เมื่อนิติศาสตร์เป็นทาสเศรษฐศาสตร์


เวลาทหารทำปฏิวัติ คุณว่าสับปะเหล่อไม่ควรเผาผี คนถีบสามล้อไม่ควรถีบ นักบัญชีเลิกทำบัญชี หรือ ครับ

วันนี้ ภายใต้ร่มเงาเย็นของรัฐบาลเงาทักษิณ พวกกลุ่ม นิติราษฎ์ ออกมากร่างอีกแล้ว ทำให้ผมไปปัดฝุ่นเอาบทความเก่าๆ ที่เขียนไว้มาโพสต์ เพื่อให้เป็นการจุดประกายปัญญา เพื่อหาทางออกกันต่อไป เห็นด้วยหรือไม่ ไม่ว่า ขอเพียงให้คิดก็คุ้มแล้ว

 

(โต้)  แถลงการณ์"นิติราษฎร์"ฉบับที่1

(ผม..ทวิช ....ตัดตอนมาลง โดยเนื้อความของดร. วรเจตน์ นำด้วย ??? ส่วนของผมนำด้วย ###  หมายเหตุ...ดร.วรเจตน์และพวก คือ กลุ่มคณาจารย์นิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ที่ออกมาแถลงการณ์สนับสนุนทักษิณในกรณีคดีความทั้งหลาย)

 

ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์  และพวก 5 อาจารย์ ได้เปิดตัวเว็บไซต์   www.enlightened-jurists.com ในวันนี้  พร้อม แถลงการนิติราษฏร์ ฉบับที่ ๑ เพื่อบอกเล่าความเป็นมาและจุดประสงค์ของการเปิดตัวเว็บไซต์ มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ 

 

???ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราปฏิเสธไม่ได้ว่า.....ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน

 

###ผมว่าคุณเป็นนักกฎหมายที่กำลังสับสน มันไม่มีกฎหมายไหนในโลกหรอกครับที่ไม่อิงประเพณี หรือ บุคคลที่ศรัทธา แม้แต่อังกฤษก็ใช้จารีตประเพณีเป็นรัฐธรรมนูญไม่ใช่หรือ สหรัฐอเมริกาก็เชื่อฟังบุคคลที่เขาศรัทธา เช่น ใช้งานอดีตประธานาธิบดีที่ผู้คนนับถือในการขับเคลื่อนวาระของรัฐบาลอย่างแยบยล

 

ประเพณีมันหล่อหลอมมาหลายพันปี กฎหมายคิดกันแค่สี่ปีสมัยเลือกตั้งแถมมีประโยชน์นักการเมืองและพ่อค้าแอบแฝง คุณว่าอันไหนมันน่าเชื่อถือกว่ากัน

 

???เพื่อจะไปให้พ้นจากสภาวะเช่นนี้ เราเห็นว่าสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาหรือที่บางท่านเรียกว่ายุคภูมิธรรมหรือ ยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment; les Lumi?res; Aufkl?rung) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคภูมิธรรมหรือพุทธิปัญญาในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘ ซึ่งในที่สุดแล้วเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย

 

###โธ่ คุณเอ๋ย ยุค enlightenment ของฝรั่งที่คุณเห่อนั้น  แท้จริงแล้วมันคือต้นเหตุแห่งยุคมืดในวันนี้ต่างหากเล่า ก็เพราะยุคนี้แหละที่นำสู่ยุคล่าอาณานิคมไปทั่วโลก ภายใต้ระบบ “ประชาธิปไตย” ที่พวกคุณทั้งหกยกย่องหนักหนา จนเป็นตราบาปต่อมนุษยชาติมาจนวันนี้ ที่อัฟริกา พม่า ฆ่ากันเป็นเบือทุกวันนี้เป็นผลพวงจากยุคนั้นทั้งสิ้น  ลองศึกษาหาทางเชื่อมโยงให้ดีนะครับ ขนาดคุณคิดเชื่อมโยงทักษิณกับความดีได้ คุณก็น่าจะฉลาดพอที่จะคิดเชื่อมโยงในประเด็นที่ผมเสนอมาได้สิ

 

 ...???การที่เราเรียกตนเองว่า enlightened jurists จึงมีความหมายแต่เพียงว่าเราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายอันปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล

 

##ผมถามคุณว่า “เหตุผล” คืออะไร คุณตอบได้ไหม สำหรับผมความโง่ที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์คือความ “งมงาย” ในเหตุผลนี่แหละ นี่ผมกำลังเสนอจะตั้งยุค postenlightenment ให้คุณนะ สิ่งที่ทำร้ายมนุษย์ชาติมากที่สุดก็คือเหตุผลนี่แหละ คิดดูสิ ความรักส่วนใหญ่ไม่ต้องการเหตุผล (เช่นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก)  แต่ความเกลียดส่วนใหญ่มาจากเหตุผลทั้งสิ้น คุณลองคิดดูสิ  ผมขอร้องว่าคุณอย่าบูชาเหตุผลจนงมงายเกินไป เอาพองามนะครับ

 

???เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหารและผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารและพร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร เราเห็นศาลยอมรับบรรดาประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารให้มีค่าบังคับเป็นกฎหมาย

 

###เวลาทหารทำปฏิวัติ คุณว่าสับปะเหล่อไม่ควรเผาผี  คนถีบสามล้อไม่ควรถีบ นักบัญชีเลิกทำบัญชี หรือ ครับ เขาก็ต้องทำหน้าที่เขาไป นักกฎหมายก็ต้องทำหน้าที่นักกฎหมายไป คือคำสั่งของคณะปฏิวัติเป็นกฎหมายครับ แต่ถ้าคุณไม่ชอบไม่เพียงแต่นักกฎหมาย แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องออกมาต่อต้าน ถ้าคุณไม่ยอมรับคำสั่งคณะปฏิวัติคุณก็ต้องไม่ยอมรับคำสั่งที่ให้มีการเลือกตั้งด้วยสิ แต่คุณชอบคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใช่ไหม แล้วคำสั่งอันชอบธรรมเช่นห้ามขายเหล้าหน้ามหาลัยคุณชอบไหม ตกลงคุณมีกี่มาตรฐาน

 

 

???เราเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรมและความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร

 ##คุณต้องถามก่อนว่า “ความยุติธรรม” คืออะไร นี่มันเป็นหน้าที่ของนักปรัชญานะครับ ไม่ใช่หน้าที่ของนักกฎหมาย คุณกำลังจะไปแย่งงานนักปรัชญาเขาทำ ในทางปฏิบัติมันก็เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะร่างกฎหมายให้ยุติธรรมต่อราษฎร ไม่ใช่หน้าที่ของนักนิติศาสตร์แต่ประการใด นักนิติศาสตร์มีหน้าที่ใช้กฎหมายให้เป็นธรรมแก่ราษฎร นี่คุณกำลังจะทำเกินหน้าที่ จนกลายเป็นผู้ร่างกฎหมายซะแล้ว อย่างนี้คุณต้องไปสมัครผู้แทน หรือ ไปเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติครับ

 

??? เราเห็นว่าการศึกษาวิชานิติศาสตร์อย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน ย่อมเท่ากับเป็นการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย

 

##ผมว่าคุณกำลังสบสนอีกแล้ว “การวิพากษ์วิจารณ์” กฎหมาย เป็นหน้าที่ของนักสังคมวิทยาครับ ถ้านักนิติศาสตร์ออกมาวิจารณ์กฎหมายก็แสดงว่าลำเอียงแล้ว แล้วจะตัดสินคดีความด้วยความเถรตรง ไม่ลำเอียง ตามอุดมคติของพวกคุณได้อย่างไรเล่า ผมว่าแค่เริ่มต้นความคิดของคุณก็ขัดกันในตัวเองเสียแล้ว

 

 

ขอแค่นี้ก่อนครับ ที่เหลือมันชักเฝือๆแล้ว

สรุปคือตกลง คุณกำลังจะเป็นนักติศาสตร์ประมาณ 10% อีก 90% คุณจะเป็นนักปรัชญา นักการเมือง นักสังคมศาสตร์ นักจริยธรรมศาสตร์ใช่ไหม  ผมไม่เถียงว่านักนิติศาสตร์ก็ควรมีสำนึกผิดชอบชั่วดีด้วย ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ตีความกฎหมายอย่างเดียว แต่อย่างน้อยคุณต้องมีนิติศาสตร์เกิน 50% ครับ ไม่ใช่ไปแย่งหน้าที่คนอื่นเขามาทำเสียหมด

 

แล้วผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อพวกคุณเป็นนักนิติศาสตร์ที่เลิศเลอปานนั้นทำไมพวกคุณถึงตัดสินให้ทักษิณพ้นผิดทุกกระทงความไปได้ ทั้งที่วิญญูชนทั่วไปที่ไหนที่เขาพอติดตามอ่านข่าวบ้าง เขาก็ตัดสินให้ผิดกันทั้งนั้น (ทั้งที่ไม่ต้องเรียนนิติศาสตร์สักบรรทัดเดียว) หรือนี่แสดงว่าคนทั้งหลายที่สนใจปัญหาบ้านเมืองเขาโง่หมด มีพวกท่านฉลาดล้ำและมีคุณธรรมระดับพุทธิปัญญา  enlightened อยู่กลุ่มเดียว

หมายเลขบันทึก: 462218เขียนเมื่อ 23 กันยายน 2011 06:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน 2012 00:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

โหดอีกและ........ ว่ากันว่าอาชีพที่เกี่ยวข้องกับกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ทนายความ ผู้พิพากษา หรือแม้แต่ นักนิติ เสี่ยงต่อการกระทำผิดพลาดได้ง่าย เป็นอาชีพที่มีขาข้างหนึ่งยืนอยู่บนปากนรกและขาอีกข้างแหย่ลงไปในนรก

I remember from an interview of a Philippines' presidential candidate some years ago.

He said "Power is Right".

And "If the laws does not work for us, then we make new laws that will work (for us)".

I thought about that for a long while and reluctantly agreed, after thinking about "traditions, human rights, and justice".

But I hold the Buddha's Siila:

--- the right to life for all beings (not just human)

--- the right to life supporting properties

--- the right to family and social associations

--- the right to true information and honest choice

--- the wrong of external excuses

The Siila is much more advanced than the UN human rights and UN animal rights.

The Siila is a stronger foundation for law and governance.

From the Siila: Justice is in the middle (unbiased)!

ทำไมพวกคุณถึงตัดสินให้ทักษิณพ้นผิดทุกกระทงความไปได้ ทั้งที่วิญญูชนทั่วไปที่ไหนที่เขาพอติดตามอ่านข่าวบ้าง เขาก็ตัดสินให้ผิดกันทั้งนั้น (ทั้งที่ไม่ต้องเรียนนิติศาสตร์สักบรรทัดเดียว)

ชัดเจนมากๆ  เห็นด้วยกับ  คุณ sr ค่ะ มีกฏหมายไปก็เท่านั้น เห็นมีแต่ช่องโหว่ เปิดโอกาสให้กลุ่มมีอำนาจไม่ว่า จะมากเงิน มากตำแหน่ง มากบารมี มากเก้าอี้ มาก ... ขอบพระคุณค่ะ

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท