Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

๔.กัณฑ์วนประเวศน์


เป็นกัณฑ์ที่สี่กษัตริย์เดินดงบ่ายพระพักตร์สู่เขาวงกต เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหน้าศาลาพระนคร กษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง แต่พระเวสสันดรทรงปฎิเสธ และเมื่อเสด็จถึงเขาวงกตได้พบศาลาอาศรมซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทวราช กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา

 กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ มีพระเวสสันดรเป็นต้น ทอดพระเนตรเห็นคนทั้งหลายที่เดินสวนทางมา จึงตรัสถามว่า เขาวงกตอยู่ที่ไหน. คนทั้งหลายทูลตอบว่า ยังไกล.


เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ถ้ามนุษย์บางพวกเดินมาตามทาง หรือเดินสวนทางมา เราจะถามมรรคากะพวกนั้นว่า เขาวงกตอยู่ที่ไหน คนพวกนั้นเห็นเราทั้งหลายในป่านั้น จะพากันคร่ำครวญน่าสงสาร พวกเขาแจ้งให้ทราบ อย่างเป็นทุกข์ว่า เขาวงกตยังอยู่อีกไกล.

พระชาลีและพระกัณหาชินาได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ทรงผลต่างๆ สองข้างทางก็ทรงกันแสง ด้วยบุญญานุภาพแห่งพระมหาสัตว์ ต้นไม้ที่ทรงผลก็น้อมลงมาสัมผัสพระหัตถ์ แต่นั้น พระเวสสันดรก็ทรงเลือกเก็บผลาผลที่สุกดี ประทานแก่สองกุมารกุมารีนั้น พระนางมัทรีทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงทราบว่า เป็นเหตุอัศจรรย์.


เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระราชกุมารกุมารีทอดพระเนตร เห็นพฤกษชาติเผล็ดผลในป่าใหญ่ ก็ทรงกันแสง เพราะเหตุอยากเสวยผลไม้เหล่านั้น ต้นไม้ทั้งหลายเต็มไปในป่า ประหนึ่งเห็นพระราชกุมารกุมารีทรงกันแสง ก็ร้อนใจน้อมกิ่งลงมาถึงพระราชกุมารกุมารีเอง พระนางมัทรีราชเทวี ผู้งามทั่วองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น อัศจรรย์นี้ อันไม่เคยมีมา ทำให้ขนพองสยองเกล้า ก็ยังสาธุการ ให้เป็นไป ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ทำให้ขนพองสยองเกล้ามีในโลก พฤกษชาติทั้งหลายน้อมลงมาเอง ด้วยเดชานุภาพแห่งพระเวสสันดร.

ตั้งแต่เชตุดรราชธานีถึงภูเขาชื่อสุวรรณคิรีตาละ ๕ โยชน์.

ตั้งแต่สุวรรณคิรีตาละถึงแม่น้ำชื่อโกนติมารา ๕ โยชน์.

ตั้งแต่แม่น้ำโกนติมาราถึงภูเขาชื่ออัญชนคิรี ๕ โยชน์.

ตั้งแต่ภูเขาอัญชนคิรีถึงบ้านพราหมณ์ชื่อตุณณวิถนาลิทัณฑ์ ๕ โยชน์.

ตั้งแต่บ้านพราหมณ์ตุณณวิถนาลิทัณฑ์ถึงมาตุลนคร ๑๐ โยชน์

รวมตั้งแต่เชตุดรนครถึงแคว้นนั้นเป็น ๓๐ โยชน์.

เทวดาย่นมรรคานั้น กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์จึงเสด็จถึงมาตุลนครในวันเดียวเท่านั้น.

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


เทวดาทั้งหลายย่นมรรคา ด้วยอนุเคราะห์แก่พระราชกุมารกุมารี กษัตริย์ทั้ง ๔ ถึงเจตรัฐ โดยวันที่เสด็จออกนั้นเอง.

ก็แลกษัตริย์ทั้ง ๔ เมื่อเสด็จไป ได้เสด็จดำเนินตั้งแต่เวลาเสวยเช้าแล้ว ลุถึงมาตุลนครในเจตรัฐเวลาเย็น.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
กษัตริย์ ๔ พระองค์เสด็จไปสิ้นทางไกลถึงเจตรัฐ ซึ่งเป็นชนบทมั่งคั่ง มีความสุข มีมังสะ สุรา และข้าวมาก.

กาลนั้น มีเจ้าครองอยู่ในมาตุลนคร ๖ หมื่นองค์ พระมหาสัตว์ไม่เสด็จเข้าภายในนคร ประทับพักอยู่ที่ศาลาใกล้ประตูเมือง. ครั้งนั้น พระนางมัทรีชำระเช็ดธุลีที่พระบาทของพระมหาสัตว์ แล้วถวายอยู่งานนวดพระบาท ทรงคิดว่า เราจักยังประชาชนให้รู้ความที่พระเวสสันดรเสด็จมา จึงเสด็จออกจากศาลา ประทับยืนอยู่ที่ประตูศาลาตรงทางประตูเมือง เพราะเหตุนั้น หญิงทั้งหลายผู้เข้าสู่เมืองและออกจากเมือง ก็ได้เห็นพระนางมัทรี ต่างเข้าห้อมล้อมพระองค์.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
สตรีชาวเจตรัฐเห็นพระนางมัทรีผู้มีลักษณะเสด็จมา ก็ปริวิตกว่า พระแม่เจ้าผู้สุขุมาลชาตินี้เสด็จมา ด้วยพระบาท พระนางเคยเสด็จไปไหนๆ ด้วยยานที่หาม หรือพระวอและรถที่นั่ง วันนี้พระนางมัทรีเสด็จดำเนินไปในป่า ด้วยพระบาท.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลกขณมาคตํ ความว่า พระนางมัทรีผู้ถึงพร้อมด้วยลักษณะทั้งปวงเสด็จมา. บทว่า ปริธาวติ ความว่า พระนางเป็นเจ้าหญิงสุขุมาลชาติอย่างนี้หนอ ต้องเสด็จด้วยพระบาทเที่ยวไป. บทว่า ปริยายิตวา ความว่า เสด็จเที่ยวไปในนครเชตุดรในกาลก่อน. บทว่า สิวิกาย ได้แก่ ด้วยวอทอง.

มหาชนเห็นพระนางมัทรี พระเวสสันดร และพระโอรสทั้งสองพระองค์ เสด็จมาด้วยความเป็นผู้น่าอนาถ จึงไปแจ้งแก่พระยาเจตราชทั้งหลาย พระยาเจตราชทั้ง ๖ หมื่น ก็กันแสงร่ำพิไร มาเฝ้าพระเวสสันดร.

พระศาสดา เมื่อทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระยาเจตราชทั้งหลายเห็นพระเวสสันดร ก็ร้องให้เข้าไปเฝ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ทรงพระสำราญ ไม่มีพระโรคาพาธแลหรือ พระราชบิดาของพระองค์หาพระโรคาพาธมิได้แลหรือ ชาวนครสีพีก็ไม่มีทุกข์หรือ.
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พลนิกายของพระองค์อยู่ที่ไหน. รถพระที่นั่งของพระองค์อยู่ที่ไหน. พระองค์ไม่มีม้าทรง ไม่มีรถทรง เสด็จดำเนินมาทางไกล ถูกข้าศึกย่ำยีกระมัง จึงเสด็จมาถึงประเทศนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสวา ได้แก่ เห็นแต่ไกลทีเดียว. บทว่า เจตปาโมกขา ได้แก่ กษัตริย์เจตราชทั้งหลาย. บทว่า อุปาคมํ ได้แก่ เข้าไปเฝ้า. บทว่า กุสลํ ได้แก่ ความไม่มีโรค. บทว่า อนามยํ ได้แก่ ความไม่มีทุกข์. บทว่า โก เต พลํ ความว่า กองทหารของพระองค์อยู่ที่ไหน. บทว่า รถมณฑลํ ความว่า เหล่ากษัตริย์เจตราชทูลถามว่า รถซึ่งประดับแล้วที่พระองค์เสด็จมานั้น อยู่ที่ไหน. บทว่า อนสสโก ได้แก่ ไม่มีม้าทรงเลย. บทว่า อรถโก ได้แก่ ไม่มีรถทรง. บทว่า ทีฆมทธานมาคโต ความว่า พระองค์เสด็จมาทางไกล. บทว่า ปกโต ได้แก่ ถูกข้าศึกครอบงำย่ำยี.

ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะตรัสถึงเหตุการณ์ที่พระองค์เสด็จมาแก่พระยาเจตราชหกหมื่นเหล่านั้น จึงตรัสว่า
แน่ะสหายทั้งหลาย เราไม่มีโรคาพาธ เรามีความสำราญ อนึ่ง พระราชบิดาของเราก็ทรงปราศจากพระโรคาพาธ และชาวสีพีก็สุขสำราญดี แต่เพราะเราให้ช้าง ซึ่งมีงาดุจงอนไถ เป็นราชพาหนะ รู้ชัยภูมิแห่งการยุทธ์ทุกอย่าง ขาวทั่วสรรพางค์ เป็นช้างสูงสุด คลุมด้วยผ้ากัมพลเหลือง ซับมัน อาจย่ำยีศัตรูได้ มีงางาม พร้อมด้วยพัดวาลวีชนี มีกายสีขาวเช่นกับเขาไกรลาส พร้อมด้วยเศวตฉัตร ทั้งเครื่องลาดอันงามทั้งหมด ทั้งคนเลี้ยง เป็นราชยานอันประเสริฐ เป็นช้างพระที่นั่ง ให้เป็นทรัพย์แก่พราหมณ์ทั้ง ๘ คน เพราะเหตุนั้น ชาวสีพีพากันขัดเคืองเรา และพระราชบิดาก็กริ้วขับไล่เรา เราจะไปเขาวงกต แน่ะสหายทั้งหลาย ท่านทั้งหลายรู้โอกาสแห่งที่อยู่ของพวกเราที่จะอยู่ในป่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสมึ เม ความว่า ชาวสีพีทั้งหลายโกรธเราในเพราะเหตุนั้น. บทว่า อุปหโตมโน ความว่า พระราชบิดาก็กริ้ว คือทรงขัดเคืองด้วย จึงทรงขับไล่เราจากแว่นแคว้น. บทว่า ยตถ ความว่า พระเวสสันดรตรัสว่า พวกเราควรอยู่ในป่าใด ท่านทั้งหลายรู้โอกาส เป็นที่อยู่ของพวกเราในป่านั้น.

ลำดับนั้น พระยาเจตราชทั้งหลายทูลพระเวสสันดรว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้ พระองค์ผู้เป็นอิสระเสด็จมาถึงแล้ว สิ่งใดมีอยู่ในประเทศนี้ โปรดรับสั่งให้ทราบเถิด ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์เสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลีอันบริสุทธิ์ ทั้งผัก เหง้าบัว น้ำผึ้ง เนื้อ พระองค์เสด็จมาเป็นแขกของข้าพระบาททั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเวทย ความว่า ข้าพระบาททั้งหลายขอมอบถวายทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส. บทว่า ภึสํ ได้แก่ เหง้าบัว คือเหง้าอย่างใดอย่างหนึ่ง.

ลำดับนั้น พระเวสสันดรตรัสว่า
สิ่งใดอันท่านทั้งหลายให้แล้ว สิ่งนั้นเป็นอันเรารับแล้ว บรรณาการเป็นอันท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง พระราชบิดาทรงขับไล่เรา เราจะไปเขาวงกต พวกท่านรู้โอกาสแห่งที่อยู่ของพวกเรา ที่จะอยู่ในป่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปภิคคหิตํ ความว่า ทุกสิ่งนั้นที่ท่านทั้งหลายให้แล้ว ก็เป็นอันเรารับไว้แล้วเทียว. บทว่า สพพสส อคฆิยํ กตํ ความว่า บรรณาการ คือของมอบให้เป็นอัน ท่านทั้งหลายกระทำแล้วแก่เรา. บทว่า อวรุทธสิ มํ ราชา ความว่า ก็พระราชบิดาทรงขับไล่ คือเนรเทศเราจากแว่นแคว้น เพราะฉะนั้น เราจักไปเขาวงกตเท่านั้น ท่านทั้งหลายจงรู้สถานที่อยู่ในป่าของเรานั้น.

พระยาเจตราชทั้งหลายเหล่านั้นทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอเชิญเสด็จประทับอยู่ ณ เจตรัฐนี้ จนกว่าพระยาเจตราชทั้งหลายไปเฝ้าพระราชบิดาทูลขอโทษ ให้พระราชบิดาทรงเป็นผู้ยังแคว้นแห่งชาวสีพีให้เจริญ ทรงทราบว่า พระองค์หาความผิดมิได้ เพราะเหตุนั้น พระยาเจตราชทั้งหลายจะเป็นผู้อิ่มใจได้ที่พึ่งแล้ว รักษาพระองค์แวดล้อมไป ข้าแต่บรมกษัตริย์ ขอพระองค์ทรงทราบอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รญฺโญ สนติก ยาจิตํ ความว่า จักไปเฝ้าพระราชบิดาเพื่อทูลขอโทษ. บทว่า นิชฌาเปตํ ได้แก่ เพื่อให้ทรงทราบว่าพระองค์หาความผิดมิได้. บทว่า ลทะปจจยา ได้แก่ ได้ที่พึ่งแล้ว. บทว่า คจฉนติ ได้แก่ จักไป.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
ท่านทั้งหลายอย่าชอบใจไปเฝ้าพระราชบิดา เพื่อทูลขอโทษ และเพื่อให้พระองค์ทรงทราบว่า เราไม่มีความผิดเลย เพราะว่า พระองค์มิได้เป็นอิสระในเรื่องนั้น. แท้จริงชาวสีพี กองพล และชาวนิคมเหล่าใด ขัดเคืองแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็ปรารถนาจะกำจัดพระราชบิดา เพราะเหตุแห่งเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตถ ความว่า แม้พระราชบิดาก็มิได้เป็นใหญ่ ในการที่จะให้ว่าเรามิได้มีความผิด. บทว่า อจจุคคตา ได้แก่ ขัดเคืองยิ่ง. บทว่า พลคฺคา ได้แก่ พลนิกาย คือแม่ทัพ. บทว่า ปธํเสตุ ได้แก่ เพื่อนำออกจากราชสมบัติ. บทว่า ราชานํ ได้แก่ แม้พระราชบิดา.

พระยาเจตราชเหล่านั้นทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ยังแคว้นให้เจริญ ถ้าพฤติการณ์นั้นเป็นไปในรัฐนี้ ชาวเจตรัฐขอถวายตัวเป็นบริวาร เชิญเสด็จครองราชสมบัติในเจตรัฐนี้ทีเดียว รัฐนี้ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ ชนบทก็เพียบพูนกว้างใหญ่ ขอพระองค์ทรงปลงพระหฤทัยปกครองราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเจ เอสา ปวตเตตถ ความว่า ถ้าในรัฐนี้มีพฤติการณ์อย่างนี้. บทว่า รชชสสมนุสาสิตํ ได้แก่ เพื่อครอบครองราชสมบัติ อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้แหละ.

ลำดับนั้น พระเวสสันดรตรัสว่า
ดูก่อนพระยาเจตบุตรทั้งหลาย ความพอใจหรือความคิดเพื่อครองราชสมบัติ ไม่มีแก่เรา ผู้อันพระชนกนาถ เนรเทศจากแว่นแคว้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรา.


ชาวสีพี กองพล และชาวนิคมทั้งหลายคงจะไม่ยินดีว่า พระยาเจตราชทั้งหลาย อภิเษกเราผู้ถูกเนรเทศจากแว่นแคว้น ความไม่ปรองดองจะพึงมีแก่พวกท่าน เพราะเราเป็นตัวการสำคัญ อนึ่ง ความบาดหมางและการทะเลาะกับชาวสีพี เราไม่ชอบใจ ใช่แต่เท่านั้น ความบาดหมางพึงรุนแรงขึ้น สงครามอันร้ายกาจก็อาจมีได้ คนเป็นอันมากพึงฆ่าฟันกันเอง เพราะเหตุแห่งเราผู้เดียว.


สิ่งใดอันท่านทั้งหลายให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นอันเรารับไว้แล้ว บรรณาการเป็นอันท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง พระราชบิดาทรงขับไล่เรา เราจักไปเขาวงกต ท่านทั้งหลายรู้ โอกาสแห่งที่อยู่ของพวกเรา ที่จะอยู่ในป่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจตา รชเชภิเสจยํ ความว่า พวกชาวสีพีเหล่านั้นรู้ว่า ชาวเจตรัฐอภิเษกพระเวสสันดรในราชสมบัติ คงจะไม่ชอบพวกท่าน. บทว่า อสมโมทิยํ ได้แก่ ความไม่ปรองดอง. บทว่า อสส ได้แก่ ภเวยย ความว่า จักเป็น. บทว่า อถสส ความว่า คราวนั้น พวกท่านจักทะเลาะกัน เพราะเราคนเดียวเป็นเหตุ.

ก็และครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ แม้พวกพระยาเจตราชทูลวิงวอนโดยอเนกปริยาย ก็ไม่ทรงปรารถนาราชสมบัติ ครั้งนั้น พระยาเจตราชทั้งหลายได้ทำสักการะใหญ่แด่พระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ไม่ปรารถนาจะเสด็จเข้าภายในพระนคร ครั้งนั้น พวกพระยาเจตราชจึงตกแต่งศาลานั้น กั้นพระวิสูตร ตั้งพระแท่นบรรทม ทั้งหมดช่วยกันแวดล้อมรักษา พระเวสสันดรพักแรมอยู่ ๑ ราตรี เหล่าพระยาเจตราชเหล่านั้นสงเคราะห์รักษา บรรทมที่ศาลา.

รุ่งขึ้นสรงน้ำแต่เช้า เสวยโภชนาหารมีรสเลิศต่างๆ พระยาเจตราชเหล่านั้นแวดล้อม เสด็จออกจากศาลา พระยาเจตราชหกหมื่นเหล่านั้น โดยเสด็จด้วยพระเวสสันดร สิ้นระยะทาง ๑๕ โยชน์ หยุดอยู่ที่ประตูป่า.


เมื่อจะทูลระยะทางข้างหน้าอีก ๑๕ โยชน์ จึงกล่าวว่า
เชิญเสด็จเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักกราบทูลพระองค์ ให้ทรงทราบ อย่างที่คนฉลาดจะกราบทูล เสลบรรพต ซึ่งเป็นที่สงบของปวงราชฤาษี ผู้มีการบูชาเพลิงเป็นวัตร มีจิตตั้งมั่น โน่น ชื่อว่า คันธมาทน์ พระองค์จะประทับกับพระโอรสทั้งสอง และพระมเหสี.


พระยาเจตราชทั้งหลายร้องไห้ น้ำตาไหลอาบหน้า พร่ำทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์บ่ายพระพักตร์ตรงต่อทิศอุดร เสด็จไปจากที่นี้ โดยมรรดาใด ถัดนั้น พระองค์จักทอดพระเนตรเห็นวิปุลบรรพต อันเกลื่อนไปด้วยหมู่ไม้ต่างๆ มีเงาเย็นน่ารื่นรมย์ โดยมรรคานั้น ถัดนั้น พระองค์เสด็จพ้นวิปุลบรรพตนั้นแล้ว จักทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำเกตุมดี ลึกเป็นน้ำไหลมาแต่ซอกเขา ดาดาษไปด้วยมัจฉาชาติ แลมีท่าอันดี น้ำมากจงสรงเสวยที่แม่น้ำนั้น ให้พระโอรสพระธิดาและพระมเหสีทรงยินดี.


ถัดนั้น พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็นไม้ไทร มีผลพิเศษรสหวาน ซึ่งเกิดอยู่ที่ภูเขาน่ารื่นรมย์ มีเงาเย็นน่ายินดี ถัดนั้น พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็น บรรพตชื่อนาลิกะ เกลื่อนไปด้วยหมู่นกต่างๆ แล้วไปด้วยศิลา เกลื่อนไปด้วยหมู่กินนร มีสระชื่อมุจลินท์ อยู่ด้านทิศอีสานแห่งนาลิกบรรพต ปกคลุมด้วยบุณฑริกและอุบลขาวมีประการต่างๆ และดอกไม้มีกลิ่นหอมหวล ถัดนั้น พระองค์จะเสด็จถึงวนประเทศคล้ายหมอก มีหญ้าแพรกเขียวอยู่เป็นนิตย์ แล้วเสด็จหยั่งลงสู่ไพรสณฑ์ ซึ่งปกคลุมด้วยไม้ดอกและไม้ผลทั้งสอง ดั่งราชสีห์เพ่งเหยื่อหยั่งลงสู่ไพรสณฑ์ ฉะนั้น. ฝูงนกในหมู่ไม้ซึ่งมีดอกบานแล้ว ตามฤดูกาลนั้น มีมากมีสีต่างๆ ร้องกลมกล่อมอื้ออึง ต่างร้องประสานเสียงกัน.


ถัดนั้น พระองค์จักเสด็จถึงซอกเขาอันเป็นทางกันดารเดินลำบาก เป็นแดนเกิดแห่งแม่น้ำทั้งหลาย จะได้ทอดพระเนตร เห็นสระโบกขรณีอันดาดาษ ด้วยสลอดน้ำและกุ่มบก มีหมู่ปลาหลากหลายเกลื่อนกล่น มีท่าเรียบราบ มีน้ำมากเปี่ยมอยู่เสมอ เป็นสระสี่เหลี่ยมมีน้ำจืดดี ไม่มีกลิ่นเหม็น.

พระองค์จงสร้างบรรณศาลา ด้านทิศอีสานแห่งสระโบกขรณีนั้น ครั้นทรงสร้างบรรณศาลาสำเร็จแล้ว ประทับสำราญพระอิริยาบถ ประพฤติแสวงหามูลผลาหาร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชิสิ ได้แก่ ผู้ที่เป็นพระราชาแล้วบวช. บทว่า สมาหิตา ได้แก่ เป็นผู้มีจิตแน่วแน่ พระยาเจตราชทั้งหลาย เมื่อยกหัตถ์ขวาขึ้น ทูลบอกว่า เชิญพระองค์เสด็จทางเชิงบรรพตนี้ กราบทูลด้วยบทว่า เอส นี้. บทว่า อจฉสิ ได้แก่ จักประทับอยู่. บทว่า อาปกํ ได้แก่ แม่น้ำเป็นทางน้ำไหล คือนำน้ำมา. บทว่า คิริคพภรํ ได้แก่ ไหลมาแต่ช่องเขาทั้งหลาย. บทว่า มธุวิปผลํ ได้แก่ มีผลอร่อย. บทว่า รมมเก ได้แก่ น่ารื่นรมย์. บทว่า กึปุริสายุตํ ได้แก่ ประกอบ คือเกลื่อนไปด้วยกินนรทั้งหลาย. บทว่า เสตโสคนธิเยหิ จ ความว่า ประกอบด้วยอุบลขาวและดอกไม้มีกลิ่นหอม มีประการต่างๆ. บทว่า สีโหวามิสเปกฺขีว ความว่า ดุจราชสีห์ต้องการเหยื่อ. บทว่า พินทุสสรา ได้แก่ มีเสียงกลมกล่อม. บทว่า วคฺคู ได้แก่ มีเสียงไพเราะ. บทว่า กูชนตมุปกูชนติ ความว่า เข้าไปร้องภายหลังร่วมกะนกที่ร้องอยู่ก่อน. บทว่า อุตสมปุปผิเต ทุเม ความว่า แอบที่ต้นไม้มีดอกบานตามฤดูกาล ส่งเสียงร้องพร้อมกะนกที่ส่งเสียงร้องอยู่. บทว่า โส อททส ความว่า พระองค์นั้นจักได้ทอดพระเนตร. บทว่า กรญชกกุธายุตํ ความว่า เกลื่อนไปด้วยต้นสลอดน้ำและต้นกุ่มทั้งหลาย. บทว่า อปปฏิคนธิยํ ได้แก่ ปราศจากกลิ่นเหม็น เต็มเปี่ยมด้วยน้ำหวาน ดาดาษด้วยปทุมและอุบลเป็นต้นมีประการต่างๆ. บทว่า ปณฺณ สาลํ อมาปย ความว่า พึงสร้างบรรณศาลา. บทว่า อมาเปตฺวา ได้แก่ ครั้นสร้างแล้ว. บทว่า อุญฉาจริยาย อีหถ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ ลำดับนั้น พระองค์พึงดำรงพระชนมชีพ ด้วยการเที่ยวแสวงหา เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เถิด คือพึงเป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่เถิด.



พระยาเจตราชทั้งหลายกราบทูลมรรคา ๑๕ โยชน์ แด่พระเวสสันดร อย่างนี้แล้วส่งเสด็จ คิดว่า ปัจจามิตรคนใดคนหนึ่ง อย่าพึงได้โอกาสประทุษร้ายเลย เพื่อจะบรรเทาภยันตรายแห่งพระเวสสันดรเสีย จึงให้เรียกพรานป่าคนหนึ่ง ชื่อเจตบุตร. เป็นคนฉลาดศึกษาดีแล้ว มาสั่งว่า เจ้าจงกำหนดตรวจตราคนทั้งหลายที่ไปๆ มาๆ สั่งฉะนี้แล้ว ให้อยู่รักษาประตูป่า แล้วกลับไปสู่นครของตน.


ฝ่ายพระเวสสันดรพร้อมด้วยพระราชโอรสพระราชธิดาและพระราชเทวี เสด็จถึงเขาคันธมาทน์ ประทับยับยั้งอยู่ ณ ที่นั่นตลอดวัน แต่นั่นบ่ายพระพักตร์ทิศอุดร เสด็จลุถึงเชิงเขาวิปุลบรรพต ประทับนั่งที่ฝั่งเกตุมดีนที เสวยเนื้อมีรสอร่อย ซึ่งนายพรานป่าผู้หนึ่งถวาย พระราชทานเข็มทองคำแก่นายพรานนั้น ทรงสรงสนานที่แม่น้ำนั้น มีความกระวนกระวายสงบ เสด็จขึ้นจากแม่น้ำ ประทับนั่ง ณ ร่มไม้นิโครธ ที่ตั้งอยู่ยอดสานุบรรพตหน่อยหนึ่ง เสวยผลนิโครธ ทรงลุกขึ้นเสด็จไปถึงนาลิกบรรพต เมื่อเสด็จต่อไปก็ถึงสระมุจลินท์ เสด็จไปตามฝั่งสระถึงมุมด้านทิศอีสาน เสด็จเข้าสู่ชัฎไพรโดยทางเดินได้คนเดียว ล่วงที่นั้นก็บรรลุถึงสระโบกขรณีสี่เหลี่ยม ข้างหน้าของภูเขาทางกันดาร เป็นแดนเกิดแห่งแม่น้ำทั้งหลาย.


ขณะนั้น พิภพของท้าวสักกเทวราชสำแดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกะทรงพิจารณาก็ทรงทราบเหตุการณ์นั้น จึงทรงดำริว่า พระมหาสัตว์เสด็จเข้าสู่หิมวันตประเทศ พระองค์ควรได้ที่เป็นที่ประทับ จึงตรัสเรียก พระวิสสุกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า ดูก่อนพ่อ ท่านจงไปสร้างอาศรมบทในสถานที่อันเป็นรมณีย์ ณ เวิ้งเขาวงกตแล้วกลับมา สั่งฉะนี้แล้ว ทรงส่งพระวิสสุกรรมไป.

พระวิสสุกรรมรับเทวบัญชาว่า สาธุ.

แล้วลงจากเทวโลกไป ณ ที่นั้น เนรมิตบรรณศาลา ๒ หลัง ที่จงกรม ๒ แห่ง และที่อยู่กลางคืน ที่อยู่กลางวัน แล้วให้มีกอไม้อันวิจิตรด้วยดอกต่างๆ และดงกล้วยในสถานที่นั้นๆ แล้วตกแต่งบรรพชิตบริขารทั้งปวง จารึกอักษรไว้ว่า ท่านผู้หนึ่งผู้ใดใคร่จะบวช ก็จงใช้บริขารเหล่านี้ แล้วห้ามกันเสียซึ่งเหล่าอมนุษย์ และหมู่เนื้อหมู่นกที่มีเสียงน่ากลัว แล้วกลับที่อยู่ของตน.


ฝ่ายพระมหาสัตว์ทอดพระเนตร เห็นทางเดินคนเดียว ทรงกำหนดว่า จักมีสถานที่อยู่ของพวกบรรพชิต จึงให้พระนางมัทรีและพระราชโอรสธิดาพักอยู่ที่ทวารอาศรมบท พระองค์เองเสด็จเข้าสู่อาศรมบท ทอดพระเนตรเห็นอักษรทั้งหลาย ก็ทรงทราบความที่ท้าวสักกะประทาน ด้วยเข้าพระทัยว่า ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นเราแล้ว จึงเปิดทวารบรรณศาลาเสด็จเข้าไป ทรงเปลื้องพระแสงขรรค์ และพระแสงศรทั้งพระภูษา ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดง พาดหนังเสือบนพระอังสา เกล้ามณฑลชฎาทรงถือเพศฤาษี ทรงจับธารพระกร เสด็จออกจากบรรณศาลา ยังสิริแห่งบรรพชิตให้ตั้งขึ้นพร้อม ทรงเปล่งอุทานว่า โอ เป็นสุข เป็นสุขอย่างยิ่ง เราได้ถึงบรรพชาแล้ว เสด็จขึ้นสู่ที่จงกรม เสด็จจงกรมไปมา แล้วเสด็จไปสำนักพระราชโอรสธิดาและพระราชเทวี ด้วยความสงบเช่นกับพระปัจเจกพุทธเจ้า.

ฝ่ายพระนางมัทรีเทวี เมื่อทอดพระเนตรเห็นก็ทรงจำได้ ทรงหมอบลงที่พระบาทแห่งพระมหาสัตว์ ทรงกราบแล้วทรงกันแสง เข้าสู่อาศรมบทกับด้วยพระมหาสัตว์ แล้วไปสู่บรรณศาลาของพระนาง ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดง พาดหนังเสือบนพระอังสา เกล้ามณฑลชฎา ทรงถือเพศเป็นดาบสินี. ภายหลังให้พระโอรสพระธิดา เป็นดาบสกุมารดาบสินีกุมารี. กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ประทับอยู่ ที่เวิ้งแห่งคีรีวงกต.

 ครั้งนั้น พระนางมัทรีทูลขอพรแต่พระเวสสันดรว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ไม่ต้องเสด็จไปสู่ป่า เพื่อแสวงหาผลไม้ จงเสด็จอยู่ ณ บรรณศาลากับพระราชโอรสและพระราชธิดา หม่อมฉันจะนำผลาผลมาถวาย.
จำเดิมแต่นั้นมา พระนางนำผลาผลมาแต่ป่า บำรุงปฏิบัติพระราชสวามีและพระราชโอรสพระราชธิดา.

ฝ่ายพระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ก็ทรงขอพรกะพระนางมัทรีว่า แน่ะพระน้องมัทรีผู้เจริญ จำเดิมแต่นี้เราทั้งสองชื่อว่า เป็นบรรพชิตแล้ว ขึ้นชื่อว่า หญิงเป็นมลทินแก่พรหมจรรย์ ตั้งแต่นี้ไป เธออย่ามาสู่สำนักฉัน ในเวลาไม่สมควร. พระนางทรงรับว่า สาธุ.

แม้เหล่าสัตว์ดิรัจฉานทั้งปวงในที่ ๓ โยชน์โดยรอบ ได้เฉพาะซึ่งเมตตาจิตต่อกันและกัน ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาของพระมหาสัตว์.

พระนางมัทรีเทวีเสด็จอุฏฐาการแต่เช้า ตั้งน้ำดื่มน้ำใช้แล้ว นำน้ำบ้วนพระโอฐ น้ำสรงพระพักตร์มา ถวายไม้ชำระพระทนต์ กวาดอาศรมบท ให้พระโอรสพระธิดาทั้งสอง อยู่ในสำนักพระชนก แล้วทรงถือกระเช้า เสียมขอเสด็จเข้าไปสู่ป่า หามูลผลาผลในป่าให้เต็มกระเช้า เสด็จกลับจากป่า ในเวลาเย็น เก็บงำผลาผลไว้ในบรรณศาลาแล้วสรงน้ำ และให้พระโอรสพระธิดาสรง.

ครั้งนั้น กษัตริย์ทั้ง ๔ องค์ ประทับนั่งเสวยผลาผลแทบทวารบรรณศาลา แต่นั้น พระนางมัทรีพาพระชาลีและพระกัณหาชินา ไปสู่บรรณศาลา กษัตริย์ทั้ง ๔ ประทับอยู่ ณ เวิ้งเขาวงกตสิ้น ๗ เดือน โดยทำนองนี้แล ด้วยประการฉะนี้.

หมายเลขบันทึก: 462604เขียนเมื่อ 25 กันยายน 2011 15:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 00:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

กัณฑ์วนประเวศน์ประดับด้วยคาถา ๕๗ คาถา

เป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “พระยาเดิน”

ประกอบกิริยาเดินป่าของ พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา

ข้อคิดจากกัณฑ์

มิตรแท้ย่อมไม่ทอดทิ้งเมื่อยามเพื่อนทุกข์

ช่วยปลอบปลุกยามเพื่อนอ่อนล้า

ช่วยฉุดดึงยามเพื่อนตกต่ำ

และช่วยชูค้ำยามเพื่อนขึ้นสู่ที่สูง

เนื้อความโดยย่อ

พระเวสสันดร พระนางมัทรี และสองพระกุมาร

เสด็จโดยพระบาทเป็นระยะทางถึง ๓๐ โยชน์

จึงลุ มาตุลนคร แคว้นเจตราษฎร์

ด้วยพระบารมีเทวดาจึงทรงย่นระยะทาง

ให้เสด็จถึงตัวเมืองภายในเวลาเพียงวันเดียว

ทั้งสี่พระองค์ได้ประทับแรมที่แคว้นเจตราษฎร์นี้

เมื่อ กษัตริย์เจตราษฎร์ ทรงทราบ

ได้กราบทูลขอถวายความอนุเคราะห์ทุกประการ

ทั้งเชิญเสด็จเสวยราชสมบัติแทนพระองค์

แต่ พระเวสสันดร มิทรงรับ ด้วยผิดพระประสงค์

ทรงขอเพียงให้ชี้ทางไปเขาวงกต

สถานที่ที่พระองค์ตั้งพระทัยมั่น

จะประทับรักษาพระจริยวัตรของนักพรตโดยเคร่งครัดสืบไป

กษัตริย์เจตราษฎร์ สุดที่จะโน้มน้าวพระทัยพระเวสสันดรได้

จำต้องทำตามพระประสงค์

ทรงทำได้เพียงตามส่งเสด็จจนสุดแดนแคว้นเจตราษฎร์

และทรงให้ พรานเจตบุตร ถวายงานเป็นผู้พิทักษ์ระวังระไว

มิให้ภยันตรายใดใดแผ้วพาน และมิให้สิ่งใดหรือใครเข้าไปรบกวนความสงบได้

ณ เขาวงกต ทั้ง ๔ พระองค์ทรงประทับในพระอาศรม

ที่พระอินทรเทพทรงบัญชาให้พระวิษณุกรรมเทพบุตร

เนรมิตไว้ให้พร้อมด้วยเครื่องบรรพชิต บริขารครบถ้วน

พระเวสสันดร ประทับในพระอาศรมหนึ่งโดยลำพัง

พระนางมัทรีกับสองพระกุมารประทับพักพระอาศรมหนึ่ง

ทั้งสี่พระองค์ทรงผนวชเป็นพระฤาษี

ต่างพระองค์ต่างทรงรักษาพระจริยวัตรของผู้ถือบวชโดยเคร่งครัด

สมดั่งพระหฤทัยตั้งมั่นทุกประการ

ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

กษัตริย์เจตราษฎร์ เป็นแบบอย่างของมิตรแท้ที่มีน้ำใจ

พร้อมจะช่วยเหลือยามมิตราตกทุกข์ได้ยาก

พระโบราณจารย์เจ้า ได้แสดงอานิสงส์แห่งการบูชาในเวสสันดรชาดกไว้โดยลำดับดังนี้

ผู้บูชากัณฑ์วนประเวสน์ (กัณฑ์ ที่ ๔)

จะได้รับความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า

จะได้เป็นบรมกษัตริย์ในชมพูทวีป

เป็นผู้ทรงปรีชา เฉลียวฉลาด

สามารถปราบอริราชศัตรูให้ย่อยยับไปได้

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนามหาเวสสันดรชาดก ซึ่งประดับด้วยคาถาประมาณ ๑,๐๐๐ คาถานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน มหาเมฆก็ยังฝนโบกขรพรรษให้ตก ในที่ประชุมแห่งพระประยูรญาติของเรา อย่างนี้เหมือนกัน.

ตรัสดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

พราหมณ์ชูชกในกาลนั้น คือ ภิกษุเทวทัต.

นางอมิตตตาปนา คือ นางจิญจมาณวิกา.

พรานเจตบุตร คือ ภิกษุฉันนะ.

อัจจุตดาบส คือ ภิกษุสารีบุตร.

ท้าวสักกเทวราช คือ ภิกษุอนุรุทธะ.

พระเจ้าสญชัยนรินทรราช คือ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช.

พระนางผุสดีเทวี คือ พระนางสิริมหามายา.

พระนางมัทรีเทวี คือ ยโสธราพิมพา มารดาราหุล.

ชาลีกุมาร คือ ราหุล.

กัณหาชินา คือ ภิกษุณีอุบลวรรณา.

ราชบริษัทนอกนี้ คือ พุทธบริษัท.

ก็พระเวสสันดรราช คือ เราเองผู้สัมมาสัมพุทธเจ้า แล.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท