านเรื่องที่ว่านี้ เพราะนั่นคือการเรียนรู้วัฒนธรรมผ่านบันเทิงคดีในอีกมิติหนึ่ง
รวมถึงการมีแรงบันดาลใจที่จะหวนหลับไปทบทวนตัวเองว่า “ดนตรีและนาฏศิลป์ที่นิสิตกำลังสืบทอดอยู่นั้น มีเรื่องใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมท้องถิ่น หรือแม้แต่มีเรื่องใดที่สะท้อนความเป็นประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติได้แจ่มชัดเฉกเช่นที่นักศึกษาจีนได้สะท้อนรากเหง้าของเขาออกมา...”
และที่สำคัญก็คือ นิสิตรู้คุณค่าและความหมายในสิ่งที่ตนเองกำลังสื่อแสดงอยู่บนเวทีแค่ไหน หรือแม้แต่รักและหวงแหนสิ่งนั้นอย่างจริงจังแค่ไหน...
...
พี่เคยไปเรียนการนวดแผนจีนที่หนานหนิง ที่นั่นเขามีศิลปวัฒนธรรมครบเครื่อง
สวัสดีครับ พี่หมอ ทพญ.ธิรัมภา
ในทำนองเดียวกันนั้น ผมก็ถามนิสิตแบบไม่เป็นทางการเหมือนกันว่า ความรู้สึกที่แสดงในประเทศไทยและต่างประเทศต่างกันหรือเปล่า เพราะโดยนัยความหมายที่ถามนั้น ผมกำลังจะบอกกับเขาว่าไม่ว่าเล่นที่ไหน หากมีจิตวิญญาณในสิ่งที่ทำ ย่อมไม่ต่างอะไรกันมาก เพราะเราจะ "เชื่อในสิ่งที่ทำ และทำในสิ่งที่เชื่อ" รวมถึงมุ่งมั่น เต็มที่ และซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เรากำลังทำ ...
ส่วนปฏิกริยาความชื่นชมของชาวต่างชาติที่เรามาแสดงในต่างประเทศนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าศิลปะเป็นความงามอันยิ่งใหญ่ มนุษย์คือผู้สร้างและเสพศิลปะ และศิลปะก็ก่อเกิดมาจากสรรพสิ่ง..
หากใครสักคนจะรู้สึกรักและผูกพันกับมรดกตัวเองเพียงเพราะเห็นการชื่นชมจากคนอื่นแล้วกลายเป็นจุดเปลี่ยนภายในตัวตนของตัวเองนั้น ผมก็จะบอกเปรยว่า "ดีแล้ว...ดีกว่าไม่สามารถค้นพบอะไรได้เลย..."
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ พี่แก้ว แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
อากาศที่นี่เย็นลงทุกๆ วัน ดีหน่อยอาหารการกินใกล้เคียงกับเมืองไทย เลยพลอยให้ทุกคนปรับตัวได้เร็ว..
ครับ, การนวดแผนจีนขึ้นชื่อมาก เราอาจเคยพบเจอในมิติต่างๆ สมัยเด็กๆ เคยเห็นในละครและภาพยนตร์ที่ยอมยุทธ์ทั้งหลายรักษากันและกัน ทั้งระบบฝังเข็ม ขับพลังภายใน...ฯลฯ...
ยอมรับครับว่า ทุนทางสังคมในเชิงวัฒนธรรมนั้น เมืองจีนมีหลงเหลืออยู่มาก การสร้างชาติของคนจีนมีบทเรียนที่น่าศึกษาหลายอย่าง ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ วิชาประวัติศาสตร์ไทย ยังมีเนื้อหาความเป็นไทยให้เรียนมากน้อยแค่ไหน กลับเมืองไทย คงได้พลิกหนังสือเรียนของประถาม-มัธยมดูบ้างแล้ว -
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
ภาพงดงามมากค่ะ ของเก่าของเดิม พี่ดาชื่นชอบและประทับใจเสมอเมื่อได้ทราบได้ชม ไม่ว่าจะวัฒนธรรม ฯลฯ ที่ไหน โดยเฉพาะของไทยเราบางอย่างกำลังจะหายไป ซึ่งบางอย่างเป็นของตะกูลของเขาแท้ๆ แต่ไม่มีลูกหลานสืบทอด น่าเสียดายที่สุด
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน,
ขอบคุณค่ะที่แบ่งปันเรื่องเล่าที่น่าสนใจเเรื่องนี้ อ่านแล้วชวนให้คิดถึง "รากเหง้า" ของตัวเองด้วยเหมือนกัน ซึ่งเมื่อก่อนสิ่งเหล่านี้คงไม่ได้อยู่ในรายการสิ่งที่น่าสนใจของตัวเองเป็นแน่แท้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ เวลา วัย หรือ สิ่งแวดล้อม ที่ชวนให้นึกถึง "คุณค่า" ของสิ่งเหล่านี้
บางคนอาจมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในยีนโดยอัตโนมัติ แต่บางคนก็ต้องอาศัย สื่อ ประสบการณ์ เป็นสิ่งกระตุ้นค่ะ
ขอบคุณบันทึกนี้ที่ช่วยเป็น "สิ่งกระตุ้น" สำหรับฉันในเช้าวันนี้
ขอให้มีความสุขกับการเป็นไทยในหนานหนิง ค่ะ...
* ขอบคุณค่ะ ทุนทางวัฒนธรรมประเพณี เป็นสิ่งที่ทุกชาติควรรักษาไว้อย่างต่อเนื่อง..
* พี่ใหญ่กำลังคัดเลือก โครงการเธอคือแรงบันดาลใจ ของเยาวชนทุกภูมิภาค ที่ส่งเข้ามาตามความสมัครใจ..หลายโครงการน่าสนใจมากที่สะท้อนการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น และเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขางทั้งระดับประเทศและนานาชาติค่ะ..
ยามอยู่ไม่อาจครองคู่ ....
เพราะฉะนั้นใครที่สมหวังได้ครองคู่
ก็ให้รักกันยืนยาว...วววววว
อย่าทะเลาะกันเลยเนอะ
สวัสดีครับ พี่ดา กานดา น้ำมันมะพร้าว
ในความเป็นชาติ ย่อมมองหามรดกวัฒนธรรมในรูปลักษณ์ต่างๆ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น อย่างน้อยวันนี้เราก็ยังดีที่มีละคร/ภาพยนตร์ที่หยิบจับประวัติศาสตร์มาให้เราได้ดูได้ชม ถึงแม้จะมีน้อยนิด ก็ยังอิ่มใจ อยู่เหมือนกัน
สวัสดีครับ คุณปริม pirimarj...
เราล้วนโตมาจากอดีต..อดีตคือทุนอันสำคัญที่บ่มเพาะให้เราเติบโต
กล้าและแกร่ง
ผมคิดถึงวรรณกรรมพื้นบ้านที่ปรากฎบนเวที "หมอลำ" เป็นที่สุด
ไม่ว่าจะเป็น จำปาสี่ต้น, นางสิบสอง,ผาแดงนาไอ่..ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ คือมรดกวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าสำหรับผม ครับ