โรคภูมิแพ้หรือที่ภาษาทางแพทย์เรียกว่า แอลเลอร์จี (allergy) หมายถึง อาการที่ปฏิกิริยาของร่างกายมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผิดแปลกไปจากปฏิกิริยาที่คนส่วนใหญ่เขามีกัน เช่น ไข่ เป็นอาหารที่เกือบทุกคนรับประทานได้ แต่มีบางท่านรับประทานเข้าไปแล้วมีอาการเหนื่อยหอบมีลมพิษขึ้น ปฏิกิริยาที่แปลกไปจากคนทั่วๆไปเช่นนี้เรียกกันว่า โรคภูมิแพ้ การรักษาโรคภูมิแพ้ทางกายยังไม่เป็นที่รับรองของแพทย์ อาจต้องแพ้ไปตลอดชีวิต
ในจิตใจของคนก็มีโรคภูมิแพ้อยู่หลายโรค โรคภูมิแพ้ทางใจก็หมายถึง อาการที่จิตใจมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผิดแปลกไปจากปฏิกิริยา ที่คนอื่นส่วนใหญ่เขามีกัน เช่น เมื่อมีสิ่งสวยงามน่ารักมากระทบใจ คนทั่วไปเห็นเป็นของธรรมดา แต่บางคนเกิดอาการจิตหวั่นไหว อยากได้เกินขอบเขตถึงละเมิดสิทธิที่ควรได้ กลายเป็นต้องก่ออาชญากรรม ฆ่า ข่มขืน ชิงทรัพย์ เป็นต้น
เมื่อมีอารมณ์ชวนสนุกเพลิดเพลิน เช่น สิ่งอบายมุข ความสนุกในการพนัน หรือสิ่งเสพย์ติดทั้งปวง บางคนเห็นเป็นของน่ารังเกียจ แต่บางคนชอบหมกหมุ่น มัวเมา จนโงหัวไม่ขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากโรคภูมิแพ้ในใจ โรคภูมิแพ้ทางกายอาจเกิดจากความบกพร่องของภูมิต้านทานทางกาย โรคภูมิแพ้ทางใจ ก็หมายถึงการบกพร่องของภูมิต้านทานต่ออารมณ์ทางใจ หมายถึง พื้นเพของจิตที่อ่อนไหวต่ออารมณ์ในด้านนั้นๆ ทางศาสนาท่านใช้ศัพท์ว่า จริต มีราคจริตเป็นต้น
โรคภูมิแพ้ทางใจหรือจริตของคนมีทางแก้ไขได้ โดยปฏิบัติตามข้อแนะนำทางศาสนา เช่น เป็นโรคภูมิแพ้สิ่งสวยงาม (ราคจริต) ฝึกระลึกถึงความเปื่อยเน่าแตกดับของสิ่งนั้นบ่อยๆ เป็นโรคภูมิแพ้ความขัดแย้ง (โทสจริต) หัดเจริญเมตตาให้มากๆ เป็นโรคภูมิแพ้สิ่งยั่วให้หลงมัวเมา (โมหจริต) ฝึกให้คุมสติอยู่กับตัวให้มาก และใช้ปัญญาควบคุมเป็นต้น โดยวิธีนี้ก็จะรักษาตัวเองให้พ้นจากโรคภูมิแพ้ทางใจได้ในที่สุด
ที่มา...หนึ่งใน คอลัมน์ของธรรมจักษุ
เรื่อง โรคภูมิแพ้ ทางใจ
โดย...นาวาเอก(พิเศษ) วุฒิ อ่อนสมกิจ
พิมพ์ลงใน นิตยสาร “ธรรมจักษุ”
ฉบับเดือน ธันวาคม 2546
มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ไม่มีความเห็น