ในสมัยเด็กๆ
ผมรับรู้ผ่านการเรียนในระบบ
หรือแม้แต่การพบเจอป้ายคำคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในวัดในโรงเรียน
ซึ่งล้วนแล้วแต่ตอกย้ำให้ผมเชื่ออย่างไม่กังขาว่า
“ฐานของตึกคืออิฐ
ฐานของชีวิตคือการศึกษา”
หากแต่ในเรื่องของสังคมนั้น ผมกลับไม่เคยเข้าใจเลยว่า อะไรคือ
“ฐานของสังคม”
เพราะในวัยเช่นนั้น คล้ายกับว่าผมไม่เคย
หรือแม้แต่ไม่ค่อยได้รับรู้ และได้รับการสื่อสาร
ทั้งจากในระบบการศึกษา
หรือแม้แต่ระบบของสังคมแบบฟันธงที่แจ่มชัดและหนักแน่นเช่นวาทกรรมอันเป็นรากฐานของ
“ชีวิต” เลยก็ว่าได้
ตรงกันข้าม
กลับคุ้นหู,คุ้นตาและคุ้นใจกับวาทกรรมที่ว่า “บวร”
เสียมากกว่า
และนั่นก็เก็บเป็นความสงสัยเรื่อยมาจวบจนเริ่มเรียนในระดับมหาวิทยาลัย-
พอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะทำงานองค์การนิสิตมาต่อเนื่อง
๓ ปีเต็มๆ
แต่ผมก็ไม่ใช่คนประเภทติดยึดอยู่กับกิจกรรมในระบบประเพณีนิยมเสียทั้งหมด
หากแต่ส่วนใหญ่ผมกลับพลิกพาตัวเองออกไปทำกิจกรรมกับชุมชนอยู่บ่อยครั้ง
และบางครั้งก็นำกิจกรรมทางสังคม
หรือชุมชนเข้ามาบูรณาการในกิจกรรมอันเป็น “ขนบ”
ของนิสิตมหาวิทยาลัย
กิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน เป็นกิจกรรมที่ขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้แบบ “บูรณาการ” โดยเอาพื้นที่ (ชุมชน) เป็นตัวตั้ง ผมพยายามใช้ประชาคมของชุมชนเป็นโจทย์การเรียนรู้ ด้วยการวิเคราะห์ว่า “ความต้องการ” ของชุมชนนั้นคืออะไร? และความต้องการที่ว่านั้นสัมพันธ์กับทักษะวิชาชีพของสาขาใด? เพื่อจัดวางให้นิสิตในสาขานั้นๆ ลงชุมชนเพื่อฝากตัวเป็นลูกฮัก และขับเคลื่อนการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชนร่วมกับชาวบ้าน
ดังนั้น การทำกิจกรรมกับชุมชน จึงเสมือนกลไกอันสำคัญในการเสริมสร้างโอกาสให้นิสิตได้เรียนรู้ผ่านการ “ปฏิบัติจริง”
เป็นการเรียนรู้ในมิติของการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ
เป็นการเรียนรู้ในมิติของการเรียนรู้ความเป็นจริงของ “สังคม” โดยมี
“ชุมชน” เป็น “ฐานราก” และ "ห้องเรียน"
อันกว้างใหญ่ที่นิสิตนิสิตและชาวบ้านต้อง "เรียนรู้" และ "สร้างสรรค์"
(บางอย่าง) ร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้กระบวนการดังกล่าว ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่า นั่นคือการคิดและออกแบบการเรียนรู้ที่ไม่แยกส่วน และที่สำคัญก็คือ การสะท้อนให้เห็นว่า “โครงสร้าง” และ “ระบบ” ของการพัฒนาชีวิตและสังคมนั้นก็ควรต้องวางรากฐานเช่นนั้นจริงๆ
กรณีดังกล่าวนี้
ปรากฏเด่นชัดในการขับเคลื่อนกิจกรรม ๑ คณะ ๑
หมู่บ้านของนิสิตจากคณะเภสัชศาสตร์
ครั้งนั้นผมจงใจที่จะมอบหมายให้คณะนี้ลงชุมชนบ้านบ้านดอนสวน หมู่ที่
๑๒ ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
เหตุที่จงใจมอบหมายเช่นนั้น เพราะบ้านดอนสวนเป็นหมู่บ้านที่มีกระบวนการเรื่องภูมิปัญญาด้านสมุนไพรอยู่อย่างเด่นชัด ยิ่งพอมารู้ว่าชาวบ้านมีความต้องการที่จะให้มหาวิทยาลัยลงไปเรียนรู้และร่วมสร้างสรรค์เรื่องเหล่านี้ร่วมกัน ผมจึงยิ่งไม่รีรอที่จะเชื่อมโยงให้เป็น “พันธกิจ” ของนิสิตจากคณะเภสัชศาสตร์ เนื่องเพราะใน “ขนบ” ภายในของคณะนั้นก็มีโครงการ “หมอยาสู่ชุมชน” อยู่แล้ว
การงานในครั้งนั้นนิสิตจากคณะเภสัชศาสตร์ ออกแบบกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านแบบง่ายๆ ด้วยการปรับปรุงและฟื้นฟูภูมิทัศน์ หรือทัศนียภาพรอบๆ สวนสมุนไพรของชุมชน หลังจากถูกทิ้งร้างให้รกรุงรังมาระยะหนึ่ง
ถัดจากนั้นก็จัดทำป้ายชื่อและข้อมูลสมุนไพรแต่ละชนิด เพื่อเสริมแรงให้แหล่งเรียนรู้เรื่องสมุนไพรของชุมชนมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น
กิจกรรมไม่ได้ยุติแต่เฉพาะแค่นั้น แต่ยังวิเคราะห์ทะลุไปยัง “ต้นน้ำ” ของการคงอยู่ในอีกมิติหนึ่งของเรื่องดังกล่าว เพราะแทนที่จะจบงาน หรือปิดงานอยู่เพียงเท่านั้น แต่ยังขยายผลสู่การจัดทำระบบการบำรุงรักษาไปในตัว ด้วยการวางระบบท่อน้ำเลี้ยงและเครื่องสูบน้ำไปอย่างเสร็จสรรพ
แน่นอนครับ, ถึงแม้กิจกรรมของนิสิตจะไม่ยิ่งใหญ่และทรงพลังถึงขั้นเปลี่ยนแปลงอะไรๆ อย่างเป็นรูปธรรมนัก แต่ในสถานภาพของนิสิตนั้น ผมเชื่อเหลือเกินว่าวิธีการที่ว่านี้ไม่ได้หลงทิศหลงทางเลยสักนิด เนื่องเพราะนิสิตสามารถใช้ “ทุน” อันเป็นความรู้ทางวิชาชีพไปบูรณาการเข้ากับ “ทุน” หรือ “ภูมิปัญญา” ของชุมชนได้อย่างกลมกลืน ...เป็นการกระตุ้นให้ชุมชนหันกลับมาสู่ “พลังและคุณค่า” ของตัวเองไปในตัว เช่นเดียวกันนี้ ยังช่วยนำพาให้ “อาจารย์และบุคลากร” ในคณะได้ลุกออกจากเก้าอี้ในสำนักงาน เพื่อลงสู่ชุมชนเคียงบ่าเคียงไหล่กับนิสิต... ภาพของการทำงาน จึงไม่ใช่แค่นิสิตกับชาวบ้าน (ชุมชน) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคลากร หรือคณาจารย์ในคณะนั้นๆ ด้วยเหมือนกัน
ไม่แต่เฉพาะแค่นี้หรอกนะครับ เพราะยังกิจกรรมอื่นๆ
รองรับด้วยเหมือนกัน เช่นการเรียนรู้
“วิถีวัฒนธรรมชุมชน”
ซึ่งนิสิตจะต้องออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์
ผ่านกิจกรรมแหล่งเรียนรู้สวนสมุนไพร ผ่านกีฬาและนันทนาการ
ผ่านกิจกรรมกับเด็กๆ ในหมู่บ้าน
หรือแม้แต่ผ่านการเรียนรู้จากการเป็นลูกฮัก หรืออื่นๆ
อีกมากมายที่ต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง “จริงจัง
และจริงใจ”
กระบวนการทั้งปวงนั้น ผมมองว่าเป็นกระบวนการของการบริการวิชาการแก่สังคมและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมในมิติของกิจกรรมนอกชั้นเรียน (นอกหลักสูตร) ที่มีเสน่ห์ไม่แพ้การขับเคลื่อนของนักพัฒนาชุมชนมืออาชีพ เพียงแต่หากต้องประเมินผลสัมฤทธิ์นั้น ก็คงต้องใช้เกณฑ์คนละเกณฑ์ เพราะคนหนึ่งเป็นเพียงมือสมัครเล่น (นอกหลักสูตร) แต่อีกคนเป็นมืออาชีพ (ในหลักสูตร) ซึ่งนั่นคือการเสริมพลังให้นิสิตได้เติบโตผ่านกระบวนการของการการออกแบบและบริหารจัดการด้วยตนเองเป็นที่ตั้ง
และที่สำคัญก็คือ นิสิตได้วางรากฐานชีวิตของตัวเองให้แน่นหนักมากขึ้น ด้วยการนำความรู้ไปสู่การสร้าง “ปัญญา” โดยมีชุมชนเป็นฐานรากของการเรียนรู้ เช่นเดียวกับการกระตุ้นและเสริมแรงให้ชาวบ้านตื่นตัวหันกลับมาใช้ “ทุนทางปัญญา” ของตัวเองในการเสริมฐานของชุมชนให้แกร่งและหนักแน่นขึ้นเหมือนก่อนเก่า อันเป็นกลไกสำคัญของการเป็นฐานอันมั่นของของ “สังคม” ต่อไป
เช่นเดียวกับในอีกมุมหนึ่ง การงานในครั้งนี้ก็เชื่อมร้อยให้เห็นความสัมพันธ์ของ “บ้าน,วัด,โรงเรียน” (บวร) ได้ชัดเจน หรือแม้แต่ลึกๆ ก็เป็นเสมือนการวางระบบสู่การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนร่วมกันแบบเนียนๆ อย่างน้อยสวนสมุนไพร ก็เป็นเสมือนแหล่งเรียนรู้หรือพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตของชุมชนไปแล้ว ส่วนจะมั่นคง ยืนระยะยาว หรือยั่งยืนได้หรือไม่นั้น ก็ยังเป็นโจทย์ท้าทายให้คิดและทำกันต่อไป
ส่วนโจทย์ของการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างให้นิสิตมีคณธรรม จริยธรรม หรือแม้แต่อัตลักษณ์ที่มุ่งสู่การช่วยเหลือสังคมนั้น ผมถือว่า "บรรลุ" และ "ประสบความสำเร็จ" แล้วในระดับหนึ่ง ที่เหลือคือผลพวงของพลังที่จะทบทวีขึ้นเท่านั้นเอง
และนี่คือบางส่วนของภาพสะท้อนเล็กๆ จากการเรียนรู้ที่นิสิตได้สื่อสารกลับมายังผม
“...ได้ร่วมกันสร้างแหล่งเรียนรู้เรียนรู้สวนสมุนไพรพื้นบ้าน
เป็นการให้บริการวิชาการสู่สังคม
ทำให้มหาวิทยาลัยกับชุมชนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และอยู่ด้วยกันโดยเกื้อกูลกันตลอดไป...”
“...ได้ร่วมกิจกรรมดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ได้ทำความดีเพื่อสังคมและในหลวง...”
“...สิ่งแรกที่ถือเป็นตัวกระตุ้นให้นิสิตเกิดพลังในการทำงาน คือความตั้งใจจริงของผู้นำชุมชนที่อยากพัฒนาในเรื่องของการหารายได้เสริมจากการแปรรูปสมุนไพรให้เป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน นอกจากนี้ยังมีหลวงตาดี ชยธัมโม เจ้าอาวาสวัดอัมรินทร์วนารามที่คอยช่วยเหลือประสานจนทำงานได้คล่องตัว...”
“...การทำอาหารกลางวันและรับประทานร่วมกัน เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างนิสิตกับชาวบ้าน เป็นบรรยากาศของการรับประทานอาหารแบบกันเองและอบอุ่น...”
หมายเหตุ
ภาพโดย สโมสรนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สวัสดีค่ะ
อ่านและดูภาพด้วยความชื่นชม
เห็นแง่งามของการศึกษาเรียนรู้ที่ปรากฏในจิตใจ และการกระทำของนิสิตนักศึกษา
สะท้อนภาพ การส่งเสริมของมหาวิทยาลัย
แต่ภาพ สามจานสุดท้าย ทำให้คนอ่านหิวค่ะ......
เรียนท่านอาจารย์
สวัสดีครับ อ.โสภณ เปียสนิท
การงานในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งที่นิสิตค้นพบว่าเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จก็คือ "พระสงฆ์" นั่นเอง ซึ่งนั่นก็คือภาพสะท้อนของความเป็น "ผู้นำ" ในชุมชนอีกมิติหนึ่ง และแหล่งเรียนรู้ในวัดก็ยังสามารถเชื่อมร้อยสู้ชุมชนและการศึกษาได้ลงตัว เพราะนักเรียนในชุมชนก็ใช้เป็นฐานการเรียนรู้ ซึ่งมีทั้งครู,พระและปราชญ์ชาวบ้านเป็นคนให้ความรู้แก่ลูกหลาน
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ลำดวน
ผมสอบถามชัดเจนแล้วครับ
ได้ความมาว่า...
นิสิตเป็นแม่ครัวกันเอง
ทำงานร่วมกัน ทานข้าวร่วมกัน
นี่คือความสุข และเสน่ห์การเรียนรู้นอกชั้นเรียนที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ...
ขอบพระคุณครับ