ครั้งแรกที่ต้องกลายเป็นคนป่วยใน โดย..นายไมตรี สุขเกษม
************************************************
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เป็นครั้งแรกทีผมต้องกลายเป็นป่วยในของโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกที่ต้องนอนที่โรงพยาบาลในฐานะคนไข้ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เป็นวันประชุมเกษตรอำเภอประจำเดือน ซึ่งในทุกเดือนจะมีอำเภอเจ้าภาพมาบริการอาหารว่างและเครื่องดื่ม วันนั้นเป็นคิวของอำเภอยะหา และช่วงพักเบรกผมได้มานั่งคุยกับพี่อำพรเรื่องอาหารเที่ยงว่าจะกินกันที่ไหนและพูดกันเรื่องการกินเจ พี่บอกว่าแกกินเจ ผมบอกว่าที่บ้านลูกและภรรยาผมเขาก็กิเจกันเหมือนกัน เขาเคร่งกันมากเลย แม้แต่จานช้อนที่ใช้อยู่ที่บ้านก็ใช้ไม่ได้ น้ำที่บ้านก็กินไม่ได้ เพราะกลัวว่าของใช้เหล่านั้นจะมีร่องรอยเนื้อสัตว์ติดอยู่ ซึ่ง พี่พรเองก็กินเจเช่นกัน
พอถึงเวลาพักเที่ยง คุณสมเกียรติ เกษตรอำเภอยะหา ก็พาคณะเกษตรอำเภอทุกอำเภอและผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรจังหวัด ประมาณ ๑๗ คนไปที่ร้านธารา ซึ่งร้านอาหารทะเล อาหารที่สั่งไว้มีหอยหวานเผา กุ้งหวาน ปลาเผา ยำทะเล ข้าวผัด ผมนั่งหัวโต๊ะอีกด้าน อาหารที่ใกล้ที่สุดก็คือหอยเผาซึ่งผมชอบกินมากไม่ว่าหอยแครง หอยขม หอยแมลงภู่ นั่งแซวกับน้องๆว่าผู้หญิงเขาไม่ชอบกินหอย เขาชอบกินไข่ ผู้ชายชอบกินหอยวันนี้มีหอยหวานเผาให้กิน หอยหวานเปลือกลายๆเนื้อคล้ายหอยชักตีนแต่เปลือกคนละอย่าง เผาสุกแล้ว ฝาปิดจะติดกับปากหอยสามารถดึงตัวหอยออกมารับประทานได้เลย ผมกินไปเกือบ ๒๐ ตัว
ในช่วงรับประทานอาหาร น้องนกและน้องกรณ์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรอำเภอยะหา พูดกันเรื่องที่ว่าน้องเกตุ เจ้าหน้าที่บรรจุใหม่ไปรายงานตัวที่อำเภอวันแรกก็เห็นเจ้าที่ ซึ่งเป็นผู้หญิง แต่งตัวด้วยชุดไทย ซึ่งจริงๆแล้วที่สำนักงานเกษตรอำเภอยะหา คนที่อยู่เก่าขารู้ดีและเคยเห็นเขาถูกหวยกันเป็นประจำ และวันต่อมาน้องเกตุก็เห็นอีกมายืนอยู่ที่ใต้ต้นกระท้อนหน้าสำนักงาน ผมเองเป็นคนปากไม่ดีเลยพูดไปว่าเห็นแต่งตัวชุดไทยแต่เกล้าจุกเหมือนกุมารทอง จนเวลาล่วงเลยไปประมาณบ่ายสองสามสิบคงเหลือแต่ผู้ชายที่ดื่มเหล้าอยู่ ๖ คน ผมเริ่มรู้สึกปวดท้องที่ด้านซ้าย ถ้าพูดภาษาใต้เขาบอกว่าเสียดพุง ปวดแน่นอยู่นาน พยายามเข้าห้องน้ำเข้าใจว่าจุก ท้องอืด เดินๆนั่งๆวนเข้าห้องน้ำ ๒ รอบไม่หายเวลาผ่านไป เกือบ๓๐ นาทีไม่ทุเลา เหงื่อเริ่มมออก เลยบอกพรรคพวกที่นั่งกันอยู่ว่ากลับก่อน
ผมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากร้านธารามาที่สำนักงานเกษตรจังหวัด ระยะทางประมาณ ๒ กม ตอนแรกออกมาก็ปกติดีแต่ท้องยังปวดอยุ่ แต่พอขับมาเรื่อยๆตาเริ่มพล่าและยิ่งพล่ามาขึ้น ผมตกใจมากกลัวตาบอด คิดไปถึงข่าวทีว่าเบาหวานขึ้นตา ถ้าตาบอดผมจะทำยังไง ก่อนนี้ผมยังคิดว่าผมจะไปโรงพยาบาลดีหรือจะกลับไปนอนดูอาการที่สำนักงานหรือจะไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง แต่พอตาพล่าผมตัดสินใจกลับให้ถึงสำนักงานก่อนที่ตาจะมองไม่เห็น
ผมกลับถึงสำนักงานประมาณ บ่ายสามโมงกว่าๆ อาการตาพล่าเริ่มลดแต่อาการหายใจไม่ออก หายใจไม่ได้มาเพิ่มอีก ที่ห้องทำงาน เพื่อจะไปขอช่วยกัสมันหรืออารีฟซึ่งรถยนต์เพื่อให้ไปส่งโรงพยาบาลแต่๒คนนั้นไม่อยู่เลยชวนญาลีลแกไม่มีรถยนต์เลยตัดสินใจว่านอนพักดูเพื่อจะหายเข้าไปในในห้องประชุมจัดเก้าอี้เรียงเป็นแถวน้องเตือนมาช่วยจัดให้ พวกเพื่อนร่วมงานลงมาดูกันเต็มผมเหงื่ออกมากเสื้อเปียก หน้าซีด หลายคนบอกว่าไปโรงพยาบาลดีกว่าพอดีน้องเกณฑ์เข้ามาบอกว่าไปรถหนูก็ได้
ผมเลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลโดยมีน้องญาลีไปเป็นเพื่อน ระยะประมาณ ๗๐๐ เมตร รถไปติดไฟแดงอีก ผมทรมานมากทั้งปวดท้อง ทั้งหายใจไม่ออก ไปถึงโรงพยาบาล ลงจากรถเดินไปห้องฉุกเฉิน ยื่นบัตร เจ้าหน้าที่ถามอาการผมบอกว่ากินหอยมา ส่งผมขึ้นเตียงหมอให้น้ำเกลือ ใส่เครื่องช่วยหายใจ ตรวจคลื่นหัวใจ วัดความดัน ความดันผมเหลือ ๕๐ ตัวล่าง อาการเริ่มดีขึ้นหายปวดท้อง นอนสักพักอาการปวดท้องกลับมาอีกหมอเลยฉีดยาแก้ปวดเข้าไปทางสายน้ำเกลือ โดยมีน้อง ญาลีล อยู่เป็นเพื่อนตลอด จากอาการและสาเหตุที่เล่ามาปรากฏว่าหมอให้นอนโรงพยาบาล
ผมถูกส่งไปนอนที่ตึกอายุรกรรมชาย ด้วยการปกติทุกอย่าง ท้องก็ไม่เสีย หน้าไม่มืด ความดันขึ้นมาปกติ ไหนๆหมอให้นอนก็นอนเพื่อดูอาการ น้องๆจากสำนักงานเกษตรอำเภอเมืองมาเยี่ยม พี่ปรารมภ์และคณะมาเยี่ยม หลายคนเป็นห่วง ถามข่าวคราว ผมบอกว่าผมปกติทุกอย่าง ไม่มีอาการอะไรหลงเหลืออยู่ พวกพยาบาลวัดความดัน ไข้ทุก๖ ชั่วโมง ปกติทุกอย่าง ตอนเช้าเจาะเลือดไปตรวจ รอฟังผลตอนเที่ยง และก็บังเอิญอีกแล้วหมอเจ้าของไข้ผมคือหมอทนงศักดิ์ลา ช่วงเช้าก็ไม่ได้ตรวจ รอต่อไปช่วงบ่าย ก็ไม่ได้พบหมอ บ่ายๆผมไปพบพยาบาลบอกว่าผมจะกลับบ้านอยู่ไปก็ไม่ได้พบหมอ พยาบาลบอกถ้าจะกลับต้องเซ็นต์ยินยอมแจ้งความประสงค์ว่าจะไม่รักษา และจะเสียประวัติให้รอพบหมอเวร ประมาณ ๒ ทุ่ม
ผมตกลงใจจะรอหมอเวร แต่ขอร้องให้ถอดสายน้ำเกลือเพื่อที่จะได้อาบน้ำอาบท่าเสียที พยาบาลถอดสายน้ำเกลือ ผมได้อาบน้ำสระผมกลับมานอนรอหมอเวร เวลา ๒ ทุ่มเศษ หมอพรเทพมาถามผมว่าเป็นไงบ้างกินหอยมาหรือ ผมบอกว่าผมปกติดีทุกอยากจะกลับบ้าน หมอให้นอนลงแล้วฟังที่ท้อง แล้วถามว่าไม่เอายาไปกินหรือผมบอกว่าไม่ แล้วหมอก็เดินไป ช่วงที่อยู่หมดน้ำเกลือไปเกือบสี่ขวด สักพักพยาบาลมาบอกว่าหมอให้กลับบ้านได้แล้วขอเบอร์โทรผมไว้ แล้วผมก็เดินออกจากโรงพยาบาลมา รวมเป็นเป็นเวลาเกือบ๓๐สิบชั่วโมง ในที่สุดผมยังไม่รู้เลยว่าเป็นเป็นอะไร แต่ผมมีแง่มุมที่จะให้ท่านได้พิจารณ์ ๓ มูลเหตุตามที่กล่าวมา
๑.เกิดจากกินหอยเข้าไปมากแล้วเกิดอาการจุกหรือว่าหอยตัวใดตัวหนึ่งมีสารพิษตกค้างอยู่ (แต่ไม่มีอาการท้องเสียหรืออาเจียน)
๒ เกิดแต่กรรมเนื่องจากเป็นเทศการกินเจ คนที่บ้านกินเจผมไม่ใส่ใจกลับไปรับประทานเนื้อสัตว์(หอย)จึงมีผลให้ปวดท้อง
๓ เกิดจากไสยศาสตร์ ไปพูดจากหลบหลู่เจ้าที่เจ้าทางที่อยู่ประจำที่สำนักงานเกษตรอำเภอยะหาเข้าจึงบรรดาลให้ปวดท้องขึ้นมา
เป็นคำถามที่งมงายมากๆ แต่ผมพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่าบางครั้งเรื่องที่เราไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ความจริงในบางเรื่องบางครั้งก็พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เรื่องของความเชื่อเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม ผมนอนโรงพยาบาล ๓๐ ชั่วโมง ได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตคนเรา มันเป็นสัจธรรมจริงๆ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้น ไม่วันใดวันหนึ่งท่านก็จะได้พบ ไม่มีอะไรแน่นอนเท่ากับความไม่แน่นอน ฉะนั้นจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท สุขภาพ อนามัย(อาหารการกิน) ของใครของมัน มีอาจารย์ท่านหนึ่งพูดว่า ท่านจงรักษา ดูแลซากศพของท่านไว้ให้ดีที่สุดให้นานที่สุด และสมบูรณ์ที่สุด ถ้าท่านทำได้นั้นหมายความว่าซากศพจะอยู่กับท่านยืนยาวตามที่ท่านต้องการ……… ใครมีคำตอบในเรื่องนี้ช่วยตอบผมที ขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่มีส่วนช่วยเหลือและทุกกำลังใจ ที่มีให้ผม ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ขอบคุณมากๆ สวัสดีครับ
ปล. สัณนิฐานว่าหอยตัวใดตัวหนึ่งที่กินเข้าไปมีพิษตกค้างจากการทีมันไปกินอะไรที่เป็นพิษเข้าไป
บันทึก ๒ กย.๕๔
ไมตรี สุขเกษม