มาศึกษาธรรมจากท่านพระพุทธทาสให้ลึกซึ้ง


วิวัฒนาการเพื่อวินาศการตอนที่ 1
 
 
                   เว็บเพื่อสังคม  http://www.nature-dhrama.com
                                    นำเสนอแนวคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่
 
 
วิวัฒนาการเพื่อวินาศการ ตอนที่ 1
(จากธรรมโฆษณ์ ...เมื่อธรรมครองโลก)

       คนที่เคยเรียนรู้ภาษาบาลี ย่อมรู้มาดีแล้วว่า คำว่า วฑฺฒ ตัวนี้คำนี้ในความหมายนี้ มันแปลว่า รก ไม่ได้แปลว่า ดี หรือชั่วโดยเฉพาะ แปลว่ารก ก็แล้วกัน รกดีก็ได้ รกชั่วก็ได้ นี้คือ "วัฒนะ" แปลว่าหนาแน่นขึ้นมา คำว่า วิ นี้ แปลว่า แปลก ๆ ต่าง ๆ ก็แปลได้ แปลว่าวิเศษก็ได้ แปลว่าฉิบพายหมดก็ได้ คำว่า วิ นี้เป็นอุปสรรค ตัวนี้แปลได้หลายอย่าง เมื่อเอามาต่อเข้าเป็น วิวัฒนาการปัญหามันก็เกิดขึ้นว่ามันจะรกไปในทางดีมีแต่ความสุขความเจริญหรือมันจะรก
ไปมนทางแปลก ๆ หรือมันจะรกไปในทางที่จำนำมาซึ่งความวินาศในที่สุดขอให้เข้าใจไว้ด้วย
      สิ่งที่เรียกว่า "วิวัฒนาการ" มีอยู่หลาย ๆ อย่าง ที่ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ มันก็วิวัฒนาการของธรรมชาติ ของโลกที่ยังไม่เคยมีอะไรเช่นจะถือว่า โลกแยกออกมาจากดวงอาทิตย์ หรือว่ามันมีหมอกเพลิงจับตัวกันขึ้นมาเป็นโลกนี้ ก็ไม่มีอะไรนอกจากไฟ แล้วเย็นลง แล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จนมีอะไรเกิดขึ้น นี้ก็เรียกว่า "วิวัฒนาการ" กระทั่งอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง มีน้ำเกิดขึ้นที่ผิวโลก เริ่มมีสิ่งมีชีวิต เป็นเซลล์ของต้นไม้ก็มีของพืชก็มี นี้ก็เรียกว่า "วิวัฒนาการ" ไม่มีความหมายอะไร มันเรื่องของวัตถุล้วน ๆ
       จนกระทั่งมันมีสิ่งที่เรียกว่า "คน" มีสิ่งที่เรียกว่าคน เกิดขึ้น ในโลกนี้จึงมีปัญหา เพราะว่าสัตว์หรือต้นไม้ มันไม่มีความรู้สึกคิดนึก ไม่มีความรับผิดชอบอะไร มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรมันก็ไม่มีปัญหา แต่คนนี้มีความรู้สึกคิดนึกสูง ต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ สรุปแล้วคือ รู้จักต้องการสันติภาพ หรือความสงบสุข
ฉะนั้นคนเกิดขึ้นมาแล้วในโลกก็ต้องทำจิตใจย้อนระลึกไปถึงคนป่าที่แรกมีขึ้นมาในโลก บางคนจะว่านี้ยังไม่ใช่วิวัฒนาการ ก็ถูก แล้วยังไม่ใช่วิวัฒนาการสำหรับคน หรือสำหรับมนุษย์ แต่มันก็เป็นวิวัฒนาการสำหรับธรรมชาติ ที่เปลี่ยนมาตามลำดับ จนมีชีวิตชนิดพืชพันธุ์ ชนิดสัตว์เดรัจฉานอะไรเกิดขึ้นมา เป็นไปด้วยอำนาจของสัญชาตญาณล้วน ๆ จนกว่าเผอิญวันหนึ่งมันเกิดสัตว์ที่เรียกว่า คนขึ้นมา มันก็เลยเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะแยกทางกันเดิน
       วิวัฒนาการตั้งแต่ต้นแล้ว ก็ควรจะดูให้ลึกลงไปอีกว่า การตั้งต้นมันมีรากฐานอยู่ที่อะไร นี้จะเริ่มเข้ามาในเรื่องของธรรมะแล้ว วิวัฒนาการนี้ตั้งรากฐานอยู่บนความที่ต้องการความเอร็ดอร่อย ที่ยิ่งขึ้นไป ลองคิดดูว่าคนป่าถ้าเขาอยากจะอยู่อย่างเดิม ไม่ต้องการเอร็ดอร่อย ทางตา ทาวงหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางอะไร ที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
       วิวัฒนาการของมนุษย์ที่พอเริ่มรู้จักวิวัฒนาการ มันก็ขยายตัวเร็วอย่างนี้ จนกระทั่งเกินความพอดี จนกระทั่งกลับเป็นทาสของสิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการนี้คือการเป็นทาสของกิเลส อย่าลืมว่ามันต้องการอร่อยกว่าเดิม มันทำขึ้นมาผลิตขึ้นมา และก้าวหน้าต่อไป หลงใหลมากขึ้น ในที่สุดก็ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น แล้วก็เหลือบดูที่เนื้อที่ตัวของเรา ว่ามีอะไรที่เป็นอยู่อย่างนี้หรือเปล่า
ฉะนั้นยุคปัจจุบันนี้มันจึงเป็นเรื่องเลยความพอดี เป็นทาสของเนื้อหนัง มันจึงมีการเห็นแก่ตัว มันจึงคิดกอบโกยเอาส่วนเกินไม่มีพอ มันยอมเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งที่มันรู้สึกอยู่ว่า เขาคงไม่ชอบเหมือนกับเราไม่ชอบให้ใครเบียดเบียนเรา แต่แล้วก็บังคับไม่ได้ มันก็ยอมเบียดเบียน และทำอะไรไปตามความเกินของวิวัฒนาการ คือ ตามใจกิเลสนี้ยิ่งขึ้นทุกที
       นี่คือยุคปัจจุบันนี้ วิวัฒนาการมาถึงขอบเขตสูงสุด หรือเรียกว่าเลยขอบเขตสูงสุด จะกลายเป็นวินาศนาการ จะดูกันให้ทั่วก็ดูว่า ทางวัตถุก็มี ทางร่างกายของบุคคลนี้ก็มี ทางจิตใจของบุคคลนี้ก็มี ที่ยิ่งไปกว่าจิตใจ ในที่นี้อยากจะเรียกว่าทางวิญญาณ มีอยู่ 4 ทางที่ควรจะมอง
        ทางวัตถุ คือวัตถุล้วน ๆ ไม่มีชีวิตจิตใจ ที่นี้ทางกายคือกายของคนนี้ แต่มุ่งหมายเฉพาะทางกาย ทางจิต นี้คือทางความรู้สึกตามธรรมดา ส่วนทางวิญญาณนั้นหมายถึงทางสติปัญญาที่ลึกซึ้งสูงสุด คำนี้ไม่รู้จะเรียกอะไรดี จะเรียกสติปัญญาก็ได้ แต่เนื่องจากมันเกี่ยวกับภาษาสากลทั่ว ๆ ไป ซึ่งเขามีคำ spiritual ใช้อยู่คำหนึ่ง ไม่รู้แปลว่าอะไร ก็ขอแปลว่า ทางวิญญาณไว้ก่อน
          ถ้าเราเจริญทางวัตถุก็หมายความว่ามีวัตถุดี สวยงาม เจริญทางกายมีร่างกายสบายดี เจริญทางจิต คือมีจิตใจสมประกอบ สงบเย็นตามธรรมชาติได้ ส่วนเจริญทางวิญญาณนั้นหมายถึงมีความก้าวหน้าชนิดเอาชนะกิเลสได้ บรรลุมรรคผล นิพพาน อย่างนี้เรียกว่าทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางจิตล้วน ๆ เช่นว่า เราไม่ได้เป็นโรคจิต แต่เราเป็นโรคทางวิญญาณ คือมีโลภะ โทสะ โมหะ เหมือนคนธรรมดานี้ไม่เรียกว่าโรคจิต เพราะโรคจิตต้องไปโรงพยาบาลโรคจิต
          ถ้าความวินาศทางวัตถุก็หมายความว่า โลกนี้สูญเสียวัตถุ หรือทรัพยากรในโลกอย่างที่ไม่ควรจะสูญเสีย แต่มนุษย์ก็ได้ทำให้วัตถุนี้เสียหายไป เป็นความวินาศทางวัตถุ

           ถ้าเป็นความวินาศทางกายก็หมายความว่า เดี๋ยวนี้ร่างกายของมนุษย์อ่อนแอ ไม่เข้มแข็งเหมือนมนุษย์สมัยโน้น ซึ่งนุ่งผ้าก็ได้ ไม่นุ่งผ้าก็ได้ อยู่ถ้ำก็ได้ อะไรก็ได้ มีความต้านทานโรคทางกายสูง เดี๋ยวนี้มนุษย์เสียความเป็นอย่างนั้น ไม่มีความเข้มแข็งอย่างนั้น มีโรคเกิดขึ้นทางกาย มีร่างกายที่มันด้อยสมรรถภาพ นี่เรียกว่าความวินาศในทางกาย
           วินาศทางจิต การที่คนสมัยนี้เป็นโรคเส้นประสาท โรคจิต หรือเสื่อมสมรรถภาพทางจิต ไม่เข้มแข็ง อย่างนี้เรียกว่าเราสูญเสียวิวัฒนาการทางจิต
ทีนี้ทางวิญญาณก็แปลว่ามนุษย์เสื่อเสียทางศีลธรรม ศีลธรรมในหมู่มนุษย์นี้ เลวไปกว่ามนุษย์ในยุคคนป่าสมัยโน้นเสียอีก ซึ่งเขาไม่เบียดเบียนกัน และไม่มีใครรู้จักเอาส่วนเกิน แล้วยังโง่ ๆ ง่าย ๆ เหมือนกับหนูกับนก อิ่มปากอิ่มท้องก็แล้วไป ต้องการจะพักผ่อนมากกว่า
          แต่มนุษย์สมัยนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งได้ยิ่งต้องการ ยิ่งได้ยิ่งเอามาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับกอบโกย มันก็เลยเสื่อทางศีลธรรม ความสงบสุขส่วนบุคคลก็เสียไป สันติภาพของสังคมโลกก็เสียไป โลกที่หวังกันว่าจะเป็นโลกที่สงบสุข เป็นโลกพระเจ้า เป็นโลกพระศีอาริย์ ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ นี่มันเรียกว่าเสียหายไปทางวิญญาณ
          พอมนุษย์วิวัฒนาการเกินขอบเขตมันก็ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้นแก้ คือธรรมะฝ่ายที่จะแก้ จะอยู่ในรูปของกฎหมาย ระเบียบของหมู่คณะ หรือกฎหมายก็ได้ ศีลธรรมก็ได้ วัฒนธรรมก็ได้ กระทั่งศาสนาก็ได้
          เมื่อเขาได้อาศัยระบบไหนแก้ไขได้เป็นอย่างดีเป็นลำดับมา ก็ยึดเอาระบบนั้น เป็นหลักประพฤติปฏิบัติอยู่ในบ้านในเรือน จนไม่ต้องเจตนามันก็ไปได้ในตัว เพราะมันประพฤติสม่ำเสมอ เป็นธรรมเนียมเป็นนิสัยไปเลย จนจิตใจมันก็เป็นนิสัยอย่างนั้น เช่นว่ากลัวสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ถ้ามันเป็นนิสัยแล้วมันก็ไม่ทำเอง ในสิ่งที่ไม่ควรจะทำนี่เรียกว่า ระบบวัฒนธรรมมันก็เกิดขึ้น เช่นวัฒนธรรมทางวิญญาณ
          คนโบราณเขาเคยเข็ดกับเรื่องของความทุกข์ ก็เลยหลีก ๆ หลบหลีกกันมาเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นระบบขนบธรรมเนียมประเพณี แต่เขาไม่ได้พูดไว้ในรูปว่าเป็นกฎหมาย หรือเป็นอะไร พูดไว้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนยังไม่ต้องการรู้อะไรมาก พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องพูดไปในของศักดิ์สิทธิ์ ต้องทำอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะซวย หรือว่ามีโชคร้าย หรือจะต้องตาย เช่นกับคำว่า ตาบู ตาบู ของคนสมัยโบราณโน้นเหมือนกัน
           ต่อมามีวัฒนธรรมทางจิต ทางวิญญาณ ความเคารพ ความเชื่อฟัง ความกตัญญูกตเวที ความขยันขันแข็งอะไรก็ตาม มันมีขึ้น ๆ เป็นวัฒนธรรมในสายเลือด มันก็อยู่กันมาได้ ช่วยคุ้มครองวิวัฒนาการที่มันสร้างกิเลสขึ้นมา อย่าให้มันสร้างขึ้นมา หรือควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่ไม่เป็นอันตรายได้
          วัฒนธรรมในสายเลือดนั่นแหละเป็นสิ่งที่ประเสริบมีสุด สำคัญที่สุด แล้วเดียวนี้ก็ไม่สนใจ หรือละเลย
         ทำไมไม่ถามดูว่า เมื่อก่อนนี้เราไม่ต้องพูดกับเด็ก ๆ กี่คำ คนแก่ไม่ต้องพูดกับเด็กสักกี่คำ เด็ก ๆ ก็ไม่กล้าทำผิด ไม่กล้าทำชั่ว อยู่ในโอวาทพ่อแม่ อยู่ในโอวาทอาจารย์ อยู่ในระเบียบของโงเรียน ของสถานที่ต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องพูดกันกี่คำพอถึงสมันนี้เอาปืนไปจ่อมัน มันก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเลิกละมันจะทำตามที่มันต้องการ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ไม่เคารพบิดามารดา คนเฒ่า คนแก่ ไม่ซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู ไม่เห็นแก่ผู้อื่น เพราะวัฒนธรรมอันประเสริฐในสายเลือดมันได้สูญสิ้นไป ไปมัวแก้ที่อื่น มันก็ไม่มีทาง ก็รบราฆ่าฟันกัน
          ทีนี้จะไปแก้ไขวัฒนธรรมนี้ มันก็ทำยาก เพราะมันต้องใช้เวลานาน มันต้องมีคนรับผิดชอบ เดี๋ยวนี้ในโลกนี้ในประเทศนี้ไม่มีใครรับผิดชอบว่าใครเป็นเจ้าของประเทศ หรือว่าเป็นเจ้าของโลกที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านี้ ถือว่าไม่กี่วันก็ตาย หรือเขาให้เป็นประธานาธิบดี ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ให้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่กี่ปีเขาก็ให้ออกไป เขาเลิกกัน เอาคนอื่นมา ไม่มีใครที่จะคิดรับผิดชอบตลอดกาลเลย เรื่องศาสนา เรื่องวัฒนธรรมในทางจิตใจ มันก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันต้องการเวลายืดยาวนัก
          นี่จึงเรียกว่า "ธรรมะ ที่อยู่ในรูปของวัฒนธรรม" นั้นสูญหาย ไปไม่มาครองโลก ไม่มาครองคน ธรรมะไม่ครองโลก หรือธรรมะครองโลกแต่น้อย หรือธรรมะครองโลกแต้ระยะต้น ๆ แล้วมันไม่ครองโลก เช่น สมัยปู่ ย่า ตา ยายของเรามีธรรมะ๕รองโลกมาหกว่าสมัยนี้ เพราะเหตุว่าสมัยนี้ เขาวิวัฒนาการ วิวัฒนาการเรื่อยไป หลับหูหลับตา เอร็ดอร่อยในการวิวัฒนาการโดยไม่ต้องดูว่าอะไรเป็นอะไร
          ฉะนั้นส่วนที่ถูกต้องที่จะคุ้มครองโลกได้ ซึ่งมันเป็นเหมือนกับยาขม ไม่มีใครชอบกินนัก มันก็น้อยไป ๆ โลกมันก็เปลี่ยนโดยไม่รู้สึกตัวมาเป็นโลกที่ไม่มีธรรมะคุ้มครอง โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ ชั่วเวลาไม่กี่ร้อยปีนี้ ไปคิดดูเองเถอะ จะพบว่าธรรมะในโลกนี่มันน้อยลงมาก ธรรมะในเลือดในเนื้อของคน ที่อยู่ในรูปของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีมันก็น้อยลงมาก
           เดี๋ยวนี้เราก็วิวัฒนาการทางวัตถุ ของงาม ของสวย ของอร่อย ของกระตุ้นอารมณ์ ของเสพติดอะไร ประดังกันมาเข้ามา ความอยากอร่อยกว่าเดิม มันก็ลากตัวไปเป็นวิวัฒนาการ แล้วเพื่อวินาศการ ตามหัวเรื่องที่ตั้งใจจะพูดวันนี้ ว่า "วิวัฒนาการ ถ้าไม่มีธรรมะคุ้มครองแล้วย่อมเป็นไปเพื่อวินาศการ"

หมายเลขบันทึก: 468510เขียนเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2011 10:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม 2012 22:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดียายธี ขอบพระคุณกำลังใจมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท