ขณะที่ภัยธรรมชาติ ขัดขวางไม่ให้ชีวิตดำเนินไปตามปกติ
สิ่งสำคัญที่ทำให้ ข้าพเจ้าเห็นเงา ชัดขึ้น ก็คือ "หนังสือ"จริงอย่างที่ ทิมดาบ (หมออดิเรก) ว่า ในถุงประสบภัยน้ำท่วมสิ่งหนึ่งที่น่าจะมีคือ หนังสือ
เคยรู้สึกว่ากลัวเสียเวลาเหมือนกัน
ตอนหลังแก้ด้วยการติดหนังสือไป
(ส่วนมากไม่ได้อ่านเท่าใดแต่ก็ยังอุ่นใจ)
ตอนหลัง(อีกที)นึกถึงพระแทน
บ่อยเข้านึกภาพพระง่ายขึ้น
อยากนึกบ่อยขึ้น ดีขึ้น เลยอ่านน้อยลง
ขอแสดงความยินดีกับคุณหมอบางเวลาด้วยครับ ;)...
คำว่า "เคี้ยวข้าวไม่อร่อย" หรือ "เคี้ยวข้าวไม่รู้รส" นี่น่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนเรื่องราวทั้งหมด ทำให้ผมต้องนึกย้อนกลับไปว่า ครั้งสุดท้ายที่เป็นแบบนี้เมื่อไหร่หนอ
ตะกี้อ่านบันทึก :: หมื่นตา :: หมื่นตากับคุณตาไร้ตา ของอาจารย์ RITTICHAI ... คุณหมอบางเวลาอาจชื่นชอบครับในสิ่งที่ซ่อนกายอยู่ภายใน ;)...
ส่วนหนังสือที่มีอิทธิพลต่อผมน่าจะเป็นเล่มนี้ครับ
"ค้นหาตัวเอง" ของ "อาจารย์นวลศิริ เปาโรหิตย์"
ตัวอย่างบันทึกที่เคยนำเสนอไว้ครับ ...
การค้นหาและทบทวนตัวเองเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ เพื่อมิให้หลงลืมในสิ่งที่เป็นลมหายใจในปัจจุบัน ;)...
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีค่ะ
.ดีจังค่ะความคิดนี้ หนังสือธรรมะเล่มเล้กในถุงยังชีพ แต่ละท่านก็คงได้ใช้เวลาที่รอน้ำที่แห้งลงได้พิจารณาสิ่งต่างๆที่ผ่านมาและได้ข้อคิดดีๆจากหนังสือ
.ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ
*รสนิยมในการอ่านหนังสือ สะท้อนตัวตนของผู้อ่าน..ขอชื่นชมที่เลือกอ่านแนวคิดของการค้นหาตัวเอง เพื่อแสวงความสุขดีๆในชีวิต ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ
* มีภาพกระเป๋าเป้ยามฉุกเฉิน ที่SCB เผยแพร่แก่พนักงาน ..มีหนังสือเล่มโปรดด้วยค่ะ..สำหรับพี่ใหญ่ คงเป็นหนังสือ "มุตโตทัย" ของพระอาจารย์มั่น ที่ท่านสอนเรื่องการทำจิตให้เป็นสุขในทุกโมงยามของชีวิต..คุณแม่มอบให้พี่ค่ะ..
สวัสดีครับ
แล้วผมจะมาอ่านต่อครับ...ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ...
ผมชอบหนังสือทุกเล่มที่อาจารย์ชอบ
หวังว่า คงหาโอกาสได้อ่านแบบยาว ๆ ครับ
และชอบมากกับประโยคทิ้งท้ายของบันทึกนะครับ
"....ในยามน้ำท่วม จิตใจย่อมหวั่นไหวเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม
เราสามารถ ใช้โอกาสนี้ มองเงาในน้ำ ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา เพื่อ วันข้างหน้าที่ดีกว่าเดิม...."
ผมให้กำลังใจทุกท่านนะครับ
และใครก็ได้...มีพลังเท่าใด...ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ตามกำลังความสามารถนะครับ
ช่างคิดดีจังค่ะอาจารย์หมอ
มีพระในใจ ไปทุกแห่งหน
ยิ่งเป็นภูมิคุ้มกันจิตใจ
จากความเครียด ความกังวล ได้เป็นอย่างดีเลยคะ
ไปอ่านเรื่องคุณหมื่นตามาเรียบร้อยแล้วคะ..ชอบมากเช่นกัน
มีตามากไป หมายถึง รับข้อมูลมากล้น แต่อย่าลืมว่า เราต่างมีสมองหนึ่งก้อน จิตหนึ่งดวง
เหมือนๆ กัน :-)
หนังสือและบันทึกที่อาจารย์แนะนำมีประโยชน์มากคะ โดยเฉพาะท่อนนี้..
ฉันเชื่อว่า สิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่ฉันอาจได้จากผู้อื่นก็คือ
ขอให้เขามองฉัน ไม่เพียงแต่เห็น
ฟังฉัน ไม่เพียงแต่ได้ยิน
"การรับฟัง" คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการจากกัน ในขณะที่เราพยายามพูดให้คนฟัง
และเราไม่สามารถพูดให้ใครเปลี่ยน หากเขาไม่คิดที่จะเปลี่ยนเอง (หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน) ...
อืมมม เดี๋ยวจะไปนำเสนอส่วนกลาง
ฝากหนังสือไปในห่อของ
เล่ม...ค้นหาตัวเอง
อ่านตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า
ชอบ...บทนี้นะ
"ฉันมองชีวิตตัวเองดั่งหัวหอม...
ความรู้สึกนึกคิดของฉันถูกกำหนดโดยสังคม
ห่อหุ้มตัวจริงเอาไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า
ไม่มีใครมีโอกาสสัมผัสฉันเลย
ถ้าฉันไม่ยอมลอกเปลือกของตัวเองทิ้งไปเสียบ้าง
ทั้งที่รู้...แต่ฉันก็กลัว!
เพราะการปอกหอมนั้น
น้ำตาฉันต้องไหลริน..."
เข้าทีคะอาจารย์
ได้ทั้้งหาตัวเอง และหาปลา เย้ๆ :-D
ชอบประโยคนี้คะ
"กว่าเราจะรู้จักปลาแต่ละชนิดได้อย่างแท้จริง ก็ต้องผ่านการตามล่ามันมานับสิบนับร้อยครั้ง จนสามารถจับกฎเกณฑ์การดำรงชีพของมันได้ แน่นอน ประสบการณ์ดังกล่าวอาจจะมีความล้มเหลวของเราปนอยู่ไม่น้อย นี่ก็เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้เช่นกัน
ขอบคุณคะ คุณครูมลิวัลย์
หนังสือธรรมะ - ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เป็นสากล
น่าจะเข้าถึงได้กับคนทุกระดับ (หากเปิดใจยอมรับ)
เห็นด้วยคะ ไม่ต้องเล่มใหญ่ เป็นเล่มเล็กๆ บรรจุถ้อยคำที่มีพลัง ไม่กี่บท
ก็อาจเยียวยากำลังใจให้กลับมาใหม่
ขอบคุณคะที่นำกระเป๋าเป้ยามฉุกเฉิน ของชาว SCB ให้ได้เรียนรู้ว่าภายในมีอะไร
เท่าที่ดู น่าจะเป็น คู่มือปฐมพยาบาลของสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน และ "วิธีรอดตายภัยพิบัติ" ให้ไอเดียการดูแลสุขภาพกายแก่ ผู้ประสบภัย เป็นอย่างดีคะ
...
ส่วนสุขภาพใจนั้น พี่ใหญ่หมายถึงเล่มนี้หรือเปล่าคะ
ต้นคิดไอเดียดีๆ หนังสือในถุงยังชีพมาแล้ว :-)
นึกถึง หนังสือลับแลแก่งคอย ที่คุณหมออดิเรก แนะนำและสะท้อนความคิดไว้
"..
ตอนนี้ผมได้ความคิดว่า...ความมุ่งมั่นในการชีวิตของทุก ๆ คน น่าจะคล้ายกัน คือ ทั้งกล้าแกร่ง เกรี้ยวกราด และเปราะปางปะปนกันไป
แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระลึกไว้เสมอ คือ อย่าให้กำลังใจในตัวเองขาดหาย
เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาชีวิตของเราให้มึความสุข.."
ขอบคุณคะ รพ.ป่าติ้ว น้ำท่วมไหมคะ
เป็นหนังสือที่ให้แนวคิด แฝงเชิงสัญลักษณ์ลึกซึ้ง อีกเล่มหนึ่งคะ
หนังสือ ในห่อของว่าไปก็เลือกยากเหมือนกันเพราะขึ้นกับกลุ่มผู้รับนะคะ
ขอบคุณคะอาจารย์
ตอนเขียนบทความนี้ แรกๆ คิดเปรียบเปรยว่า ช่วงน้ำท่วม ออกไปไหนไม่สะดวก
ช่วงเวลาที่น่าเบื่อ ผสมความกังวล เครียด นั้น หากนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ด้วยการพิจารณาตนเอง ถึงสิ่งที่ผ่านมา โดยมีหนังสือเป็นตัวช่วย ก็คงดีไม่น้อย
...
คิดอีกทีหนึ่ง น่าสนใจคะว่า ในขณะ ถุงยังชีพ มีปัจจัยสี่ แล้วสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจ
อย่างหนังสือ ที่อ่านง่าย ข้อความมีพลัง ปลุกกำลังใจคน จะมีประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่
เป็นหัวข้อวิจัย ที่เป็นไปได้คะ
ขอบคุณอาจารย์หมอป.มากนะคะ ที่นำสาระสำคัญจากหนังสือมาฝาก ทำให้ได้เรียนรู้ข้อคิดดีๆ ทางลัด
การที่รัฐได้กำหนดให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่านของคนไทย ไม่ทราบจะได้ผลตามความคาดหวังแค่ไหน เพราะสถิติการอ่านของคนไทยต่ำมาก ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่เห็นได้ชัดก็คือนักศึกษาจะขยันอ่านเฉพาะตอนจะสอบ (เป็นการอ่านเพราะถูกสถานการณ์บีบบังคับ) คนไทยที่อ่านเพราะความรักในการอ่านอย่างอาจารย์หมอป. จะมีซักกี่เปอร์เซ็นต์ ดิฉันเองทำวิจัยปฏิบัติการเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านและทักษะในการอ่านให้กับนักศึกษาจากปี 2545 จนถึงปัจจุบัน พบว่า การพัฒนาทักษะทำได้ผลมากกว่าการพัฒนาคุณลักษณะ มีผลการวิจัยชี้ว่า ตัวอย่างจากบุคคลแวดล้อมมีอิทธิพลต่อนิสัยรักการอ่านของเด็กและเยาวชน แต่คณาจารย์คณะครุศาสตร์ มรภ.อุบลฯ ที่ไปเที่ยวปักกิ่ง 11 -15 ต.ค. 54 รวมทั้งผู้ติดตามรวม 64 คน มีเพียง 2 คนที่ซื้อหนังสือ คนหนึ่งเกษียณรอบสองไปแล้ว อีกคนกำลังจะเกษียณ
หนังสือที่ดิฉันซื้อมา ชื่อ " 101 Stories for Foreigners to Understand Chinese People" เขียนโดยภรรยาชาวจีนซึ่งไปอยู่อเมริกาตั้งแต่อายุ 13 ปีและสามีชาวอเมริกัน ซึ่งทั้งคู่ได้กลับไปใช้ชีวิตที่เซี่ยงไฮ้ 3 ปีก่อนเขียนหนังสือดังกล่าว ทั้ง 101 เรื่องให้ข้อมูล เกี่ยวกับความคิดและการประพฤติปฏิบัติของคนจีนทั้ง "What and Why" ดิฉันอ่านบนเครื่องจบไปแล้วหลายเรื่อง ตั้งใจจะเลือกเรื่องที่น่าสนใจมาเขียนใน Blog " Let's Learn English..." ในโอกาสที่เหมาะสม ค่ะ (รอให้วิกฤติอุทกภัยเบาบางลงก่อน)
ได้อ่านบล็อกที่เขียนในปี 50 ของอาจารย์แล้วคะ คำอวยพรของท่านต่ออาจารย์
" ขอให้อาจารย์มีความสุข ความเจริญ บนเส้นทางอันประเสริฐนี้.." น่าประทับใจจริงๆ คะ
เป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์อกหัก กับระบบแพทยศาสตรศึกษาไทย (เมื่อ 10 ปีก่อน)
จะสอนให้ศิษย์มีเมตตาได้อย่างไร หากอาจารย์ไร้ความเมตตาต่อศิษย์...
ขอบคุณที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์คะ
"ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่านของคนไทย" และ UNESCO ยก กรุงเทพมหานคร เป็น ‘เมืองหนังสือโลกประจำปี 2556 -World Book Capital 2013 (มีคนเหน็บว่า เป็นเมืองหนังสือจริง แต่ไม่มีคนอ่าน :-) ..
หากมองในแง่ดี คงเป็นการพยายามกระตุ้น เติมเต็มในสิ่งที่เราพร่องคะ
บุคคลแวดล้อม น่าจะมีผลจริง..เวลาเรามองบุคคลที่เราชื่นชม ชอบอ่านหนังสือประเภทใดเราก็อยากอ่านตามไปด้วย หากให้ดารา หรือบุคคลสำคัญ ออกสป็อตโทรทัศน์ แนะนำหนังสือดีๆ (แทนที่จะเป็นเสื้อผ้า ร้านอาหาร) อาจชักจูงเยาวชนหันมาอ่านกันมากขึ้นคะ
อีกปัจจัย..ไม่แน่ใจว่า เพราะเด็กไทย โยง "หนังสือ" กับ "การสอบวัดผล" เลยมอง หนังสือเป็นสิ่งคร่ำเคร่ง น่าเบื่อหรือไม่..
น่าสนใจประโยคนี้คะ "การพัฒนาทักษะทำได้ผลมากกว่าการพัฒนาคุณลักษณะ" ยังไม่เข้าใจกระจ่างนัก หมายถึง ปลูกฝังทัศนคติภายใน ดีกว่า เปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอก หรือเปล่าคะ ?
" 101 Stories for Foreigners to Understand Chinese People"
ดูเป็นหนังสือที่น่าสนใจมากคะ (จากที่อ่าน review ใน Amazon.com) จะปูเสื่อรอติดตามใน Blog " Let's Learn English..." ต่อไปนะคะ
ตามมาอ่าน หนังสือ นอกถุงครับ ดีมากมาก ครับ
นอกจากจะมีอาหารกายแล้วเห็นด้วยกับการมีอาหารใจและสมองไปพร้อมกัน หนังสือแนะนำควรเป็นหนังสือธรรมะหรือการแก้ไขปัญหาจะได้ก่อให้เกิดปัญญาแก้ไขปัญหาต่อไป เห็นด้วยอย่างยิ่งถึงแม้วาจะเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งสำหรับการตำรงอยู่ของคน
ของผมครับ
1. สิทธารถะ ( เฮอร์มานน์ เฮสเส)
2. เจ้าชายน้อย (อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี)
3.โลกของโซฟี (โยสไตน์ กอร์เดอร์)
4.พุทธธรรม (ป.ปยุตโต)
5. คู่มือมนุษย์ (พุทธทาสภิกขุ)
6. เดินสู่อิสระภาพ (ดร.ประมวล เพ็งจันทร์) ฯลฯ
ขอบคุณคะอาจารย์ ยังมีแต่หนังสือนอกถุงจริงคะ
ตอนนี้ใครมีหนังสือในเขตเสี่ยงน้ำท่วม คงต้องหาพลากติกห่อกันความชื้นด้วย
ในยามนี้ เห็นด้วยคะว่าหนังสือที่เป็นสากลเข้าได้ทุกเพศ ทุกอาชีพ
น่าจะเป็นหนังสือ ธรรมะ ให้ข้อคิด
หรือคู่มือดูแลรักษารถยนต์ เอกสาร ในช่วงน้ำท่วม
หรือคู่มือแก้ไขป้องกันอุทกภัย (ตอนนี้ได้อารมณ์และแรงจูงใจเป็นอย่างยิ่ง)
ขอบคุณคะคุณอักขณิช ที่แนะนำรายชื่อหนังสือประจำใจ
หนังสือ "เดินสู่อิสรภาพ" ของ ท่าน อาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
เป็นบันทึกการเดินทาง จากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุย ใช้เวลา 66 วัน
เป็นการท้าทาย ว่าน้ำใจมนุษย์ อยู่เหนือการซื้อขาย ความเป็นเครือญาติ และการขอ
น่าสนใจ และให้ความหวังในยามน้ำท่วมนี้เป็นอย่างดีคะ
อาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ เป็นครูใหญ่ทางจิตวิญญาณของผม เป็นต้นแบบแห่งการดำเนินชีวิตของผมนะครับ ผมรู้จักกับท่านมา 21 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านมาสอนที่ มช.ใหม่ๆ ในขณะที่ผมยังเป็นสามเณรอยู่ที่วัดอุโมงค์(สวนพุทธธรรม) ต่อมาก็ได้เรียนกับท่านและคุ้นเคยกับท่านตลอดมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
คราวเมื่อผมป่วยหนักและไปผ่าตัดน้ำท่วมปอดที่ รพ.สวนดอก เดือนกว่าเมื่อ 12 ปีก่อน ท่านก็ไปคอยดูแลผมตลอดเหมือนกับผมเป็นลูกชายของท่านเลยทีเดียว....ครั้นเมื่อผมแต่งงาน ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ผมด้วย
ท่านสอนสิ่งที่ดีงามให้กับผมมากมาย มอบความรัก และทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับผมมากจนสุดจะบรรยายได้ ผมคิดว่าตนเองโชคดีมากที่สุดในโลกเลยที่ได้พบกับท่าน
ปัจจุบันผมใช้ชีวิตตามที่ท่านสอนมาตลอดนะครับ ในทุกๆ เรื่อง....แต่ทำได้เพียง 1/4 ส่วนของสิ่งที่ท่านสอนเท่านั้นเอง
ปีใหม่เมืองของทุกปี ผมจะพาครอบครัวไปดำหัวท่านนะครับ ทำมาหลายปีแล้ว และหาโอกาสแวะเข้าไปเยี่ยมท่านอย่างสม่ำเสมอ
ตอนนี้ หนังสือใหม่ของท่านออกวางจำหน่ายแล้วนะครับ เป็นหนังสือชุด "อินเดีย : จาริกจากด้านใน" มี 3 เล่มด้วยกัน โดยเล่มแรกชื่อ ตอน "การศึกษาที่งดงาม" ออกวางจำหน่ายแล้ว เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2554 ที่ผ่านมา
ในอนาคตผมตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเรื่องราวของท่านให้เพื่อนๆ ใน gtk ได้อ่านด้วยนะครับ โดยจะเขียนในมุมมองที่ผมรู้จักและเกี่ยวข้องกับผม
ขออภัยด้วยครับ ที่วันนี้อาจจะเขียนยาวไปหน่อย คิคิคิ
หนังสือในถุงยังชีพ
ได้ทั้งอาหารกายและอาหารสมอง
คุณอักขณิชเป็นลูกศิษย์รักของท่านอาจารย์ประมวล :-)
ฟังแล้วท่านเป็นอาจารย์ที่นำปรัชญามาสู่การดำเนินชีวิต จับต้องได้
ต่อไปคุณอักขณิชอาจมีหนังสือของตัวเอง เหมือนท่านก็ได้นะคะ
ใช่คะ ได้เวลาเลือกสรร อาหารกายและใจที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง :-)
สวัสดีค่ะคุณหมอสบายดีนะคะ พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาสรรหาความรู้จากเหล่าผู้รู้(ปัญญาชน) ก่อนหน้าได้แต่ส่งกระแสจิตคิดถึงมาถึงคุณหมอ(เชื่อว่าคนเราทุกคนหากไม่เคยผูกพันกันมา คงไม่รู้จักกันส่งจิตดึงดูดใจให้ผูกพันคิดถึงกัน) ข้าผู้น้อยเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะคุณหมอเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ. แต่ไม่ว่าในยามไหนๆหนังสือช่วยได้เสมอ หนังสือทำให้ชีวิตช้าลงดึงใจให้อยู่กับที่ได้ดี(เพราะมีแต่ใจของตัวเองบวกกับจิตวิญญาณของเนื้อหาตัวหนังสือเล่มนั้นๆ) หนังสือสามารถทำให้ใจคนเราหยุดนิ่งได้ แม้เปิดอ่านเพียงหน้าเดียว (ทุกครั้งที่ใจว้าวุ่นขุ่นหมองขับเคี่ยวแก้ปัญหาปัญญาไม่เกิด ดิฉันเองก็ได้หนังสือเช่นกันค่ะเป็นเพื่อนที่ดี โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ หนังสือปรัชญาและหนังสือเกี่ยวกับเกษตร(เทคโนโลยีชาวบ้าน) นอกจากการเดินรอบสวนดูนก ดูปลา ดูสีเขียวและเดินจงกรม) การทำใจให้หยุดอยู่นิ่งๆยากยิ่งกว่าการคิดให้กว้างไกลรู้รอบโลก
มองดูนกบินออกจากรังหาอาหารอิ่มท้อง แล้วร้องเพลงเบิกบานสำราญใจ ตกเย็นกลับรัง(บ้าน) ไม่ผิดต่างไปจากมนุษย์เรา แต่นกเหล่านั้นดูมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้กว่ามนุษย์เราเสียอีกนะคะคุณหมอ ทั้งที่เวลามี24ชั่วโมงเท่ากัน
ขอบคุณค่ะ.....
ได้รับกระแสจิต เลยได้ย้อนกลับมาดูบันทึกนี้ :-)
ประทับใจคำนี้คะ
"..การทำใจให้หยุดอยู่นิ่งๆยากยิ่งกว่าการคิดให้กว้างไกลรู้รอบโลก"
ด้วยเหตุนี้ ระดับการศึกษาจึงไม่ได้เป็นเครื่องตัดสิน ความมีปัญญา
การศึกษาให้ข้อมูล และแนวทางหาความรู้..แต่ "การมีความรู้" อยู่ที่การปฎิบัติ ประสบการณ์ รวมถึง สะท้อนตัวเอง (โดยมีหนังสือเป็นเครื่องมือ) ตลอดชีวิตคะ