จดหมายถึงลูก "ภัคร" + "เพรียง" ฉบับที่สาม


จดหมายถึงลูก "ภัคร" + "เพรียง" ฉบับที่สาม

 

 

 

จดหมายถึงลูก "ภัคร" + "เพรียง" ฉบับที่สาม

 

            บันทึกนี้ เป็นการสอนลูกในการให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าหากว่าไม่มีพ่อ + แม่ อยู่บนโลกใบนี้แล้ว...ในช่วงนี้ "พี่ภัคร" ต้องกลับมาอยู่บ้าน เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่พี่ภัครเรียนต่อปริญญาโทที่ กทม. น้ำท่วม มหาวิทยาลัยจึงต้องปิดการเรียนการสอนจะเปิดเรียนได้ในวันที่ 19 ธันวาคม 2554 "พี่ภัคร" เลยต้องอยู่ที่บ้านนานหน่อยสำหรับเทอมนี้...

              "พี่ภัคร" + "น้องเพรียง" โดน "พ่อเร" ให้ทำงานบ้านต่าง ๆ เช่น ช่วยทาสีบ้านที่บ้านพรหมพิราม เพราะสีบ้านเดิมนั้นเริ่มหมดสภาพ เนื่องจากทากันมานานเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัย "พี่ภัคร" + "น้องเพรียง" ยังอายุประมาณ 5 - 6 ขวบ กันอยู่..."พ่อเร" บอกว่า "การทาครั้งนี้ เป็นการทาในครั้งที่ 2 ของชีวิตพ่อ + แม่และก็คงเป็นการทาครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะต่อไปคงไม่มีแรงปีนป่ายสูง ๆ ได้อีกแล้ว เนื่องจากสังขารคงจะไม่ให้...ทาครั้งนี้ก็คงคุ้มไปอีก 10 ปี ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้วที่จะช่วยกันดูแล รักษาต่อไป หรือไม่ ทาครั้งที่ 3 ก็คง "เจ้าฟ้าคราม" โตเป็นสาวแล้วนั่นแหล่ะ จึงต้องทาใหม่อีกครั้งหนึ่ง"

                การทาสีบ้าน คนที่เริ่มคิด เริ่มทำ นั่นก็คือ "แม่บุษ" คนนี้ เพราะเห็นว่านานแล้ว บ้านเราก็โทรมลงทุกวัน โดยแม่บุษเป็นคนเริ่มลงมือทำให้กับลูก ๆ ดู คือ ทาสีในบ้านก่อน แล้วก็ทานอกบ้านในที่ต่ำ ๆ เพราะแม่กลัวความสูง จึงไม่สามารถป่ายปีนได้ ก็คงต้องอาศัย "พี่ภัคร" + "น้องเพรียง" + พ่อเร ในการช่วยทาสีบ้านในส่วนที่สูงขึ้น...

                ในช่วงเวลานี้ น้ำที่ท่วมบ้าน ท่วมนา ก็กำลังลดลงเรื่อย ๆ การใช้ชีวิตแบบลูกทุ่งอีกแบบหนึ่ง นั่นคือ การปักเบ็ดหาปลา...ถ้าสำหรับ "น้องเพรียง" แล้วไม่ต้องพูดถึง "น้องเพรียง" คล่องแคล่วกว่า "พี่ภัคร" เรียกว่า งานนี้ "พี่ภัคร" ต้องมาเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตซึ่งอาจเรียกได้ว่า "รากเหง้า" ของเราเป็นมา "พี่ภัคร" อาจเก่งในเรื่องของ "วิชาการ" แต่สำหรับเรื่อง "การใช้ชีวิตจริง ๆ นั้น "พี่ภัคร" ต้องมาเรียนรู้กับ "น้องเพรียง" เพราะ"น้องเพรียง" จะเก่งด้านนี้มากกว่า..." ซึ่ง "น้องเพรียง" จะเป็นคนสอน "พี่ภัคร" ในเรื่องของการหาอุปกรณ์ การจัดทำอุปกรณ์ในการหาปลา การหาบริเวณ สถานที่ต้องปักเบ็ด เพราะการใช้เบ็ดต้องใช้จำนวน 200 - 300 คัน ต้องใช้บริเวณมาก อีกอย่างต้องเตรียมหาเหยื่อเพื่อล่อปลา ในครั้งนี้ "น้องเพรียง" ใช้ "ลูกเขียด" มาเป็นเหยื่อในการล่อปลา...

                งานนี้ เรียกว่า "ทำเอานักวิชาการ อย่าง "พี่ภัคร" เหนื่อยเลย เพราะคนไม่เคยทำ พี่ภัคร บอกว่า "ตอนมาจาก กทม. เท้ายังขาวอยู่เลย แต่ตอนนี้ เท้าภัครดูไม่ได้เลย ถึงแม้จะใส่รองเท้าบูท...55555555...(นี่คือ..."ชีวิตจริงไงลูก")...แต่เมื่อทำแล้ว ก็ทำให้ "พี่ภัคร" นึกสนุก เพราะเมื่อในคืน ๆ หนึ่ง ได้ปลามานั้น เรียกว่า ได้มา 10 - 20 กิโลกรัม เลยเชียว นำไปขายส่งก็ได้เงินมากันหลายอยู่...นี่คือ การหาเงินด้วยน้ำพัก - น้ำแรงของตัวเราเอง "มันน่าภูมิใจมากกว่าการขอเงินพ่อ - แม่ ใช้มากกว่า"...ทาง พ่อเร ก็บอกว่า "เป็นการสอนชีวิตจริงกับพี่ภัครที่ต่อไป เมื่อไม่มีพ่อ มีแม่ เจ้าก็จะอยู่ได้ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เอง เป็นการสอนลูกให้รู้จักชีวิตจริงอีกวิธีหนึ่ง...ไม่ใช่ว่า เมื่อตนเองเรียนขึ้นสูงแล้วจะลงมาต่ำไม่ได้ เพราะต้องรู้ว่า สภาพความเป็นจริงทั่ว ๆ ไป คนเราจะอยู่กับคนที่เรียนต่ำ ๆ มากกว่า พี่ภัคร ต้องอยู่ให้ได้ ไม่ใช่มัวหลงระเริงกับสิ่งที่สูงแล้ว ลงมาต่ำไม่ได้...เพราะปัจจุบันมีคนประเภทนี้อยู่มากในสังคมเรา เรียกว่า "พอสูงแล้วลงมาต่ำไม่ได้...ไม่ใช่เรียนสูงแล้วจะทำงานแบบนี้อีกไม่ได้...อย่าลืม!!!..."รากเหง้าหรือกำพืดเดิมของเราเอง"...

               อีกเรื่องหนึ่ง ในช่วงนี้ พ่อเร + พี่ภัคร + น้องเพรียง ก็ได้ไปวิดบ่อปลา ซึ่งถ้าสมัยที่ "ตา" ยังแข็งแรง ตาจะเป็นคนไปวิดบ่อปลาเอง แต่มาปีนี้ ตาทำไม่ได้แล้ว พ่อเรจึงชวนลูก ๆ ไปทำการวิดบ่อปลาเอง...บ่อปลานี้เป็นบ่อซึ่งทำไว้ในที่นาของพวกเรา เสมือนบ่อล่อปลา พอน้ำขึ้นปลาก็จะมาอยู่ เราก็จะนำเศษไม้ต่าง ๆ ไปไว้ในบ่อเพื่อเป็นกับดักปลา พอน้ำลดปลาก็จะอยู่ในบ่อ เพราะอาศัยเศษไม้ต่าง ๆ เป็นที่อาศัย เมื่อถึงเวลาจะนำปลาขึ้นจากบ่อ พวกเราก็จะต้องไปเอาเศษไม้ต่าง ๆ ออกจากบ่อก่อน แล้วจึงนำปลาขึ้นมากิน มาขายต่อไปได้...นี่คือ วิถีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งของครอบครัวเรา...ในสมัยตายังแข็งแรง ปีหนึ่ง ๆ เราจะได้ปลากินบ้าง ขายบ้าง ถ้าขายก็ได้หลายตังค์เหมือนกัน โดยเราไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลย เพียงแต่ลงทุนขุดบ่อในครั้งแรก กับการที่ต้องลงแรงไปหากิ่งไม้มาลงในบ่อเท่านั้นเอง...

              ปลาที่ได้ส่วนมากจะเป็น พวกปลาช่อน ปลาดุก ปลาชะโด ปลากระดี่ ปลาสลิด ปลาขะแหยง ฯลฯ ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปลาตัวเล็กมาก เพราะอาจโดนยาฆ่าแมลงก็ได้ จึงโตไม่มาก เมื่อสมัย 20 ปีที่แล้ว ตอนผู้เขียนเป็นเด็ก ๆ ปลาตัวโตมาก ๆ ถ้ากินปลานึ่งด้วยละก็ไม่ต้องพูดถึง ตัวเล็ก ๆ ไม่ได้นึ่งหรอก ต้องนึ่งตัวใหญ่ ๆ เท่าขานั่นแหล่ะ "อร่อยมาก ๆ " พูดแล้ว ทำให้น้ำลายไหล...แต่ในปีนี้ สังเกตจากที่ "น้องเพรียง" ได้ปลามา จะตัวโตขึ้น บางตัวก็กิโลกว่าเกือบ 2 กิโล ก็มี บางตัวก็ครึ่งกิโล ทำให้เรารู้ว่า ปลาปีนี้เริ่มตัวโตมากขึ้นแล้ว สำหรับ "น้องเพรียง" นิสัยอีกอย่าง คือ ชอบตกปลาโดยเรียกว่า "ตีปริ้นส์" โดยใช้เบ็ด + เหยื่อหลอกล่อ ครั้งแรกแม่ก็บ่นว่าทำอะไรไม่เห็นได้งานได้การ แต่ "น้องเพรียง" ก็สามารถตกเบ็ดโดยใช้การ ตีปริ้นส์ มาได้ปลาตัวโตเหมือนกัน ทำให้ "น้องเพรียง" มาคุยอวดพ่อเรกับแม่ได้ว่า "เห็นไหม? เพรียงก็ทำได้นะแม่"...

                นี่ก็เป็นอีกวิถีชีวิตหนึ่งของครอบครัวเรา ที่ทำได้...เป็นการปฏิบัติจริง...โดยไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน สามารถนำมาเลี้ยงชีวิตและครอบครัวเราได้ โดยไม่ต้องซื้อหรือควักเงินออกจากกระเป๋า...ซึ่งอาจเป็นวิถีชีวิตหนึ่งอาจตรงกับคนอื่น ๆ ที่ในอดีตก็เคยเป็นมา...เพื่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้อีก...เมื่อน้ำลดแล้ว ช่วงนี้ หน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งของ น้องเพรียง นั่นคือ เริ่มลงมือหว่านข้าวในนาได้แล้ว เพราะน้ำลดลงแล้ว พ่อเรเลยต้องฝึกน้องเพรียงให้ไปเผาหญ้าในนา เตรียมหว่านข้าวเพื่อจะเก็บเกี่ยวต่อไปในเดือนมีนาคม 2555... เพราะที่ผ่านมา หว่านแล้วก็ถูกน้ำท่วมหมด...ดีที่ว่านาของเราไม่ได้เช่าเขาเท่านั้นเอง...แต่เราก็ต้องเสีย "การลงทุน"...

 

อ่านจดหมายถึงลูกทุกฉบับ ได้จากที่นี่...

"จดหมายถึงลูก"

 

หมายเลขบันทึก: 470652เขียนเมื่อ 8 ธันวาคม 2011 11:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2013 15:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจค่ะ พี่นีนาถ...Ico24
  • ห่างหายไปจาก Gotoknow เสียนานเลยนะคะ ยังรัก + คิดถึงพี่อยู่เสมอจ้า...

แวะเข้ามาทักทายจ๊า...อ่านแล้ว..ซึ้งจริงๆ...Happy Family จริงๆ...เรียบ ง่าย แต่มีความสุขใจจริงมั้ยเอ่ย...

" ขอกด Like ให้อาจารย์ร้อยล้านครั้ง

ไม่เหนี่ยวรั้งหัวใจบุตรสุดปรารถนา

เลี้ยงดูลูกได้ดีสุดพรรณนา

เติบโตมาก็มิลืมกำเนิดเดิม

จะมีใครสักกี่รายในยุคนี้

สำนึกดีแบบท่านอาจารย์ผม

ขอร่วมเป็นแรงใจให้ด้วยคน

สร้างสุขสมอย่างยั่งยืนนิรันดร์เอย"

ด้วยความเคารพครับผม ท่านอาจารย์บุษยมาศ

  • ค่ะ พี่นีนาทIco48
  •  เป็นครอบครัวที่อบอุ่น + มีความสุขตามสภาพของเรา ซึ่งคำว่า "ครอบครัว" เป็นพื้นฐานของสังคม สังคมจะแข็งแรงได้ก็เพราะมีครอบครัวที่อบอุ่นไงค่ะ ขอบคุณพี่นีนาทที่แวะมาเยี่ยมค่ะ
  • รัก + คิดถึง พี่สาวเสมอจ้า...
  • ขอบคุณค่ะ อาจารย์ธนากรณ์ Ico48
  • ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจ + คำกลอนที่แต่งให้ด้วยค่ะ
  • นี่คือ วิถีชีวิตของครอบครัวเรา พ่อ + แม่ จะพยายามสอนให้ลูกเป็นคนติดดิน...ห้ามลืม!!!...พื้นฐานของตัวเองค่ะ เพราะจะทำให้กลายเป็นคนไม่เต็มคน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า อย่าทำตัวเหมือน "วัวลืมตีน" ไงค่ะ (ขออภัยด้วยนะค่ะ เพราะสุภาษิตเป็นแบบที่ว่านี้ค่ะ) เพราะทุกวันนี้ สังคมเราไม่ค่อยทำในสิ่งนี้เลยค่ะ เรียกว่า "พอได้ดิบได้ดีแล้วก็ไปลับเลย ไม่หันมามองพ่อ - แม่ ครอบครัว ที่ตนเองได้เคยร่วมทุกข์ + ร่วมสุขกันมาไงค่ะ"...
  • เพราะความจริงสังคมปัจจุบันเราเปลี่ยนไปมาก บางคนก็ลืมรกรากถิ่นฐานดั้งเดิมของตนไปเลย แต่ความเป็นจริงแล้ว สุดท้ายคนที่เป็นมิตรกับเราอย่างแท้จริง นั่นคือ ครอบครัวของเรามากกว่าค่ะ
  • การสอนของครอบครัวเราจะสอนให้ลูก ๆ ไม่เป็นคนที่ทิ้งท้องถิ่น เมื่อได้ดีแล้วก็ต้องกลับมาดูด้วยว่า ท้องถิ่นที่ตนเองเคยอยู่นั้นเป็นเช่นไร เพราะสังคมที่แล้ว ๆ มา พวกเด็ก ๆ ได้เรียนสูงแล้ว กลับมาถิ่นเดิมไม่ได้เลย ทำให้เกิดการย้ายถิ่นไงค่ะ
  • ขอบคุณอาจารย์ที่แวะมาอ่านค่ะ...เป็นจดหมายของแม่ที่เขียนถึงลูก เมื่อยามที่แม่หมดลมไปแล้ว เขาจะได้เข้ามาอ่านและรู้ว่า "พ่อ + แม่ รัก + ห่วงใยพวกเขามากเพียงใดด้วยค่ะ...
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท