แนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียน : เกาให้ถูกที่คัน


การหาทางเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนในทุกระดับการศึกษา จะไม่ได้ผลเหมือนที่ผ่านมา ตราบเท่าที่การแก้ปัญหายังทำกันไม่ตรงจุด หรือเรียกง่ายๆ ว่า "เป็นการเกาไม่ถูกที่คัน"

          ด้วย "ภาษาอังกฤษ" มีความสำคัญสำหรับคนไทยมากขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งในการใช้ประโยชน์ด้านการสืบค้นทาง Internet (เพราะข้อมูลข่าวสารวิทยาการจากทั่วโลก 80 % จะเผยแแพร่เป็นภาษาอังกฤษ) การใช้ประโยชน์ในการสื่อสารกับคนได้ทั่วโลก (เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล)  การใช้ประโยชน์ในการสมัครงาน (ผู้ที่มีความสามารถพิเศษด้านการใช้ภาษาอังกฤษจะมีโอกาสมากกว่าในการได้รับคัดเลือกเข้าทำงาน) การใช้ประโยชน์ในการทำงาน (บุคลากรในสาขาอาชีพต่างๆ ที่มีความสามารถพิเศษด้านภาษาอังกฤษจะสามารถทำงานได้กว้างกว่า และทำรายได้ได้มากกว่าผู้ที่ไม่มีความสามารถดังกล่าว) และล่าสุด คุณนิติ นวรัตน์ (2554 : 15) ได้กล่าวไว้ในคอลัมน์ "เปิดฟ้าภาษาโลก" ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 31 สิงหาคม 2554 สรุปความได้ว่า กลุ่มประเทศ ASEAN 10 ประเทศ (ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ) ได้ทำความตกลงร่วมกัน (Mutual Recognition Agreement : MRA) เพื่อความสะดวกในการยอมรับคุณสมบัติของนักวิชาชีพที่สำคัญ และการถ่ายเทแรงงานฝีมือระหว่างกัน จึงได้ลงนามร่วมกันใน "MRA 7 สาขาวิชาชีพ" ได้แก่ วิศวกร นักสำรวจ สถาปนิก แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล และนักบัญชี ซึ่งจะส่งผลให้นับจากวันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป บุคลากรใน 7 สาขาอาชีพดังกล่าวของแต่ละประเทศ จะไปทำงานในประเทศไหนก็ได้ในกลุ่ม ASEAN  เพื่อเป็นการทบทวนความจำของท่านผู้อ่านเกี่ยวกับ "กลุ่มประเทศ ASEAN (The Association of Southeast Asia Nations)"  จึงขอแสดงแผนที่ ชื่อประเทศ และธงชาติของประเทศสมาชิก ASEAN ทั้ง 10 ประเทศ ดังภาพล่าง 

        

                               (http://thaibusinessbox.com/business/aec-information-center/)

          สวนทางกับการเพิ่มขึ้นของความสำคัญของภาษาอังกฤษสำหรับคนไทย  ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนในสถานศึกษาทุกระดับของไทยกลับตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันมาหาทางแก้ปัญหาดังกล่าว และกำหนดเป้าหมายให้ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนนักศึกษาไทย และคนไทยเพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้เขียนมองว่า ความพยายามใดๆ ก็จะยังคงได้ผลไม่แตกต่างจากความพยายามที่ผ่านมาอย่างยาวนานจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ประสบแต่ความล้มเหลว ตราบเท่าที่วิธีการแก้ปัญหานั้นๆ ยังไม่ตรงจุด หรือพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า "เป็นการเกาที่ยังไม่ถูกที่คัน"

         คำถามต่อไปก็คือ "แล้วที่คันมันอยู่ตรงไหนล่ะ" คำตอบอาจจะอยู่ในบทความเรื่อง "จิตวิทยากับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ"  ซึ่งกล่าวว่า "According to the research, most English students struggle and fail because of psychology, not because of methods, not because of teachers. Those things are important, but Tony Robbins talks about the fact that psychology is 80% of success. Psychology is 80% of success, so 20% are the methods you use to study, the schools you go to, the teachers you have, the books you use. Those are important, but the other 80% is psychology, your motivation, your emotions, how you manage your time. All of these things are in fact much, much more important. You must love what you learn. (Mareq. 2011 : Online)" ซึ่งสรุปความได้ว่า ผลการวิจัยชี้ว่า นักเรียนนักศึกษาที่เรียนภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่จะประสบกับความล้มเหลวเพราะปัจจัยทางจิตวิทยา ไม่ใช่ปัจจัยด้านวิธีการเรียนและด้านตัวครู ซึ่งแม้สองปัจจัยหลังจะมีความสำคัญ แต่ โทนี่ ร็อบบินส์ชี้ว่า ปัจจัยด้านจิตวิทยาสำคัญมากกว่ามาก เพราะส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ถึง 80 % ที่เหลือ 20 % จะอยู่ที่สถานศึกษา ครูอาจารย์ หนังสือเรียนและวิธีการเรียนรู้ ปัจจัยทางจิตวิทยา หมายถึง แรงจูงใจและอารมณ์ของผู้เรียนซึ่งจะต้องรักในสิ่งที่ตนเรียน รวมไปถึงการจัดการเรื่องเวลาในการเรียนรู้"   

         จากที่กล่าวมา ผู้เขียนจึงขอเสนอ "หลักการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ : เกาให้ถูกที่คัน"  โดยประยุกต์จากหลักปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของโรงเรียนสอนภาษาของเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ ดังภาพข้างล่าง ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ตรงจุดและครอบคลุม โดยมุ่งหวังว่า ผู้เกี่ยวข้องจะได้นำไปปรับใช้ เพื่อหาทางช่วยให้ผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนนักศึกษาไทยในทุกระดับการศึกษา รวมทั้งคนวัยทำงาน กระเตื้องขึ้นตามความคาดหวังของทุกฝ่าย โดยผู้เขียนขอเรียงลำดับหลักการแต่ละอย่างใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับลำดับในการปฏิบัติ และได้เพิ่มคำอธิบายขยายความจากข้อความที่ระบุใภาพ ดังนี้ 

 

                                               (http://lesuhorve.com/language/?page_id=150)

           หลักการที่ 1 More Motivation  "แรงจูงใจ (Motivation)" เป็นแรงที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมไปสู่เป้าหมาย ในทางจิตวิทยาถือว่า แรงจูงใจเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการเรียนรู้ และครูอาจารย์ที่สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ก็เท่ากับประสบความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงควรเริ่มด้วยการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้กับผู้เรียน ซึ่งทำได้โดยการแสดงให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการเป็นผู้มีทักษะภาษาอังกฤษ และการช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถตั้งเป้าหมายในการเรียนที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งผู้เรียนจำเป็นต้องรู้ระดับพื้นฐานของตนก่อน ในการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถภาพในการเรียนรู้ (Learning Copetencies) ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาต่างๆ ซึ่งสมรรถภาพด้านการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นหนึ่งในสมรรถภาพที่พัฒนานั้น ผู้เขียนได้เริ่มต้นจากการวัดแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียน (วัด 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ [Value/ Usefulness] ของภาษาอังกฤษ (2) ความสนุกและน่าสนใจ [Joyfulness/Interesting] ในการเรียนภาษาอังกฤษ และ (3) ความเชื่อว่าตนจะสามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้เป็นผลสำเร็จ [Self-efficacy Belief]) ผลการวัด พบว่า นักศึกษาทุกคนได้คะแนนด้านการเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของภาษาอังกฤษในระดับมากถึงมากที่สุด ได้คะแนนความสนุกและน่าสนใจในการเรียนภาษาอังกฤษที่ผ่านมาในระดับน้อย และได้คะแนนความเชื่อว่าตนจะสามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้สำเร็จในระดับน้อยถึงน้อยที่สุด ต่อจากนั้นได้ทดสอบพื้นฐานภาษาอังกฤษของผู้เรียนแต่ละคนในแต่ละทักษะ (ฟัง พูด อ่าน เขียน) แล้วกำหนดเส้นฐาน (Based Line) แต่ละทักษะของแต่ละคนตามผลการทดสอบ ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่จะมีเส้นฐานทุกทักษะอยู่ในระดับต้องปรับปรุง (Poor) มีไม่กี่คนที่มีบางทักษะอยู่ในระดับระดับพอใช้ (Fair) แล้วให้ผู้เรียนกำหนดระดับเป้าหมายในการพัฒนาในแต่ละทักษะด้วยตนเอง โดยมีเกณฑ์ว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้จะต้องสูงกว่าเส้นฐานอย่างน้อยหนึ่งระดับ ระดับของทักษะภาษาอังกฤษกำหนดไว้ 5 ระดับดังภาพข้างล่าง กระบวนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเริ่มจากการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษทั้ง 3 องค์ประกอบแต่เน้นการสร้างความเชื่อว่าตนจะสามารถทำได้ มากที่สุด เพราะเป็นองค์ประกอบที่นักศึกษามีน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับองค์ประกอบอื่น (ใช้สื่อกรณีตัวอย่างนักศึกษาที่มี IQ ระดับ ปัญญาอ่อน แต่เรียนจบปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏสวนดุสิตและเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ ที่มี IQ ปกติ ในการเรียนภาษาอังกฤษ เป็นสื่อวีดิทัศน์ที่ผู้เขียนบันทึกจาก "รายการตีสิบ" สถานีโทรทัศน์ช่อง 3) 

    

            หลักการที่ 2 Positive Attitude มีผลการวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ที่แสดงว่า "เจตคติ (Attitude)"  มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ทุกวิชา ของผู้เรียนในทุกระดับการศึกษา ผู้ที่มีเจตคติที่ดี (Positive Attitude) ต่อวิชาที่เรียน และต่อครูอาจารย์ผู้สอน เช่น ชอบวิชา ชอบเรียน ชอบผู้สอน จะมีโอกาสเรียนรู้ได้ดีกว่าผู้ที่มีเจตคติไม่ดี (Negative Attitude)  เช่น ไม่ชอบวิชา ไม่ชอบเรียน และ/หรือไม่ชอบผู้สอน ผู้เรียนส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์ที่ทำให้มีเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เพราะเรียนแล้วไม่เข้าใจ เรียนไม่สนุก ทำข้อสอบไม่ได้ ผลการเรียนไม่ดี วิธีการสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนทำได้โดยการทำให้การเรียนสนุก น่าสนใจ บทเรียนมีความหมายคือสัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียน และให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติกิจกรรมแบบตื่นตัว (Active Learning) ในการวิจัยของผู้เขียนนั้น การพัฒนาทุกทักษะในชั้นเรียน จะใช้เนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกันทุกทักษะ และสัมพันธ์กับสถานการณ์จริง เช่น ในภาคเรียนที่ 1 จะใช้เนื้อหาเกี่ยวกับ "งานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาที่จังหวัดอุบลฯ" (เดือนกรกฎาคม) และ "วันแม่" (เดือนสิงหาคม) เช่น ทักษะการฟัง-พูด (สนทนา) ภาษาอังกฤษ  ได้ใช้วีดิทัศน์ที่บันทึกจากรายการ "English Minute" ซึ่งดำเนินรายการโดย Andrew Biggs เป็นรายการที่นำเสนอบทสนทนาภาษาอังกฤษที่ดูสนุก (ตัวอย่างบทสนทนา เช่น "What did you do for your mother on the Mother's Day?...) ให้นักศึกษาแต่ละคู่ ฝึกสนทนาตามบทสนทนาที่ได้ชม แล้วในสัปดาห์ต่อไปสนทนาตามที่ตนได้ปฏิบัติจริง การพัฒนาทักษะการอ่านการเขียน ให้อ่านเอกสารจริงที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ "แม่" "วันแม่" และให้เขียนบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองได้ทำในวันแม่ ภาคเรียนที่สองจะใช้เนื้อหาเกี่ยวกับ "งานประเพณีลอยกระทง" (เดือนพฤศจิกายน) "วันพ่อ" (เดือนธันวาคม) "วันขึ้นปีใหม่" (เดือนมกราคม) ท่นที่ต้องการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้สนุกน่าสนใจในลักษณะดังกล่าว สามารถศึกษาเทคนิคและวิธีการจัดกิจกรรมในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้จากบันทึกต่างๆ ของ ดร.ขจิต ฝอยทอง ใน "Khajit's Blog" ซึ่งมีทั้งการเรียนรู้ด้วยเพลง และเกมต่างๆ อย่างหลากหลาย ที่ใช้ได้กับทุกระดับการศึกษา รวมทั้งระดับการศึกษาผู้ใหญ่

     

                                   

         หลักการที่ 3 Your Learning Style ผู้เรียนแต่ละคนมี "แบบการเรียนรู้ (Learning Style)" ของตนเองที่อาจจะเหมือนกับหรือต่างจากคนอื่น แบบการเรียนรู้เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนแต่ละคนชอบใช้และจะเรียนรู้ได้ดีด้วยวิธีการเรียนรู้ในแบบนั้นๆ ครูควรศึกษาแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนและหาทางให้แต่ละคนได้เรียนรู้ในแบบของตน เพื่อให้การเรียนรู้เป็นเรื่องง่ายและได้ผลมากขึ้น ทฤษฎีที่กล่าวถึงแบบการเรียนรู้มีอยู่หลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน ว่าเป็นทฤษฎีพื้นฐานและนิยมใช้ในการเรียนภาษา คือ ทฤษฎีที่แบ่งผู้เรียนเป็น 3 ประเภทดังภาพข้างล่าง ซึ่ง Haynes (2009 : Online) ได้อธิบายว่า "Auditory Learners" คือ ผู้เรียนที่เรียนรู้ได้ดีจากการฟัง และสามารถจำสิ่งที่ฟังได้ ผู้เรียนประเภทนี้จะสนุกกับการพูดคุย สัมภาษณ์ การอ่านออกเสียง กิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียนกลุ่มนี้ ได้แก่  : interviewing, debating, participating on a panel, giving oral reports, participating in oral discussions of written material "Visual learners" คือ ผู้เรียนที่เรียนรู้ได้ดีจากการดู และสามารถจำสิ่งที่ได้ดูได้ ผู้เรียนประเภทนี้จะชอบการอ่านในใจ และการสังเกต กิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียนกลุ่มนี้ ได้แก่ : computer graphics, maps, graphs, charts, cartoons, posters, diagrams, graphic organizers and text with a lot of pictures และ "Tactile Learners" คือ ผู้เรียนที่เรียนรู้ได้ดีจากการสัมผัส พวกเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ตนได้ลงมือเขียน และเรียนรู้ได้ดีจากการลงมือทำ  กิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียนกลุ่มนี้ ได้แก่  : drawing, playing board game, making dioramas, making models, following instructions to make something การสอนอ่านกับผู้เรียนกลุ่มนี้เหมาะที่จะใช้ "The Language Experience Approach (LEA)" และ "The Whole Language Approaches"  

              

                           (http://www.everythingesl.net/inservices/learningstyle.php)

         หลักการที่ 4 More Knowledge and More Skill  คือ เพิ่มพูน "ความรู้ (Knowledge)"  และพัฒนา "ทักษะ (Skills)" ให้ครอบคลุมทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาได้อย่าง "ถูกต้อง ( Accuracy)"และ "คล่องแคล่ว (Fluency)" สถาบันการศึกษาและชุมชนควรจัดสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองของผู้เรียน (ตัวอย่างเช่น ในภาพล่าง บนต้นไม้บริเวณที่นั่งทำงานของนักศึกษา หลังอาคารคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้ติดป้ายคำพังเพยของไทยเทียบกับคำพังเพยภาษาอังกฤษเอาไว้ ซึ่งสามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองได้) และกระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากแหล่งเรียนรู้หลากหลายรอบตัว ในการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถภาพด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียน  ผู้เขียนได้กระตุ้นและกำหนดให้นักศึกษาเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากแหล่งเรียนรู้รอบตัว เช่น จากบุคคล จากป้ายต่างๆ จากกล่องผลิตภัณฑ์ จากรายการโทรทัศน์ จากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร จากแบบฟอร์ม และ Brochure ที่หน่วยงาน สถานประกอบการต่างๆ จัดทำขึ้น และจากการสืบค้นทาง Internet ฯลฯ โดยให้บันทึกการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากแหล่งต่างๆ ดังกล่าวเป็นเวลา 2 เดือน     

      

         หลักการที่ 5 More Confidence เพิ่ม "ความมั่นใจ (Confidence)" ในการใช้ภาษาอังกฤษ โดยการให้ผู้เรียนมีโอกาสฝึกปฏิบัติการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง (Real Life Situations) ดังภาพล่างที่ผู้เขียนได้ให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีทำกิจกรรมพัฒนาการฟัง-พูดภาษาอังกฤษโดยการออกไปสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวตะวันตก (The Westerners : คำสุภาพของคำว่าฝรั่ง) ที่ไปเที่ยวงานประเพณีแห่เทียนที่อุบลฯ ตอนที่ลูกชายไปเยี่ยมผู้เขียนที่เมือง Perth, เมืองหลวงของรัฐ Western Australia ผู้เขียนได้ให้เขาเรียนรู้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง โดยให้เขาสื่อสารกับชาว Aussies ด้วยตนเอง (สำเนียง Aussie จะฟังยากกว่าสำเนียงของชาวอังกฤษและอเมริกันมาก แต่ส่วนใหญ่อาจารย์ที่สอนจะเป็นชาวอังกฤษ และที่ออสเตรเลียจะใช้ "ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ [British English])  เวลาไปซื้ออาหารแบบใส่ถุงกลับบ้าน (Take Away) ผู้เขียนก็จะบอกประโยคสื่อสารให้ลูก แล้วให้เขาเข้าไปซื้อโดยผู้เขียนจะคอยอยู่นอกร้าน แรกๆ ก็ได้อาหารไม่ตรงกับที่ต้องการ ตอนหลังเขาก็ทำได้  มีครั้งหนึ่งลูกต้องการใช้  Mobile Phone ที่นำไปจากเมืองไทย ซึ่งก็ต้องโทรศัพท์ไปลงทะเบียนก่อน ผู้เขียนได้ให้ลูกโทรฯ สมัครเอง ปรากฏว่าเขาก็กล้าที่จะสื่อสาร แต่ปรากฏว่าครั้งแรกไม่สำเร็จเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ลูกเขียน "Opened Diary" เกี่ยวกับประสบการณ์ดังกล่าวไว้ จำข้อความตอนท้ายได้ติดตาว่า "...เสียความมั่นใจไปเยอะเลย" ผู้เขียนรู้สึกสงสารลูก แต่เขาเองก็ไม่ยอมแพ้ วันหลังเขาลองใหม่และก็ทำได้สำเร็จ การพูดภาษาอังกฤษนี่มีสูตรสำคัญข้อแรก คือ "ต้องกล้าและไม่กลัวผิด"  เวลาชาวต่างชาติพูดภาษาไทยผิด เราเห็นเป็นสิ่งที่น่าเอ็นดูฉันใด เวลาเราพูดภาษาอังกฤษผิด ก็ย่อมเป็นสิ่งที่น่าเอ็นดูในสายตาของชาวตะวันตกฉันนั้น

  

             และขอเพิ่มหลักการที่ 6 Doing Classroom Action Research to Promote Students' Learning English คือ การทำวิจัยชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนนักศึกษา พอพูดถึงคำว่า "วิจัย" เรื่องแรกที่อยากจะพูดถึง คือ "ปัจจัยทางจิตวิทยา" ครูอาจารย์ส่วนใหญ่มักจะมีเจตคติทางลบต่อการวิจัย เช่น ไม่ชอบการวิจัย เห็นว่าการวิจัยเป็นเรื่องยาก คิดว่าตนเองจะทำวิจัยไม่ได้  ซึ่งความคิดหลังสุดสำคัญมาก เพราะผลการวิจัยชี้ว่าคนที่ทำอะไรได้สำเร็จ คือ ผู้ที่เชื่อว่าตนจะสามารถทำได้สำเร็จ จึงขอเริ่มด้วยการบอกว่า "Doing classroom action research to promote students' learning English : We can do it!" หรือ "การทำวิจัยชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนนักศึกษานั้น พวกเรา (ครูอาจารย์ภาษาอังกฤษทุกคน) สามารถทำได้"

              

 

            จริงๆ แล้ว แรงบันดาลใจในการเขียนบันทึกนี้ มาจาก "ท่าน ผศ.โสภณ เปียสนิท" ที่เข้าไปเขียนความเห็นในบันทึกหนึ่งของผู้เขียนในวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ว่า "กลับมาติดตามผลครับและเจรจาเพิ่มเรื่องวิจัยด้านภาษาอังกฤษ มีทางไหนแนะกันบ้างครับ ผมไม่มีใจรักทางด้านนี้เท่าใดเลย แต่สภาพแวดล้อมเคล้นคลึงผมจนจะน่วมแล้ว" แต่บันทึกนี้ต้องการให้ทุกท่านได้ประโยชน์ ทั้งคนทำงานและนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตน ผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกหลานของตนพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ และครูอาจารย์ที่รับผิดชอบด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ รวมถึงศึกษานิเทศก์ที่มีบทบาทในการแนะนำให้คำปรึกษาครูด้านการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

            สำหรับครูอาจารย์ภาษาอังกฤษที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้ และสนใจจะทำวิจัยชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนนักศึกษาที่ตนรับผิดชอบ ลองใช้ "กรอบหลักการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (หลักการที่ 1-5)"  และใช้ "วงจรการทำวิจัยชั้นเรียน" ดังภาพล่าง สำหรับเป็นกรอบแนวคิดในการวางแผนการวิจัย ดู โดยเริ่มจาก 1) Plan on what youknow คือ การวางแผนจะเริ่มจากความรู้ของท่านเกี่ยวกับสภาพปัญหาในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนในชั้นที่ท่านสอน และ  ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (หลักการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (หลักการที่ 1-5)" 2) Fine meaningful questions คือ ตั้งคำถามวิจัยไว้ว่า การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยประยุกต์หลักการที่ 1-5 จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ-เจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ และเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนนักศึกษาของท่านได้หรือไม่ 3) Formulate plan ก็คือ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามหลักการที่ 1-5 4) Implement & Collect data คือ นำแผนไปใช้ในการจัดการเรียนรู้และเขียนบันทึกสิ่งที่สังเกตพบในขณะจัดการเรียนรู้ (บันทึกหลังสอน) โดยควรให้กัลยาณมิตรสังเกตการสอนและบันทึกข้อสังเกตให้ด้วย 5) Share what you learned การทำวิจัยควรมีกัลยาณมิตรร่วมทำซึ่งผู้ที่ร่วมทำก็สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในขั้นที่ 4 กันได้ 6) Evaluate plan & data นำข้อมูลที่ได้จากขั้นที่ 4-5 มาใช้ในการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ และ 7) Take action to make change คือ นำผลการประเมินมาใช้ในการปรับเปลี่ยนแผนการจัดการเรียนรู้ของตนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และอย่าลืมว่า เพื่อตอบคำถามวิจัยในข้อที่ 2 ต้องมีเครื่องมือวัดแรงจูงใจ-เจตคติ ทักษะภาษาอังกฤษที่ต้องการพัฒนา ที่ต้องนำไปใช้ในการวัดก่อนและหลัง Implement เพื่อนำผลการวัดมาเปรียบเทียบกันจึงจะตอบคำถามได้   (ควรศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวิจัย และตัวอย่างการวิจัยที่มีคุณภาพประกอบ) 

           ถ้าท่านใดมีข้อชี้แนะ มีตัวอย่างการวิจัยชั้นเรียนที่ตนเองทำ และหรือท่านใดต้องการคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมก็พูดคุยแลกเปลี่ยนเข้ามาได้นะคะ ขอบคุณค่ะ 

   

           (http://vheejhe.blogspot.com/2011/07/classroom-action-research-car.html)

 แหล่งอ้างอิง

      คุณนิติ นวรัตน์  (2554, 31 สิงหาคม).  เปิดฟ้าภาษาโลก. ไทยรัฐ.  หน้า 15.

      วิไล แพงศรี. (2553). การวิจัยและพัฒนาเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

                   ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. รายงานการวิจัย.

                   อุบลราชธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.

     Haynes, Judie. (2009). Teach to Students' Learning Styles. Retrieved August 30, 2011 from

                   http://www.everythingesl.net/inservices/learningstyle.php.

     Mareq [Pen Name].  (2011). The Psychology in English Learning.  Retrieved August 30,

                  2011 from  http://mareq22.hubpages.com/hub/The-psychology-in-English-learning.

หมายเลขบันทึก: 457133เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2011 04:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม 2013 09:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

จะติดตามต่อคะ

ชอบในหลักการที่ 3 มาก แต่ละคนมี learning skill ต่างกัน

สำหรับตัวเอง..คิดว่าเป็นพวกเรียนรู้จากการทำ (tactic) คะ พูดผิด เขียนผิด แล้วได้รับ feedback ถึงจะจำดี

คนใกล้ตัวคอย feedback ประจำ แต่ถ้าไม่นุ่มนวล จะงอนแทน :-)

 

  • ขอบคุณ "ลูกมะปรางเปรี้ยวIco24" "อาจารย์หมอ CMUpaIco48" และ "Arjarn PinkyIco24" มากนะคะ ที่เข้ามาให้กำลังใจ
  • อาจารย์หมอคะ ขอบคุณมากนะคะที่กรุณาให้ความเห็น และนำไปใช้กับตนเอง ตอนที่อาจารย์หมอบอกว่า ตนเองเป็นผู้เรียนประเภทไหนนั้น ในบันทึกยังไม่ได้อธิบายลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท ตอนนี้ได้อธิบายไว้แล้ว ลองดูใหม่นะคะ อาจารย์หมออาจจะเปลี่ยนประเภทของตนเองก็ได้นะคะ
  • จากข้อมูลที่เพิ่มเข้ามาในย่อหน้าแรกของบันทึก หวังว่า ปี 2558 อาจารย์หมอคงไม่ไปทำงานที่สิงคโปร์นะคะ
  • ขอบคุณอาจารย์หมออีกครั้ง ที่บอกว่าจะติดตามต่อค่ะ
  • เห็นอาจารย์หมอเพิ่มบันทึกตั้งหลายเรื่อง (ขยันเขียนและเขียนได้เร็วมาก) จะตามไปอ่าน แต่ยังตามไปไม่ทันค่ะ
  • ขอบคุณคะอาจารย์ เริ่มลังเลว่าจะจัดตัวเองเป็น visual learner หรือ tactile คะ ชอบจำรูปภาพ และชอบการเขียนด้วย แต่ อ่อนแน่ๆ เรื่องเรียนรู้จากการฟัง 
  • เรื่องการถ่ายเทแรงงานฝีมือระหว่างประเทศ น่าสนใจมากคะ เคยได้ยิน แต่เพิ่งรู้กำหนด 2558 -- สิงคโปร์ กับ ไทย น่าจะต่างคนต่างแย่งกันดึงคะ สิงคโปร์เงินเดือนให้เยอะก็จริงแต่แคบและค่าครองชีพสูง..ไทยเงินน้อยหน่อย แต่ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์กว่า..รักเมืองไทยคะ :-)

 

  • "อาจารย์หมอ CMUpalIco48" คะ ไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะจัดอยู่ในกลุ่มที่มี "Learning Style" แบบไหนนะคะ แค่ที่อาจารย์หมอเป็น "The Idol" ของผู้ที่มี "Positive attitude towards English" มี "Motivation to learn English" และ "Always study English" ก็เป็นการเพียงพอแล้ว
  • ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาสัดส่วนของคนที่มี "Learning Stlye" ในแบบต่างๆ พบว่า คนในแบบ "Tactile Learners" จะมีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาเป็นแบบ "Visual learners" ส่วนคนในประเภท "Auditory Learners" จะมีสัดส่วนน้อยที่สุด และบางคนก็มีแบบการเรียนรู้มากกว่าหนึ่งแบบอยู่ในตัว ค่ะ
  • เห็นด้วยค่ะกับข้อวิเคราะห์เปรียบเทียบการทำงานในสิงคโปร์และในไทย ของอาจารย์หมอ และชื่นใจค่ะที่อาจารย์หมอปิดท้ายว่า "...รักเมืองไทย" เพราะเท่ากับเป็นสิ่งยืนยันว่า อาจารย์หมอจะไม่ทำในสิ่งที่เรียกกันว่า "สมองไหล" ใช่ไหมคะ
  • และขอบคุณอาจารย์หมอมากนะคะ ที่กรุณาติดตามอย่างต่อเนื่อง
  • ขอบคุณ "ลูกขจิตIco48" มากนะคะ ที่เจียดเวลาแวะมาให้กำลังใจอาจารย์แม่
  • ในบันทึกนี้ อาจารย์แม่ได้ถือวิสาสะแนะนำให้ผู้อ่านที่สนใจกิจกรรมสร้างเสริมเจคติที่ดีต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เข้าไปศึกษาตัวอย่างกิจกรรมจาก "Khajit's Blog" โดยไม่ได้แจ้งให้ลูกขจิตทราบก่อน ลูกขจิตคงไม่ว่าอะไรนะคะ
  • ช่วงนี้อาจารย์แม่ยุ่งทุกวัน เลยยังไม่มีเวลาเข้ามาติดตามอ่านบันทึกของลูกขจิต และหลายๆ บันทึกที่ตนเองสนใจ เมื่อวานสอนจากเช้าถึงเกือบเที่ยง บ่ายตรวจงาน สี่โมงเย็นไปรดน้ำศพ กลางคืนไปร่วมฟังสวดอภิธรรม (เศร้าใจมาก เพื่อนอาจารย์ในคณะ ภรรยาอดีตอธิการบดี ซึ่งจะเกษียณปี 55 พร้อมกับอาจารย์แม่ เสียชีวิต [ป่วย]) เสาร์-อาทิตย์นี้ก็ต้องขับรถพาพี่สาวที่อยู่อุบลฯ ด้วยกันไปที่ยโสธร ไปรับพี่รับน้องที่ยโสธรไปเพลที่วัดบ้านแม่ และไปทำบุญที่วัดต่างๆ ที่ยโสธรค่ะ พ่อใหญ่สอที่ฟาร์มก็เรียกร้องให้อาจารย์แม่ไปช่วยงานฟาร์ม ที่อาจารย์แม่เพิ่งไปตัดแต่งกิ่งไม้ที่บดบังต้นไม้ใกล้บ้านฟาร์ม และไปปลูกไม้ผล-ไม้ประดับ ที่สวนยาง มาเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่แล้ว ค่ะ 
  • ขอบคุณ "คุณอักขณิชIco24" มากนะคะ ที่แวะมาให้กำลังใจ
  • คุณอักขณิชมีโอกาสไปใช้ชีวิตในอเมริกา ถ้ามีเกร็ดความรู้อะไร เกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษในอเมริกา เล่าแลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ เพราะครูอาจารย์เราส่วนใหญ่จะไม่มีโอกาสเรียนรู้ภาษาในประเทศที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่  
  • วันที่ 1 ก.ย. 54 ไปร่วมพิธีรดน้ำศพเพื่อนอาจารย์ในคณะ ได้เจอ ผศ.ทินกร และ ผศ.ดร.จิตกร (ท่านหลังปัจจุบันเป็นคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ได้เล่าให้ท่านทั้งสองฟังเกี่ยวกับคุณอักขณิช ซึ่ง ผศ.ดร.จิตกร พูดถึงคุณอักขณิชในเพศบรรพชิตตอนที่พบกันที่อเมริกา เลยบอกท่านว่า คุณอักขณิชได้ไปใช้ชีวิตผู้ครองเรือนอย่างอบอุ่นกับภรรยาชาวเหนือและลูกน้อยทั้งสองที่เชียงใหม่เป็นเวลา 15 ปีมาแล้ว (ก็แสดงว่าเวลาที่พบกัน ย้อนหลังไปเกิน 15 ปีสิคะ) 
  • วุ่นวายกับการงาน
  • ตอนนี้สำเร็จขั้นตอนการสอนปริญญาโท
  • เรื่องสัมมนาการสอนภาษาอังกฤษแล้ว
  • เลยเอามาฝาก
  • อาจารย์แม่ด้วย
  • สบายดีไหมครับ ฝนทางอุบลฯตกไหมครับ
  • http://www.gotoknow.org/blog/yahoo/458673
  • อ่านความเห็นของ "ลูกขจิตIco48" อย่างต่อเนื่องมาครบ 5 เดือน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยของลูกขจิต อาจารย์แม่เป็นห่วงนะคะ คนเราไม่ใช่เหล็กไหล แม้จิตวิญญาณจะสู้ แต่ร่างกายเมื่อเขาไม่ไหวเขาก็จะประท้วงเอาได้นะคะ
  • ในอดีตที่อาจารย์แม่อายุยังไม่มากขนาดนี้ เคยทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง จนร่างกายมันสู้ไม่ไหวมันเลยประท้วงโดยมีอาการเสมือนโลกหมุนคล้ายประสบการณ์ตอนแผ่นดินไหวปี 2518 (ขณะเรียนปริญญาโทปีที่ 2 ที่ มศว.ประสานมิตร) ทำให้ทรงตัวไม่อยู่ รอให้หายเองมันไม่หายเลยต้องไปพบหมอ หมอบอกว่าร่างกายมัน "น็อค" ต้องให้น้ำเกลือ อาจารย์แม่บอกหมอว่า มีงานด่วนรออยู่หลายอย่างไม่มีเวลามานอนให้น้ำเกลือ หมอศอกกลับว่า คุณจะยอมเสียเวลามานอนรับน้ำเกลือสักวัน แล้วมีโอกาสกลับไปทำงานได้อีก หรือว่าจะปฏิเสธการนอนรับน้ำเกลือแล้วไม่มีโอกาสทำงานได้อีกเลย อาจารย์แม่เลยต้องยอมแพ้ ยังไงลูกขจิตก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ
  • อาจารย์แม่ตามไปอ่านบันทึกสุดท้ายของลูกขจิตเกี่ยวกับการสัมมนาการสอนภาษาอังกฤษระดับปริญญาโทแล้วค่ะ แต่ยังศึกษาได้ไม่หมด จะกลับเข้าไปอ่านต่อภายหลัง เผื่อจะได้กิจกรรมไปฝากนักศึกษาที่ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ สอนภาษาอังกฤษทั้งระดับประถมและมัธยมศึกษารวม 7 คน ที่ผ่านมาก็ได้ให้แต่ละคนเข้าไปศึกษาและเลือกกิจกรรมในบันทึกของลูกขจิตไปใช้อยู่แล้วค่ะ
  • วันนี้อาจารย์แม่ก็ไปนิเทศ จากการประชุมรวมนักศึกษาระบุปัญหาว่า ที่ผ่านมา ทางโรงเรียนให้นักศึกษาไปช่วยงานเพื่อเตรียมรับการประเมินคุณภาพภายนอก จนแทบจะไม่ได้สอน และในการสอนก็พบปัญหาว่า นักเรียนป.5, ป.6 พื้นฐานภาษาอังกฤษต่ำมาก จนไม่สามารถจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรได้ บางคน A B C D ยังรู้ไม่ครบเลยค่ะ (โรงเรียนเทศบาลในเทศบาลนครอุบลฯ) วันพฤหัสฯ ก็นัดนิเทศการสอนภาษาอังกฤษชั้น ม.1, ม.2 ที่โรงเรียนเทศบาลในอำเภอวารินชำราบค่ะ 
  • ที่อุบลฯ ฝนตกทุกคืนทุกวันเลยค่ะ เมื่อวานไปงานพระราชทานเพลิงศพเพื่อนอาจารย์ ตอนที่จะไปวางดอกไม้จันทน์ฝนตกหนักและตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนพิธีกรบอกให้แขกวางดอกไม้จันทน์ที่พานข้างล่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำเช่นนั้น แต่อาจารย์แม่กับพ่อใหญ่สอก็หาทางขึ้นไปวางที่เมรุจนได้ เพราะอยากขึ้นไปส่งเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วตอนออกไปขึ้นรถกลับก็ต้องถอดรองเท้าหิ้วเพราะน้ำท่วมถนนค่ะ   

 

  • ขอบคุณ "คุณ KornIco48" ช่างเทคนิค ศูนย์หัวใจสิริกิตติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมากนะคะ ที่แวะมาให้กำลังใจ
  • "คุณ Korn" มี "เทคนิคการเขียนบันทึก" ที่น่าติดตาม สมัยเรียนคงมีผลการเรียนด้านการเขียนในระดับดีนะคะ
  • ขอบคุณ "ดร.พจนาIco48" มากนะคะ ที่แวะมาให้กำลังใจ ตอนนี้อยู่ที่แคนาดา หรือที่กทม.น้า
  • รูปนี้ก็ชอบมากค่ะ สวยเซกชี่จังเลยค่ะ
  • สวัสดีครับอาจารย์
  • คนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษเก่งถือว่ายอดเยี่ยมครับ เพราะมีความสามารถทั้งสองภาษา ไม่เหมือนเจ้าของภาษาที่เป็นภาษาสากล ไม่ต้องปรับตัวเรียนรู้มาก ในด้านของพูดสื่อสาร แต่ไม่แน่ใจว่าด้านไวยากรณ์เขาจะมีปัญหาบ้างหรือไม่
  • ในด้านการจัดการเรียนการสอน ทั้งตัวผู้เรียน ผู้สอน และสภาพแวดล้อมสำคัญทั้งนั้นครับ ผู้เรียนต้องรักที่จะเรียน โดยผู้สอนจะต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนชอบ ให้เรียนรู้สึกสนุก ไม่ยาก ไม่น่ากลัว มั่นใจที่จะใช้ เข้าใจความแตกต่างในการเรียนรู้ของผู้เรียน สอนเข้าใจง่าย และมีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ ทั้ง พูด ฟัง อ่าน เขียน อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งไม่ง่ายครับ
  • ส่วนปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน คือ การไม่ค่อยได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากนัก เพราะอะไรที่ไม่ค่อยใช้จึงมักจะลืมครับ และส่วนหนึ่งกลัวว่าจะใช้แล้วจะใช้ผิดๆ ถูกๆ ยกเว้นในแวดวงวิชาการที่สัมผัสเป็นประจำ และลักษณะของงานบังคับให้ต้องเรียนต้องรู้
  • ขอบคุณอาจารย์ที่ไปทักทายบันทึกพร้อมกับคำชี้แนะครับ ที่ขอนแก่นฝนตกทั้งคืนจนเกือบเที่ยง โปรดรักษาสุขภาพด้วยครับ

 

  • แหม! "คุณชำาญ เขื่อนแก้วIco48" วิเคราะห์เรื่องการเรียนการสอนและการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และครอบคลุม ประหนึ่งเป็นนักการศึกษาผู้คร่ำหวอดในวงการเลยนะคะ
  • ที่บอกว่า "แต่ไม่แน่ใจว่าด้านไวยากรณ์เขา (เจ้าของภาษา) จะมีปัญหาบ้างหรือไม่" มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ ชาวตะวันตกเวลาเขียนภาษาอังกฤษก็เหมือนคนไทยที่พูดภาษาไทยได้คล่องแบบอัตโนมัติ แทบไม่ต้องคิด แต่เวลาเขียนก็มีความสามารถอยู่หลายระดับ ตั้งแต่เขียนไม่ได้เลย เขียนได้บ้างแต่แบบถูกๆ ผิดๆ เขียนได้ในระดับพอใช้ ระดับดี และระดับดีเยี่ยม เคยเห็นนักศึกษาปริญญาโทคนแรกที่ดูแล เขียนบทคัดย่อภาษาอังกฤษ (Abstract) ไปให้ดูครั้งแรก ถูกไม่ถึง 20 % บอกให้กลับไปเขียนมาใหม่ หนักกว่าเดิมอีก ถามว่าใครแนะนำ เขาบอกว่า "...เป็นฝรั่ง" รู้สึกว่าสุดท้ายต้องเขียนให้ (ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่ไม่มีเวลาให้กลับไปแก้ไขแล้ว) และเขาก็ได้รับผลการประเมินปริญญานิพนธ์ระดับดีเยี่ยม (เราเองมีหน้าที่ดูแลบทที่ 1, 2, 5 บทที่ 3, 4 อาจารย์ทางสถิติ วิจัยดูแล แต่ทุกรายในทางปฏิบัติเราต้องดูแลทุกบทเพราะท่านที่ดูแลบทที่ 3-4 ทุกท่านจะไม่มีเวลาเพราะไปรับ Job ดูแลทุกสาขา ในทุกรายเราเองจึงมีสัดส่วนของการดูแลแต่จาก 75-95 % เพราะเน้นคุณภาพของงาน)
  • เรื่องการเขียนบทคัดย่อ จริงๆ แล้วนักศึกษาปริญญาโทต้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการวิจัย แต่น่าเสียดายมากที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ไม่ตรงจุด ทำให้นักศึกษาไม่มีทั้งทักษะการอ่านเอกสารภาษาอังกฤษเพื่อนำไปอ้างอิงในบทที่ 1, 2, 5 และไม่มีทักษะในการเขียน Abstract แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่เขียนเองแล้ว มีบริการจ้างเขียน ซึ่งเป็นบริการของบัณฑิวิทยาลัย แต่เชื่อไหมคะ เนื้อหาที่เขียนมาจะไม่ครบ (ประเด็นที่ไม่เคยเขียนก็จะเขียนไม่ถูกเลยข้ามไปเลย และบางแห่งก็เขียนผิดความหมาย คนที่จะแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษได้ตรงความหมายไม่ใช่แค่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ต้องเข้าใจเนื้อหานั้นๆ และเข้าใจเทคนิควิธ๊วิจัยที่ใช้ในงานวิจัยนั้นๆ ด้วย)    

ตาดู   หูฟังแล้วก็เอามือคลำใช่ไหมคะอาจารย์ขา

ตาดูก็สวยดี  หูฟังก็ไพเราะเข้าที แต่เอามือคลำ...นี่สิคะ ?...อาจึ๋ย!!!อุ๊ยสงสัยจัง?????55555

ขอบคุณค่ะ เป็นการให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจมาก หากเรียนและหมั่นฝึกฝนในทักษะภาษาอย่างสม่ำเสมอและมีความสุข การพัฒนาย่อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนะคะ

  • สีม่วงนี้ชอบที่สุดเลยแหละ "น้องกายIco64" แต่ถ้าจะบอกว่าเอาไว้ให้ดูนานๆ หน่อย วัยรุ่นที่ชอบทำตรงกันข้ามกับที่ผู้ใหญ่บอกอย่างเธอก็จะรีบเปลี่ยน ก็เลยลองบอกว่า "เปลี่ยนเร็วๆ เลยนะ" ดูซิว่าเธอจะให้ดูได้นานแค่ไหน   
  • จะพูดกับเธอว่ายังไงดี "ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด" หรือว่า "เจตนาจะชักใบให้เรือเสีย" "มือ" น่ะ หมายถึง คนที่เรียนรู้ได้ดีจาก "การเขียน" ไม่ใช่ "การคลำ" ย่ะ
  • พอดีเพิ่งตอบเธอเสร็จ พ่อใหญ่สอเรียกไประบายน้ำสวนยาง (อยู่ที่ฟาร์ม) กลับจากสวนยางถึงจะตอบท่านนงนาท

 

 

 

 

  • ขอบพระคุณ "ท่านนงนาท สนธิสุุวรรณIco48" มากค่ะ ที่กรุณาแวะมาให้กำลังใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีกระแสพระราชดำรัสความว่า "เราเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อให้รู้เท่าทันฝรั่ง ไม่ใช่เพื่อเป็นทาสฝรั่ง" แต่การเรียนรู้ในสถานศึกษาของเราไม่ค่อยได้ผล นักเรียนนักศึกษาที่เรียนรู้เฉพาะในห้องเรียนไม่มีทักษะทางภาษาในระดับที่สามารถนำไปใช้งานได้ 
  • ตรงใจมากค่ะ ที่ท่านนงนาทบอกว่า "หากเรียนและหมั่นฝึกฝนในทักษะภาษาอย่างสม่ำเสมอและมีความสุข การพัฒนาย่อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง" เพราะจากกรณีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจนสามารถนำไปใช้งานได้นั้น นอกเหนือจากนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ผู้ที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับเจ้าของภาษา หรือไปเล่าเรียนหรือใช้ชีวิตในประเทศที่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแล้ว ก็มีเฉพาะผู้ที่มีแรงจูงใจในการเรียนรู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเท่านั้น ดิฉันเองก็เรียนรู้ด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้รอบตัวแทบทุกวันก็ว่าได้ค่ะ จึงทำให้สามารถนำไปใช้ได้ตามสมควร    
  • 

  ขอบคุณ "คุณรินดาIco48"  และ "อ.นุ Ico48" มากนะคะ ที่แวะมาให้กำลังใจ

กราบเรียนท่านอาจารย์แม่ หนูลูกศิษย์ ค.บ.ภาษาอังกฤษ ปี 47 ดีใจมากที่ได้เข้ามาเจอท่านอาจารย์ แถมท่านยังมีความรู้ดีๆมาฝากอีกต่างหาก ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพ พลานามัยแข็งแรงนะคะ

หนูจะตั้งใจทำหน้าที่ครูสอนภาษาอังกฤษที่ดี จะดำเนินรอยตามแบบอย่างที่ดีดั่งเช่นท่านอาจารย์มอบให้ศิษย์คนนี้

รักและเคารพท่านอาจารย์เสมอ

            อาจารย์แม่ตอบหนูซุอิกะจัง (แตงโม) Ico48" อย่างยืดยาวไป 2 ครั้ง กลับพบปัญหา "Internet Connection" ทั้งสองครั้ง (สงสัย 'net จะยังงัวเงีย เลยประท้วง)  สายๆ จะเข้ามาตอบใหม่นะคะ 

  • มาตอบ "หนูซุอิกะจัง (แตงโม) Ico48" เป็นรอบที่ 3 ค่ะ... อาจารย์แม่ดีใจมากที่มีลูกศิษย์เข้าไปทักทายทาง "Web.Blog" ลูกศิษย์คนแรกที่เข้าไปทักทายเป็นผู้บริหารโรงเรียนที่ยโสธร เคยเรียนกับอาจารย์แม่ในปี 2529 ได้เข้าไปทักทายในบันทึกแรกของอาจารย์แม่ ในวันที่ 2 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่อาจารย์แม่สมัครสมาชิก "GotoKnow.org" (อืม! อาจารย์แม่เป็นสมาชิก G2K กว่า 5 เดือนแล้วนะคะ นี่)
  • หนูแนะนำตัวว่า "เป็นลูกศิษย์ ค.บ.ภาษาอังกฤษ ปี 47" เป็นรุ่นเดียวกับ "ณัฐพงษ์" ใช่ไหมคะ ปี 2553 อาจารย์แม่ไปนิเทศที่โรงเรียนทุ่งศรีอุดมเจอเขาที่นั่นค่ะ
  • อาจารย์แม่ปลื้มใจมากที่หนูบอกว่า "หนูจะตั้งใจทำหน้าที่ครูสอนภาษาอังกฤษที่ดี จะดำเนินรอยตามแบบอย่างที่ดี ดั่งเช่นท่านอาจารย์มอบให้ศิษย์คนนี้หนูรู้ไหม ความสุขที่สุดของอาจารย์แม่ในการเป็น "ครูของครู" ก็คือ การที่ลูกศิษย์มีความตั้งใจที่จะเป็นครูที่ดีนี่แหละค่ะ เพราะความตั้งใจนั้นจะส่งผลถึงจิตวิญญาณของความเป็นครูและความเพียรพยายามในการปฏิบัติงานวิชาชีพ ซึ่งจะส่งผลถึงคุณภาพการจัดการศึกษาของชาติในที่สุด
  • อาจารย์แม่ขอเป็นกำลังในการปฏิบัติงานวิชาชีพของหนู และขอให้ความตั้งใจดีของหนูส่งผลให้หนูได้รับความสำเร็จและความก้าวหน้าในวิชาชีพไปตามลำดับนะคะ
  • ภาคเรียนนี้ อาจารย์แม่นิเทศการสอนภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลักสูตร ค.บ. (5 ปี) สาขาวิชาภาษาอังกฤษ 3 คน จาก 2 โรงเรียน (สอนม.1-ม.2) รู้สึกดีใจที่ทั้ง 3 คน เตรียมการสอนค่อนข้างดี (แต่ยังมีปัญหาเรื่องความเข้าใจและทักษะในการเขียนแผนฯ) จัดการเรียนรู้ให้นักเรียนมีส่วนร่วมรายบุคคล และมีกิจกรรมให้นักเรียนได้รับความสนุกเพลิดเพลินในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (อาจารย์แม่จะบันทึกภาพเคลื่อนไหวกระบวนการจัดการเรียนรู้ทุกขั้นตอนไว้ประกอบการให้ข้อวิจารณ์เสนอแนะในตอนท้าย) อาจารย์แม่จะอยู่ที่โรงเรียนได้นานตามความต้องการ เพราะใช้รถส่วนตัวในการเดินทางไปนิเทศค่ะ
  • นอกจากนิเทศการสอนของนักศึกษาปี 5 สาขาภาษาอังกฤษแล้ว ยังนิเทศสาขานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์อีก 2 คน นักศึกษาป.บัณฑิตอีก 1 คน และนิเทศปี 4 อีก 6 คน (3 โรงเรียน สาขาภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์)
  • อาจารย์แม่ขอฝากความหวังไว้กับหนู ในการทำให้นักเรียนรักในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ มีพฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้หลากหลายรอบตัว ได้รับการฝึกฝนทั้ง 4 ทักษะแบบบูรณาการ และหาโอกาสสื่อสารภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยวิธีการดังกล่าวเท่านั้น ที่จะทำให้นักเรียนมีทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ค่ะ  

กราบเรียนท่านอาจารย์แม่ที่เคารพ

หนูจบรุ่นเดียวกับนายศรศิลป์ โล่ห์คำ ค.บ.4 ปี รุ่นหนูมีเพื่อนๆได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง 2 คน (แต่หนูไม่ได้กับเขา ^^) ซึ่งเพื่อนหนูคนนี้เดิมสอนที่ ร.ร. ศรีคูนฯ ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตแล้วเมื่อต้นปีนี้ เป็นที่น่าเสียใจแก่เพื่อนๆรุ่นหนูมาก น่าเสียดายความรู้ของเขาจัง..............

สำหรับการเรียนการสอนของหนูพบปัญหาหลายอย่าง เพราะที่โรงเรียนของหนูเป็นโรงเรียนมัธยมขนาดกลาง ประจำตำบลในจังหวัดศรีสะเกษ มีเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้เยอะมาก เพราะบางคนท่อง A-Z ยังไม่จบเลยก็มี แต่หนูก็ไม่ละความพยายามและไม่เคยท้อที่จะหยุดสอน วันหนึ่งๆ ได้สัก 1 คำ 1 ประโยค หนูก็ดีใจมากแล้ว เพราะถ้าสอนให้เขารู้และสามารถนำไปใช้ได้ หนูจะมีความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในวิชาชีพครูแล้ว แต่ถ้าสักแต่จะสอนให้วันหนึ่งๆหมดคาบไปโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของเด็กว่าได้รับสิ่งที่เราถ่ายทอดไปหรือเปล่า ถ้าหนูทำแบบนั้นหนูคงรู้สึกแย่มากเลยทีเดียว......

หนูจะเข้ามารับความรู้และรับเทคนิคดีๆจากท่านอาจารย์แม่บ่อยๆนะคะ คิดถึงท่านอาจารย์แม่จัง ^^

โอโห อาจารยืแม่ลูกศิษย์เยอะมาก แอบมาดูอีก กำลังอยู่กับคุณครู

อาจารย์ขจิต ก็เหมือนอาจารย์หนูเหมือนกันค่ะ ^^ (เวลาทำ IS ชอบค้นหาความรู้จากท่านเช่นกันค่ะ)

  • หนูซุอิกะจัง (แตงโม Ico48)" คะ ที่หนูบอกว่าค.บ.ปี 47 แสดงว่าเป็นปีที่จบ อาจารย์แม่สับสนไปคิดว่าเป็นปีเข้าเรียนเลยคิดว่าจบปี 50 รุ่นเดียวกับณัฐพงษ์
  • สลดใจจริงๆ ที่รู้ข่าวว่าลูกศิษย์เสียชีวิต อาจารย์แม่ก็เพิ่งเสียเพื่อนร่วมงาน และเป็นเพื่อนที่จะเกษียณปี 2555 ด้วยกัน คือ ผศ.กาญจนา บุญรมย์ (ท่านป่วยหลายโรคน่ะค่ะ) มีงานพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา หนูคงจำท่านได้นะคะ ทราบข่าวการเสียชีวิตของท่านหรือเปล่า
  • นักศึกษาฝึกประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษชั้น ม.1 โรงเรียนเทศบาลแห่งหนึ่ง ในเทศบาลนครอุบลฯ ก็บอกอาจารย์แม่คล้ายๆ กับที่หนูบอกนี่แหลค่ะว่า นักเรียนบางคนท่อง A-Z ยังไม่จบ อาจารย์แม่ชื่นใจจริงๆ ที่หนูบอกว่า "แต่หนูก็ไม่ละความพยายามและไม่เคยท้อที่จะหยุดสอน วันหนึ่งๆ ได้สัก 1 คำ 1 ประโยค หนูก็ดีใจมากแล้ว เพราะถ้าสอนให้เขารู้และสามารถนำไปใช้ได้ หนูจะมีความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในวิชาชีพครูแล้ว แต่ถ้าสักแต่จะสอนให้วันหนึ่งๆหมดคาบไปโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของเด็กว่าได้รับสิ่งที่เราถ่ายทอดไปหรือเปล่า ถ้าหนูทำแบบนั้นหนูคงรู้สึกแย่มากเลยทีเดียว"ถ้ามีครูไทยคิดแบบหนูมากๆ คุณภาพการจัดการศึกษาไทยคงดีกว่าที่เป็นอยู่
  • อาจารย์แม่ดีใจมาก ที่รู้ว่าหนูเรียนรู้จาก อาจารย์ ดร.ขจิต และนำงานของท่านไปประกอบการทำ IS อาจารย์แม่แนะนำให้นักศึกษาทั้งปี 4 และปี 5 ศึกษากิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของท่านและนำไปประยุกต์ใช้ บางคนก็บอกว่า เคยศึกษาและนำไปใช้มาก่อนแล้ว ท่านมีน้ำใจต่ออาจารย์แม่มาก จนรู้สึกผูกพันเหมือนเป็นลูกชายอีกคนหนึ่ง จึงเรียกท่านว่า "ลูกขจิต"
  • ชวนหนูเข้าไปอ่านบันทึกใน Blog "Let's Learn English by the Situation Together" ของอาจารย์แม่ด้วยนะคะ
  • "ลูกขจิต Ico48" อ่านความเห็นที่หนูซุอิกะจัง (แตงโม)  และอาจารย์แม่ พาดพิงถึง (สองความเห็นข้างบน) ด้วยนะคะ
  • ลูกศิษย์น่ะเยอะเพราะสอนมานาน แต่ที่เข้ามาทักทายอาจารย์แม่ผ่าน Blog มีแค่ 2 คนเองค่ะ
  • อาจารย์แม่เข้าไปอ่านบันทึกทั้งสองของลูกขจิตเกี่ยวกับการอบรมงานวิจัยให้ครูภาษาอังกฤษแล้ว ว่าจะกลับเข้าไปเสริมเรื่อง Triangulation เพราะเป็นเทคนิคที่อาจารย์แม่ใช้ในงานวิจัยแบบ Mix Methodology หลายเรื่อง  

กราบเรียนท่านอาจารย์แม่ที่เคารพ

หนูทราบข่าวการเสียชีวิตของท่านอาจารย์กาญจนาอยู่เหมือนกันค่ะ คุยกับน้องที่จบจาก มรภ.อุบลว่าอยากไปเคารพศพท่าน แต่ช่วงนั้นมีลูกศิษย์รุ่นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัยแต่ละสถาบันมาจัดค่ายวิชาการให้น้องๆที่โรงเรียน เลยไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ

ขอขอบคุณอาจารย์แม่ที่นำความรู้ดีๆมาฝากนะคะ หนูจะติดตามทุกๆความรู้ของท่านอาจารย์และท่านอาจารย์ขจิตค่ะ

^_^ ได้เวลาไปสอนลูกๆม.4/1 แล้ว หนูขออนุญาตไปสอนลูกๆก่อนนะคะ แล้วจะเข้ามาอ่าน blog ของท่านอาจารย์ใหม่ค่ะ

รักและคิดถึงท่านอาจารย์แม่เสมอ

สวัสดีค่ะอาจารย์

         *** ขอชื่นชมการบันทึกข้อมูลและสาระฯ เกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนภาษาอังกฤษ อันเป็นประโยชน์อย่างครบถ้วน ... สามารถนำไปอ้างอิงและศึกษาเพิ่มเติมได้อย่างสะดวกสบาย  ยอดเยี่ยมจริงๆ ค่ะ ! ***

                              


                                                             
                              

  • ขอบคุณ "คุณ K. PaullyIco48" มากนะคะ ที่แวะเข้ามาอ่านบันทึกนี้ และให้กำลังใจ
  • ปลื้มใจค่ะ ที่ "คุณ K. Paully" บอกว่า บันทึกนี้ได้ "บันทึกข้อมูลและสาระฯ เกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนภาษาอังกฤษ อันเป็นประโยชน์อย่างครบถ้วน ... สามารถนำไปอ้างอิงและศึกษาเพิ่มเติมได้อย่างสะดวกสบาย" 
  • ดิฉันชื่นชมกิจกรรมค่ายพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษสำหรับเยาวชนของ "คุณ K. Paully" มากเช่นกันค่ะ ที่เป็น "การพัฒนาแบบเกาถูกที่คัน" 

สวัสดีค่ะ

ตามมาจากข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ยิ่งเรื่อง อาเซี่ยน จากอาจารย์ค่ะ

พอมาได้อ่านเรื่องข้อแนะนำการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แบบเกาให้ถูกที่คัน

นับเป็นประโยชน์มากค่ะ

ขออนุญาตก๊อปไปฝากคุณครูที่สอนภาษาอังกฤษนะคะ

ขอบคุณมากๆค่ะ

  • ขอบคุณมากค่ะ "ท่าน ศน. ลำดวนIco24 " ที่บอกว่า "พอมาได้อ่านเรื่องข้อแนะนำการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แบบเกาให้ถูกที่คัน นับเป็นประโยชน์มากค่ะ ขออนุญาตก๊อปไปฝากคุณครูที่สอนภาษาอังกฤษนะคะ"
  • ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะมีความปราถนาที่จะเห็นเด็กและเยาวชนไทย ตลอดจนคนไทย สามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ในระดับที่ใช้งานได้ตามบริบทของแต่ละคนค่ะ

 

  • รูปนี้หล่อดีนะคะ "เด็กศรีสะกษ เอฟซีIco256"
  • เห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษแล้วใช่ไหมคะ
  • ถ้าเห็นแล้วก็พยายามเรียนรู้เพิ่มพูนทักษะภาษาอังกฤษไปตามลำดับนะคะ มันไม่ยากเกินความมุ่งมั่นและความเพียรพยายามที่จะเรียนรู้ของเราหรอกค่ะ   

สวัสดีค่ะดิฉัน ชื่อนางสาวศริวรรณ ทำนุ S.02-CS1.6-34

ดิฉันได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น ในสิ่งที่ไม่รู้และสิ่งที่รู้แล้วไม่ละเอียด

แต่ดิฉันยังมีปัญหาด้านการอ่านภาษาอังกฤษ ช่วยแนะนำให้ด้วยนะค่ะ

  • หนูศิริวรรณ คะ ดีมากค่ะ ที่สนใจเข้ามาหาความรู้
  • เรื่องแนวทางการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ให้ศึกษาจากคู่มือการเรียนรู้นะคะ
  • รูปประจำตัวควรปรับใหม่โดยตัดส่วนล่างออกเพื่อให้เห็นใบหน้าและศีรษะเต็มนะคะ
  • คราวหน้า ให้เขียน "นะคะ" จึงจะถูกต้อง ไม่ใช่เขียน นะค่ะ

ต้องอย่างนี้ซิครับถึงจะเป็นบันทึกของผู้อยู่วงในที่จริงจังและ active จริงๆ ขอบคุณมากครับ

  • เห็นด้วยกับผลการวิจัยที่ท่่านอาจารย์นำเสนอมากๆครับ กับที่มาที่ไปของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะในบ้านเรา..
  • การจัดการศึกษาบ้านเรายังขาดความเอาจริงเอาจังและความเป็นตัวของตัวเองนะครับ การบริหารและการจัดการน่าจะต้องเปลี่ยนจากนักการเมืองมาใช้มืออาชีพทางด้านการศึกษา ด้วยรูปแบบของคณะกรรมการอย่างเอาจริงเอาจังได้แล้ว รวมทั้งให้โอกาสและเวลาโอกาสในการจัดการยาวนานและต่อเนื่องกว่าที่เป็นอยู่
  • ขอบคุณความรู้ครับ และขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมเยือนด้วยครับ
  • ขอบคุณ "คุณสล่ากวาม" มากนะคะ สำหรับ "ปิยวาจาเสริมพลัง" ที่มอบให้
  • ขอบคุณ "คุณครูธนิตย์Ico48" สุวรรณเจริญ จากโรงเรียนบ้านกร่างวิทยาคม อ.เมือง จ.พิษณุโลกมากค่ะ ที่เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
  • เห็นด้วยกับคุณครูค่ะ ว่า นโยบายด้านการศึกษาของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จำเป็นจะต้องใช้คณะบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจ มีฝีมือ เข้ามาวางแผนและดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังสุภาษิตที่ว่า "ก่อแล้วต้องสาน" แต่บ้านเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น กระทรวงศึกษาธิการมักไม่ได้คนที่เหมาะสมมาดูแล และเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่ยนนโยบายที ไม่ได้คงสิ่งที่ดีเอาไว้ เลยทำให้การดำเนินการในเรื่องต่างๆ ขาดความต่อเนื่อง 
  • ดิฉันเองแม้ไม่ได้สอนภาษาอังกฤษ แต่คณะครุศาสตร์ให้ช่วยนิเทศนักศึกษาที่ฝึกประสบการณ์การสอนภาษาอังกฤษ และดิฉันเองก็พัฒนาทักษะทางภาษาให้กับตนเองโดยเรียนรู้ภาษาอังกฤษทุกที่ทุกเวลาจากแหล่งเรียนรู้หลากหลายรอบตัวอยู่เสมอ เพราะตระหนักว่าภาษาเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และพยายามจัดโอกาสให้นักศึกษาที่เรียนวิชาเกี่ยวกับการพัฒนาตน ได้พัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ด้วยประสบการณ์ตรงในการสื่อสารกับชาวต่างชาติในชีวิตจริง เพราะเห็นนักศึกษาที่เพิ่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในภาคเรียนแรกมา แต่พอนำอาจารย์ชาวต่างเข้าไปพูดคุยด้วยในห้องเรียน ก็เงียบกริบ ไม่ว่าจะชวนสนทนาอย่างไร   

  • ขอบคุณกัลยาณมิตรที่แวะมาให้กำลังใจ ค่ะ

                           Ico64                                      Ico48

    คุณครูตาแว่น จากโรงเรียนวังน้ำเย็นวิทยาคม                  คุณ nana

                            จ.สระแก้ว                        จากศูนย์อนามัยที่ 8 จ.นครสวรรค์

 

เรียน ผศ.วิไล

ตามอ่านไม่ทันต้องขออนุญาค save ไว้อ่านเพื่อประหยัดแอร์การ์ดนะครับ

ขอบคุณครับ

เรียน ผศ.วิไล ตอนนี้อยู่ยโสบ้านเราแล้วครับ....

โชคดีจริงๆที่เจอท่านผู้รู้จริงค่ะ

กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

ขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ให้กำลังใจในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่จะทำให้เกิดความสนใจมากขึ้นและมีผลที่น่าจะพัฒนากว่าเดิมมากขึ้นนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท