ไดอารี่ชีวิต 12


เรียนรู้ชีวิตจากความทุกข์ ใจสื่อถึงใจ(ภาษาจิต) ธรรมนำชีวิต

.....สุขกับทุกข์เป็นของที่อยู่คู่กัน ในเมื่อเราทำทั้งสองอย่างก็คงต้องรับทั้งสองอย่าง(ผล)ต่างกันที่สุขแท้หรือสุขเทียม.แต่ความทุกข์ไม่มีเทียมเลยซักครั้ง.แต่ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะแสนสาหัสสักเพียงไหน มนุษย์เรานั้นย่อมผ่านมันไปได้ด้วย"ใจพิจารณาใจ"ภายในตนเอง...

.....วานนี้วันศุกร์ 9ธันวาคม2554 วันสุขแห่งชาติท้องฟ้าสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ที่เต็มดวงไร้เมฆบดบัง ลมหนาวมาเยือนอีกระรอก วันนี้ใจสองใจตรงกัน ตรงที่คิดถึงหลวงลุง(ท่านพระครูสุพล มหาหิง)แม้ท่านจะละสังขารจากไปแล้ว แต่ธรรมนำชีวิตที่ท่านมอบให้กับข้าพเจ้าชีวิตนี้คงต้องได้ใช้ไปจนวันสุดท้ายปลายทางของชีวิต.

.....วันนี้เป็นวันพระใหญ่แรม14ค่ำเดือน1 แต่ตอนนี้ฟ้ากลับมืดพระจันทร์เลือนหายเพราะกบกินเดือน(จันทรุปราคา)...

.....มืดกับสว่างก็คงไม่ต่างกับชีวิตของคนเราที่ต้องเรียนรู้(ผ่าน)มาแล้วทั้งสองด้านกว่าจะเดินมาถึงจุดสูงสุด(สูงสุด:เดินขึ้นฝั่งแม่น้ำชีวิตไปแบบเบาๆไม่ใช่ไปแบบเข็นครกขึ้นภูเขา)...

.....ในชีวิตของข้าพเจ้ากับครั้งแรก(คนเดียว)ที่ได้สัมผัสกับคำที่คนทั่วๆไปเรียกว่าว่า"ความตาย"(การพลัดพรากจากกัน)ในการละสังขารของท่านพระครูสุพล...

.....เหตุการณ์ในครั้งนี้และทุกครั้งที่นึกถึงเป็นการจากลาที่ทำให้หัวใจเบามากกว่าความทุกข์กังวลใดๆในคำว่าจากลา(จากเป็นจากตายหัวใจก็ยังคิดถึงกัน(ได้)อยู่เสมอ คุณค่าเท่ากัน)...

.....ในการละสังขารของท่านพระครูฯทำให้ข้าพเจ้าน้อมนำมาพิจารณา"มรณสติ"ของตัวเองนึกพิจารณาไปในความเป็นคนที่เกิดมาเพื่ออะไรกัน ทำชีวิตคุ้มค่าที่ได้เกิดมาแค่ไหนแล้วเรา...

.....ธรรมะที่ท่านได้ฝากไว้ให้ข้าพเจ้าประโยคหนึ่งที่ดังกึกก้องในใจของข้าพเจ้าคือคำว่า "ไม่เสียชาติที่ได้เกิดมา" ท่านสามารถวางทุกข์ทั้งทางกายและใจลงได้ แล้วเดินเข้าหาความว่างเปล่า(ความตาย) ที่ไม่ใช่ใครๆทุกคนจะผ่านจุดนี้ไปได้อย่างง่ายดายเหมือนอย่างใจคิด...

.....ทำให้นึกถึงคำพูดของท่าน3วันก่อนละสังขาร กับการคุยกันกับคุณโอภาส(หมอใหญ่)ที่ชวนท่านสนทนาธรรมะ(ให้กำลังใจท่าน) กับประโยคที่ว่า "ใดๆล้วนอนิจจัง"...

.....นึกถึงคำพูดของข้าพเจ้าเองที่มีโอกาสได้พูดกับท่านในครั้งสุดท้าย(เพราะเห็นภาษาท่าทางของท่านเข้าใจว่ากำลังใจของท่านเริ่มถอยหลังอีกแล้วหรือ?)ปลูกพลังใจให้ท่านครั้งใหญ่ ขอให้ท่าน "หลวงลุง:ฮึด!สู้!ใจของคนเรานั้นยิ่งใหญ่มีพลังมากมายกว่าที่เราคิดนะคะ"คำพูดสุดท้ายที่ข้าพเจ้าที่กลั้นใจปลุกพลังข้างในเพื่อหวังเติมพลังใจให้กันและกัน...

.....แต่ใดๆล้วนอนิจจัง ท่านคงทราบตัวท่านดีและรับรู้ความปราถนาดีที่พยายามมอบให้ท่านและในค่ำคืนวันที่ท่านจากไป ท่านเลือกจากไปอย่าง สงบ วาง ว่าง สว่าง (ประโยคสุดท้ายจากท่านที่เคยพูดไว้ก่อนกน้า 7วัน) โรงพยาบาลก็ไม่ไป ไปที่นั่นคุณหมอก็ให้พ่นยาเข้าน้ำเกลือเช่นเคย จะอยู่ที่นี่ ตายก็ให้ตายที่นี่.คำตอบก็คือสิ่งนี้นี่เอง"ภาษาใจ(จิต)-ภาษาท่าทาง(กาย)"

.....ในวันที่ท้องฟ้าโล่ง โปร่งสบายจันทร์เต็มดวงเปล่งแสงสีนวลๆงดงามยิ่ง ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้าไกล ได้เห็นรอยยิ้มจางๆของหลวงลุงที่เคยยิ้มกับข้าพเจ้าบ่อยๆในยามขอบใจและให้กำลังใจแก่กันและกันในฐานะผู้ป่วยและผู้ดูแล...

*****ในช่วงหนึ่งที่มีโอกาสผลัดกันไปนอนเฝ้าท่านพระครูฯช่วงอาการหนัก อยู่ที่รพ.น้ำพอง เดือนกว่าๆ ได้สัมผัสกับกับความเจ็บไข้ได้ป่วย(บางครั้งผู้ป่วยเองป่วยเพียงกายแต่ญาติกับป่วยใจซึ่งหนักกว่า ความทุกข์ความตาย(ความไม่เที่ยง)ผู้ป่วยเองอาจรับได้ ทำใจได้ แต่ปัญหาบางครั้งที่มักเกิดเพราะญาติผู้ป่วยเองกับการยอมรับความจริง(ไม่ได้) อาจลืมไป หมอ พยาบาล ก็คนธรรมดา (ไม่ใช่เทวดาผู้วิเศษเสกได้ดั่งใจ)...

.....รับไม่ได้ ,"ฟ้อง",(อาจถูกฟ้อง) ใดๆเหล่านี้ก็อาจเป็นข้อจำกัดขวางกั้น(ใจ-ชีวิต)ผู้ป่วยเองที่เป็น"เจ้าของลมหายใจ"ที่ควรจะได้เป็นผู้ "เลือก"ตัดสินใจ เพื่อใจของตัวเองครั้งสุดท้าย...

.....ในการบำบัด-รักษา คงต้องพ่วงกันทั้งผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยไปพร้อมๆกัน.เพื่อผู้ป่วยมีโอกาสหาย-ดีขึ้นหรือจากไปแบบเบาๆ. เพื่อญาติผู้ป่วยจะไม่ต้องกลายเป็นผู้ป่วยซะเอง(ป่วยทั้งกายและจิต)*****

หมายเลขบันทึก: 470931เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2011 23:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มีนาคม 2012 11:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบพระคุณทุกๆท่านค่ะสำหรับดอกไม้กำลังใจ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท