สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายสิกขาบทข้อนี้ว่า มีข้อห้ามหรือขอบเขตทั้งโดยตรงและโดยอ้อมโดยตรง คือ น้ำเมา ได้แก่
๑. สุรา น้ำเมาที่กลั่น ที่เรียกกันว่า เหล้า
๒. เมรัย น้ำเมาที่ยังไม่ได้กลั่น ได้แก่ เบียร์ สาโท น้ำตาลเมา กระแช่ เป็นต้น
โดยทางอ้อม หมายถึง ยาเสพย์ติดให้โทษทุกชนิด เช่น ฝิ่น กัญชา สารไอระเหย เป็นต้นเป็นอันห้ามไว้ในศีลข้อนี้ กิริยาที่ทำไม่เฉพาะการดื่มอย่างเดียวแต่หมายถึงการสูบและการฉีดด้วย
การดื่มสุราและการเสพยาเสพย์ติดให้โทษที่ทำให้ศีลขาดนั้น ต้องพร้อมด้วยองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ
๑. ของนั้นเป็นของมึนเมา
๒. มีเจตนาจะเสพของมึนเมานั้น
๓. พยายามเสพ
๔. ให้ล่วงไหลผ่านลำคอลงไป
ในการพิจารณาโทษในการละเมิดสิกขาบทข้อนี้นั้น ในอัฏฐสาลินีได้กล่าวโทษไว้เฉพาะสุราอย่างเดียว ส่วนนอกนั้นก็อนุโลมตามข้อนี้เช่นเดียวกันว่ามีโทษ ๖ ประการ คือ
๑. ทำให้เสียทรัพย์
๒. เป็นเหตุก่อการทะเลาะวิวาท
๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
๔. ทำให้เสียชื่อเสียง
๕. ทำให้หมดความละอาย
๖. ทอนกำลังสติปัญญา
มีใครในโลกหล้าที่ไม่มีรอยมลทิน ตราบใดที่ยังมีกิเลสาอาสวะทั้งหลายอยู่ พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องมลทิน คือ มลทินของชีวิต ซึ่งมีตัวการสำคัญอันได้แก่ กิเลสและอกุศลกรรมซึ่งให้ผลความทุกข์ ท่านแสดงถึงสาเหตุให้เกิดพร้อมชี้ให้เห็นภัยและโทษ
ท่านแสดงมลทินของมนต์ได้แก่ การไม่ท่องบ่น
มลทินของบ้านเรือน ได้แก่ ความไม่ขยัน
มลทินของผิวพรรณ ได้แก่ ความเกียจคร้าน ชำระร่างกาย
มลทินของผู้รักษา ได้แก่ ความประมาท
มลทินของคู่สามีภรรยา ได้แก่ การนอกใจกัน
มลทินดังกล่าวมานี้ ย่อมทำลายชีวิตของผู้ที่มีมลทิน เหมือนสนิมที่เกิดจากเหล็กก็กัดกินเหล็กนั้นนั่นเอง ผู้มีปัญญา ควรกำจัดมลทินของตนทีละน้อยทุกขณะโดยลำดับ เหมือนช่างทองกำจัดสนิมทอง
(*ที่มา ดร.พระมหาไพเราะ ฐิตสีโล )
ไม่มีความเห็น