พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยจริงหรือ!!


ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์ เห็นว่า “พระพุทธอุบัติภูมิอยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่อินเดียหรือเนปาล”

จากการค้นหาข้อมูลบางอย่าง ทำให้ผมไปพบบทความเรื่อง “จารึกวัดศรีชุมกับแนวคิดใหม่เรื่องแดนเกิดพระพุทธศาสนา” คนเขียนคือ ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์

บทความที่ว่านี้ ตีพิมพ์ในวารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 (13)  เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2548

บทความนี้เป็นการบรรยาย คือ ถอดคำบรรยายมาตีพิมพ์ เป็นการบรรยายสัมมนาวิชาการ การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา “สุโขทัยเมืองวัฒนธรรมแห่งมรดกโลก” 22 กรกฎาคม 2548 ณ โรงแรมไพลิน จังหวัดสุโขทัย จัดโดย สถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ

ผมยังพบว่า ปัจจุบัน ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ได้มาทำเว็บไซต์ “พระพุทธอุบัติภูมิอยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่อินเดียหรือเนปาล”  ที่อยู่ของเว็บไซต์ก็ที่นี่

http://www.buddhabirthplace.com/

วัตถุประสงค์ของเว็บดังกล่าว มี ๓ ประการ คือ

(๑) เพื่อเสนอผลการค้นคว้าเกี่ยวกับพระพุทธอุบัติภูมิ หรือแดนเกิดแห่งพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธศาสนาเกิดที่ใด อยู่ในอินเดียหรือในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่ีงเป็นที่ตั้งของ "ชมพูทวีป" ที่แท้จริงซึ่งประกอบด้วยประเทศไทย ลาว (รวมบางส่วนทางใต้ของจีน) เขมร พม่า มอญ

(๒)เพื่อเปิดเผยความจริงที่ว่า มี ชาวอังกฤษ และเยอรมันอย่างน้อย ๖ คน ได้ร่วมกันสร้างหลักฐาน และเขียนประวัติพระพุทธศาสนาใหม่ เผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้พระพุทธศาสนาเกิดในอินเดียมาเมื่อไม่ถึง ๑๓๐ ปีมานี้เอง และ

(๓) เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างข้อมูลที่ปรากฏ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก และข้อมูลที่เป็นอยู่จริงในประเทศอินเดียเพื่อสะท้อนให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดในประเทศอินเดีย จนกระทั่งเกิดนิกายมหายานขึ้นในราว พ.ศ. ๖๐๐

การศึกษาครั้งนี้ ไม่ได้มี ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์แต่เพียงผู้เดียว มีคณะผู้ร่วมหัวจมท้าย ถึง 4 คณะดังนี้

(๑) คณะของศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และรองศาสตราจารย์ ดร.นิคมทาแดง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

(๒) คณะของอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ และอาจารย์โสภณ วงศ์เทวัน นักปฏิบัติธรรมสายหลวงปู่ทวด

(๓) คณะของอาจารย์เอกอิสโร วรุณศรี และคณาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบัง

(๔) คณะของอาจารย์อาตม ศิโรศิริ นักวิชาการอิสระ

ผลสรุปจากการวิจัยเบื้องต้น คณะผู้วิจัยค้นพบประเด็นต่างๆ 7 ประเด็น ดังนี้

1. สภาพภูมิศาสตร์

2. ขนบธรรมเนียมประเพณี

3. วิถีชีวิตในสมัยพระพุทธกาล

4. โบราณสถานและโบราณวัตถุ

5. พุทธสถาปัตยกรรม

6. ภาษามคธ หรือภาษาบาลี

7. หลักฐาน/ตำนานไทย

ยังมีการแถม ข้อสังเกตเพิ่มเติม อีกด้วย

ผมขอแสดงความเคารพนับถือคณะผู้วิจัยคณะนี้อย่างจริงใจ ที่กล้าและแสดงออกอย่างถูกต้อง คือ กล้าคิดกล้าแสดงออก และเสนอหลักฐานที่ค้นคว้าหามาได้อย่างโปร่งใส

การกระทำเช่นนี้ ดีกว่าเป็นพุทธวิชาการอีแอบอีกหลายๆ ท่าน ที่พยายามบิดเบือนคำสอนในพระไตรปิฎกอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างนักการเมือง ทั้งๆ ที่บางรูปเป็นพระภิกษุเสียด้วย

แต่ก็ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งว่า หลักฐานของคณะผู้วิจัยคณะนี้ “ฟังไม่ขึ้น” ด้วยประการทั้งปวง

ผมเองถนัดในทางภาษาศาสตร์มากที่สุด จึงจะอธิบายไปในทางภาษาศาสตร์ก่อน  ด้านอื่นๆ ก็จะอธิบายตามมา  รวมถึงผลของการปฏิบัติธรรมด้วยวิชาธรรมกายด้วย

โปรดอ่านบทความอื่นๆ ในชุดนี้ที่นี่

ภาษาในสมัยพุทธกาล[01]

http://phraphutthajauthai.blogspot.com/2011/08/01.html

ภาษาในสมัยพุทธกาล[02]

http://phraphutthajauthai.blogspot.com/2011/08/02.html

ภาษาในสมัยพุทธกาล[03]

http://phraphutthajauthai.blogspot.com/2011/08/03.html

วิถีชีวิตในสมัยพุทธกาล

http://phraphutthajauthai.blogspot.com/2011/08/blog-post_13.html

 

ดร. มนัส โกมลฑา  (Ph.D. Integrated Sciences)

สาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

E-mail: [email protected];[email protected]

Web: https://sites.google.com/site/manaskomoltha

Blog: http://manaskomoltha.blogspot.com/

หมายเลขบันทึก: 453664เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2011 18:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม 2012 21:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (31)

ชอบและขอบคุณบันทึกนี้คะ ในเรื่องนี้คิดต่างได้แต่อย่าคิดแก้คะ

เรียน คุณวลัยลักษณ์

เรื่องนี้ ผม เห็นด้วย กับ ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์และคณะในเรื่องที่คิดแตกต่าง กล้าที่จะโต้แย้งความรู้กระแสหลัก

แต่เมื่อจะสู้กับยักษ์ ก็ต้องมีหลักวิชาการที่แน่นหนา สามารถโต้แย้งกับคนอื่นได้อย่างเป็นวิชาการ

ขอยกตัวอย่างเรื่อง “หลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง” ที่มีการโต้แย้งกันเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ต่างฝ่ายก็ต่างยกหลักฐานขึ้นมา

ถึงแม้จะเงียบๆ กันไปแล้ว แต่ก็ยังให้ “ความคิด” กับประชาชนบ้าง

แต่ประเด็นที่ผม ไม่เห็นด้วย กับ ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์และคณะก็คือ หลักฐานที่ยกขึ้นมานั้น ทำเป็นเหมือนเด็กเล่นขายของ

ไม่ได้มีหลักฐานในทางวิชาการ ไม่น่าจะเป็นหลักฐานของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งวิชาการระดับ ศ.ดร.

ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์และคณะทำอย่างกับคนไม่มีพื้นฐานในทางวิชาการ คือ เที่ยวไปหาหลักฐานอะไรก็ไม่รู้ มั่วไปหมด

เห็นอันไหน พอจะจับยัดเข้ามาได้ ก็จับเข้ามาหมด

ทางที่ถูกในการต่อสู้ในครั้งนี้ก็คือ หักล้างหนังสือหรือหลักฐานที่ยืนยันว่า พระพุทธองค์ประสูติที่อินเดีย-เนปาล เผยแผ่ศาสนาพุทธที่อินเดีย-เนปาล

พร้อมกับนำหลักฐานใหม่ๆ มานำเสนอด้วย

ในฐานะที่ผมเป็นวิทยากรสอนปฏิบัติธรรม ผลของการปฏิบัติธรรมยืนยันไปตามหลักวิชาการ คือ พระพุทธองค์ประสูติที่อินเดีย-เนปาล จริง เผยแผ่ในอินเดีย-เนปาลจริง

แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงเคยมาประเทศไทยจริง

รอยพระพุทธบาทเป็นรอยพุทธบาทของพระองค์จริง แต่ไม่แน่ใจว่ารอยพระพุทธบาทที่ไหน

แล้วรอยพระพุทธบาทที่แท้จริงนั้น มีการสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองครอบอยู่ อย่าไปคิดว่า พระพุทธองค์มีพระบาทอย่างนั้นจริงๆ

มีคนนั่งสมาธิเก่งๆ บางท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน บางท่านก็บอกว่าเป็นคนชมพูทวีปสมัยนั้น ก็ไม่รู้อยู่ดีว่า ใครธรรมะดีจริงไม่จริงอย่างไร ?

ถึงพระองค์จะประสูตรที่ไหน เป็นเชื้อชาติใด พระรัตนตรัยก็ได้อุบัติขึ้นแล้ว ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่พระนิพพานก็มีแล้ว ใครๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านธรรมะของพระองค์ จะเป็นภาษาใดก็ตามดีทั้งนั้นละครับ

ผมคิดว่า คนไทยบางท่านพยายามจะเอาพุทธศาสนามาเป็นของตัวเอง แต่ไม่ค่อยจริงจังกับธรรมะของพระพุทธองค์ น่าเสียดายครับ แต่เพื่อนๆ ที่เป็นชาวต่างชาติ เอาจริงๆ เอาจัง กับการปฏิบัติธรรมะ ดีกว่า คนไทยที่อ่านภาษาไทยได้อีกครับ

สมมุติว่า ! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในผืนแผ่นดินไทยจริง อะไรๆ ก็คงจะเหมือนเดิม คนไทยปัจจุบัน พระสงฆ์ปัจจุบัน ก็ยังคงเหมือนเดิม มีพระทุศีลมากมาย มีคนไม่ดีเข้ามาบวชในพระศาสนาของพระองค์ ทำลายธรรมะ ทำลายความน่าเชื่อถือ ทำลายสิ่งดีงามที่พุทธศาสนิกชนคนก่อนเขาทำ และปฎิบัติไว้เป็นชื่อเสียงดีแล้ว ต้องมาเสื่อมลง เพราะ !!! ฝีมือคนไทย เมืองพุทธในปัจจุบันนี้

ก็ตามนั้นคุณสมพร แต่การที่พยายามพิสูจน์ว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย หรือเกิดแถวๆ นี้นั้น ถ้ามีวิธีการพิสูจน์ที่ดี มีหลักฐานมีเหตุผล มันก็พอจะรับฟังกันได้ ในทางวิชาการ

แต่เท่าที่ผมอ่านดูแล้ว ทำเหมือนเด็กเล่นขายของ ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ท่านไม่น่าจะเสียศูนย์ถึงขนาดนี้ ไม่รู้ไปมีความคิดอย่างนี้มาได้อย่างไร

ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ท่านเก่งในสาขาวิชาของท่านมากนะครับ มาตรฐาน E1/E2 ที่พวกครูใช้เป็นมาตรฐานในการทดสอบนวัตกรรมการสอนก็เป็นของท่านนี่แหละ

อีกคนหนึ่งก็คือ ศ.นพ. เทพพนม เมืองแมน ในสาขาของท่าน ท่านก็เก่งมาก ไม่รู้จะเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวมีพลังจิตได้อย่างไร

อีกคนหนึ่งก็อาจารย์ที่ผมเคยเรียนด้วย ดร. สุวินัย ภรณวลัย ท่านก็เก่งมากในเรื่องเศรษฐศาสตร์ ไม่รู้ตอนนั้น ไปหลงลมเปรตกู้ไปได้อย่างไร

ผมคิดว่า ... คนเรามีความรู้ไม่เสมอกันนะครับ เก่งวิชาทางโลก เก่งวิชชาทางธรรม เก่งทางโลก ใช่ว่าจะเอาความรู้ทางโลกมาแก้ปัญญาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความทุกข์ร้อยแปดได้

ความทุกข์ ปัญหาร้อยแปด มีนักวิชาการค้นเข้าไปพบ เหตุและผล บอกเป็นหลักในการแก้ไข ป้องกัน หลีกเลี่ยงแล้ว คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผมคิดว่า นักวิชาการเหล่านี้ มีความรู้ทางโลก แต่ไม่รู้ซึ้งทางธรรม ไม่รู้อดีต อนาคต ไม่รู้เงื่อนต้น เงื่อนปลาย ไม่รู้เหตุในเหตุไปถึงต้นๆ เหตุ ทีทำให้เกิดทุกข์ต่างๆ ปัญหาต่างๆ

อย่างเรื่องอดีต หรือพุทธประวัติ คนรุ่นหลังไม่ได้เห็นเอง เกิดไม่ทัน ก็ศึกษากันตามหลักฐานย้อนหลังไป ข้อสรุปที่ได้ก็ใช่ว่าจะจริง พูดให้คำพูดดูดีหน่อยก็ใช้คำว่า เชื่อว่า... หรือ สันนิษฐานว่า ...

แต่ในพระพุทธศาสนามีวิชชาดี คือ วิชชา "บุพเพนิวาสานุสสติญาณ" ใครเรียนได้เก่งและเชี่ยวชาญ ก็เข้าไปรู้ไปเห็นได้

ผมเชื่อว่า ผู้รู้ (ทางธรรม) บางท่าน รู้และเห็นเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต หลายๆเรื่อง แต่ท่านไม่พูด ไม่กล่าว เพราะจะขัด หรือ ไม่ตรงกับข้อมูลของนักวิชาการต่างๆ (ปัจจุบัน) หรือหลักสูตรที่ใช้เรียนกันในปัจจุบัน จะเป็นเหตุให้ทะเลาะกัน

อย่างนักวิชชาการทั้งหลาย เชื่อว่า.. มนุษย์เกิดมาจากลิง หรือวิวัฒนาการมาจากลิง เป็นต้น ฯลฯ แต่ในทางพระพุทธศาสนา มนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากลิง หรือ วิวัฒนาการมาจากลิง แต่เวลาไปสอบ ตอบคำถาม ไปตอบตามพระพุทธศาสนา สอบตกชัวส์ !!

ผมคิดว่า... มีหลายๆๆเรื่องราว เหตุการณ์ ที่คนไทยเชื่อกันผิดๆ และบอกกันผิดๆ

ตามนั้น คุณสมพร แต่ขอแก้ข้อมูลนิดหนึ่ง ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินนั้น มันเป็นเพียงทฤษฎีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ท่านไม่ได้เชื่ออย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า คนมาจากลิง แต่มันเป็นทฤษฎีที่อธิบายได้ค่อนข้างดี ในยุคที่ผ่านมา

ยุคนี้ ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน ถูกตีตกไปแล้ว เขาศึกษากันเป็นประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เท่านั้น

ผมเชื่อว่าองค์พระพุทธเจ้าไม่เคยมาประเทศไทย

มีแต่สาวกที่มา เพราะไกลมากจากอินเดียเดินมาประเทศไทย

เรียน คุณ 555 [IP: 183.88.249.182]

ผมไม่รู้ว่าคุณอ่านบทความที่เขียนไปแล้วเข้าใจหรือไม่ คุณอาจจะเข้าใจแล้ว เสนอแนวคิดใหม่ หรือคุณอาจจะไม่เข้าใจ

ประเด็นที่กำลังถกเถียงกันนั้น ศ.ดร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์กับคณะของท่าน “เชื่อว่า” พระพุทธองค์ประสูติและเผยแพร่ศาสนาในประเทศไทยนี้

ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธองค์ทรงเคยมาประเทศไทยหรือไม่

สำหรับความเชื่อของคุณที่คุณเชื่อว่า “ผมเชื่อว่าองค์พระพุทธเจ้าไม่เคยมาประเทศไทย มีแต่สาวกที่มา เพราะไกลมากจากอินเดียเดินมาประเทศไทย”

ก็เป็นเรื่องของคุณ แต่ในทางวิชาธรรมกาย พระพุทธองค์ทรงเคยมาประเทศไทยจริง แต่ไม่ได้ทรงเดินมาอย่างที่คุณคิด

หลักฐานก็คือรอยพระพุทธบาท ไม่ได้หมายความว่า ทุกรอยเป็นของพระพุทธองค์ทั้งหมด

ถ้าคุณเชื่อพระไตรปิฎกอย่างที่ผมเชื่อ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะ พระพุทธองค์ยังเคยไปเทศน์โปรดพระมารดาบนสวรรค์มาแล้ว

แต่ถ้าคุณเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่า ก็ไปตามทางของคุณเถอะ

จากผู้รู้ (ทางธรรม) หลายๆท่าน เล่าให้ฟังว่า (ฟังหูไว้หู ทำใจเป็นกลาง) องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ของประเทศไทยในปัจจุบัน สมัยก่อนเมื่อ 2000 กว่าปีที่แล้ว พื้นที่นั้น ผมคิดว่า คงมีชื่อเรียก ผู้คนคงมีภาษา วัฒนธรรม สังคม ความเป็นอยู่ เป็นของตัวเอง เป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่า คงพูดภาษาบาลีกัน หรือ ภาษามคธกัน หรือฟังได้รู้เรื่อง

พุทธประวัติ คำสอน ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ว่า !!! จะมีแต่ คำภีร์ 45 เล่ม เท่านั้น 45 เล่ม คือ เท่าที่บันทึกได้ เก็บรวมรวมได้ (ไม่ใช่ทั้งหมด) ผมเชื่อว่า ถ้ามหาวิทยลัยนาลันทาไม่ถูกพวกอิสลามเผา พวกเราชาวพุทธคงได้อ่าน ได้ศึกษาธรรมะ ที่พิศดารมากกว่านี้แน่นอน

บูรพาจารย์ก่อนนี้ ก็ได้เขียน รวบรวม ธรรมะ พุทธประวัติที่พิศดารไว้มากมาย แต่ !!!! นักวิชาการ ทั้งพระสงฆ์ ฆราวาส ได้ตัด เนื้อหา ข้อความ ที่พิศดารออกไปมากมายๆ (เพราะด้วยความเห็นส่วนตัว ที่ไม่เชื่อว่าจะมีจริง และเป็นไปได้) บางท่านก็ใส่ความเห็นที่ไม่เชื่อนั้นลงไปด้วย และใส่ความคิดใหม่ๆของตัวเองลงไป

เรื่องราวที่คนโบราณเขาเล่าต่อๆๆ กันมานั้น ต้องมีที่มาที่ไป มีเงื่อนต้น เงื่อนปลาย มีมูล คงไม่มีใครว่างจัด สร้างกระแสแต่งเรื่องราวเป็นเล่มๆๆ เพื่อหลอกลูกๆๆ หลานๆๆ ในอดีตให้เชื่องมงาย นอกจากมีความคิดว่า จะปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่ดีต่อตนรุ่นหลัง

ต่างกับคนปัจจุบันหลอกกัน ไว้ใจกันยาก !!! เลยเอาความคิดของคนปัจจุบัน ไปตัดสิน ความคิดของคนในอดีต ว่าพวกเขาจะทำเหมือนตัวคิด เหมือนตัวทำ เหมือนตัวเป็น

ในความคิดของผม ผมศรัทธาคนโบราณ คนโบราณสมัยก่อนๆ เขามีกิเลสน้อย ความอยากน้อย โลภ โกรธ หลงมีน้อย อยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข มากกว่าคนปัจจุบันนี้

เรื่องราวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาพื้นที่นี้ (ปัจจุบันคือพื้นที่ประเทศไทย) ถูกบันทึกด้วยปากต่อปาก (มุขปาโท) หรือถูกบันทึกด้วยอักษรสมัย เช่น เขมร ล้านนา ล้านช้าง เป็นผูกๆๆ เล่มๆๆ หาอ่านได้ ตัวหนังสือที่บันทึกลงในนั้น ล้วนต้องใช้กรรมวิธีในการทำ (ใบลาน) คนที่บันทึกมีความรู้ มีภูมิ มีธรรมะ โดยมากเป็นพระภิกษุผู้มีพรรษา ไม่ใช่ตาสีตาสาจะคิดทำหลอกกันง่ายๆๆ และถูกเก็บ รักษา ส่งมอบกันเป็นรุ่นสู่รุ่น เรียน สืบๆๆ กันมา

คนปัจจุบัน คิดว่า ตัวเองเก่ง คิดเลขไว พูดอังกฤษปร๋อ ทันเทคโนโลยี มองเห็นสิ่งมีค่าเหล่านี้ เป็นของด้อยค่า พวกเขา (คนปัจจุบัน) ไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่คนโบราณส่งมอบกันมานั้น เป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง เป็นบรมสุข พวกเขาเหมือนไก่ที่เห็นเพชรเห็นพลอย เห็นไส้เดือน ข้าวเปลือกมีค่ามากกว่าพลอย

เรียน คุณสมพร

พระพุทธเจ้าทรงเคยมาดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันจริง เพราะ พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ แต่ผมไม่คิดว่า พระองค์จะได้มีโอกาสเทศน์สอนคนในยุคนั้น

คงทรงมาประทับรอยพระบาทแล้วก็ไป

นอกจากนั้นแล้ว ดินแดนแถบนี้ ไม่ใช่ภาษาบาลีหรือภาษามคธเพื่อสื่อสารกันอย่างแน่นอน ภาษาตระกูลไต (Tai family) เกิดมาประมาณ 2000 กว่าปีมาแล้วเหมือนกัน

ดังนั้น ถ้าในยุคนั้น มีต้นตระกูลของเผ่าไทยอยู่ที่นี่ คนเหล่านั้นต้องพูดภาษาที่อยู่ในตระกูลไตอย่างแน่นอน

แต่จากการศึกษาทางโบราณวิทยา ประวัติศาสตร์ ฯลฯ นักวิชาการไม่แน่ใจว่า เมื่อประมาณ 2000 กว่าปีมานี้ คนไทยเรามาอยู่ที่นี่แล้วหรือยัง

อย่างไรก็ดี ภาษาพูดของภาษาตระกูลไตมีมานานแล้ว แต่ตัวอักษรเพิ่งมีเมื่อสมัยพ่อขุนรามคำแหงนี้เอง

สำหรับพระพุทธเจ้านั้น เมื่อพวกผมจะถามพระองค์ ก็ถามภาษาไทย พระองค์ก็ตอบมาเป็นภาษาไทย และพระองค์จะใช้ภาษาตามสำนวนภาษาของผู้พูด้วย

ผมเคยให้เด็กนักเรียนที่จังหวัดอุทัยธานี ขอบางสิ่งจากพระองค์ พระองค์ตอบว่า “เดี๋ยวจัดให้”

สำนวน “เดี๋ยวจัดให้” เป็นสำนวนที่เด็กเขาพูดกัน บางทีพระองค์ก็ตอบว่า “ได้เลย”

ที่กล่าวไปนั้น เป็นวิชาธรรมกาย ผมสอนเด็กนักเรียนมาเป็นแสนๆ คนแล้ว พวกที่ผ่านวิชา 4 กายธรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของวิชา 18 กาย ก็สามารถถามพระพุทธองค์ได้แล้ว

เรียน คุณสมพร

พระพุทธเจ้าทรงเคยมาดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันจริง เพราะ พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ แต่ผมไม่คิดว่า พระองค์จะได้มีโอกาสเทศน์สอนคนในยุคนั้น

คงทรงมาประทับรอยพระบาทแล้วก็ไป

นอกจากนั้นแล้ว ดินแดนแถบนี้ ไม่ใช่ภาษาบาลีหรือภาษามคธเพื่อสื่อสารกันอย่างแน่นอน ภาษาตระกูลไต (Tai family) เกิดมาประมาณ 2000 กว่าปีมาแล้วเหมือนกัน

ดังนั้น ถ้าในยุคนั้น มีต้นตระกูลของเผ่าไทยอยู่ที่นี่ คนเหล่านั้นต้องพูดภาษาที่อยู่ในตระกูลไตอย่างแน่นอน

แต่จากการศึกษาทางโบราณวิทยา ประวัติศาสตร์ ฯลฯ นักวิชาการไม่แน่ใจว่า เมื่อประมาณ 2000 กว่าปีมานี้ คนไทยเรามาอยู่ที่นี่แล้วหรือยัง

อย่างไรก็ดี ภาษาพูดของภาษาตระกูลไตมีมานานแล้ว แต่ตัวอักษรเพิ่งมีเมื่อสมัยพ่อขุนรามคำแหงนี้เอง

สำหรับพระพุทธเจ้านั้น เมื่อพวกผมจะถามพระองค์ ก็ถามภาษาไทย พระองค์ก็ตอบมาเป็นภาษาไทย และพระองค์จะใช้ภาษาตามสำนวนภาษาของผู้พูด้วย

ผมเคยให้เด็กนักเรียนที่จังหวัดอุทัยธานี ขอบางสิ่งจากพระองค์ พระองค์ตอบว่า “เดี๋ยวจัดให้”

สำนวน “เดี๋ยวจัดให้” เป็นสำนวนที่เด็กเขาพูดกัน บางทีพระองค์ก็ตอบว่า “ได้เลย”

ที่กล่าวไปนั้น เป็นวิชาธรรมกาย ผมสอนเด็กนักเรียนมาเป็นแสนๆ คนแล้ว พวกที่ผ่านวิชา 4 กายธรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของวิชา 18 กาย ก็สามารถถามพระพุทธองค์ได้แล้ว

ผมตรอง และคิดดูว่า.. ในสมัยพระรามคำแหงนั้น พระองค์ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น เพื่อทรงใช้ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพระองค์ โดยเทียบเคียง หรือดัดแปลงตัวอักษรมาจากอักษรขอม อักษรล้านนา อักษรล้านช้าง (ตัวธรรม) และขอมเขมร(ปัจจุบัน) มีลักษณะการเขียนผสมคำหลักการคล้ายๆกัน มีตัวเขียนเล็กที่เป็นตัวสะกด มีตัวสระต่างๆเป็นเอกลักษณ์ ใช้หลักการเดียวกัน เพียงแต่ว่าแต่ละวัฒนธรรม ล้านนา ล้านช้าง ลาว ขอม ต่างก็เอาอักษรมาแทนคำพูดภาษาของตัว ตัวอักษรเหมือนกันบ้าง คล้ายๆๆ กันบ้างมีแยะ

ผมคิดว่า.. สมัยก่อนนั้น ก่อนที่จะมาเป็นประเทศไทย คนแถบนี้ เขาอยู่กันเป็นอาณาจักร มีภาษา วัฒนธรรม ศิลปะ คำพูด คำจา เป็นของตัวเอง ประเทศไทยผมคิดว่า พึ่งได้ชื่อว่าเป็นไทยก็สมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง เพียงแต่ศูนย์กลางการปกครองคือ กรุงเทพฯ ก็รวมเอาอาณาจักรล้านนา ล้านช้าง ศรีวิชัยมาด้วย ประเทศไทยก็ดูหลากหลาย หลายภาคหลาบแบบ

ลักษณะคนไทยจริงๆๆ ไม่รู้คือใคร ? แบบไหน ? เพราะมีทั้งภาคอีสาน (ล้านช้าง) ภาคเหนือ (ล้านนา) ภาคใต้ (ศรีวิชัย) เพราะแต่ละภาคต่างก็เคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันก็รวมดินแดนว่า เป็นไทย

ผมคิดว่า ก่อนหน้านั้น แต่ละภูมิภาคก็ได้บันทึกเก็บ รักษา เรื่องราวเกียวกับพุทธประวัติ พุทธศาสนาไว้ให้ลูกหลานตัวเอง สืบๆๆ กันมา

ผมไปเจอเรื่องราวของคนโบราณบันทึกไว้ เรื่องราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาดินแดนนี้ (ปัจจุบันคือประเทศไทย) ทรงเสด็จมาเพื่อโปรดพญานาคตนหนึ่งทีมีความปรารถนาช่วยสัตว์โลกไปสู่อมตธรรม พญานาคจะได้ทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จ พญานาคนาคตนนั้น ได้ถวายดอกบัวและตั้งความปรารถนาต่อหน้าพระพักตร์ ในบันทึกก็มีไว้เท่านี้ ไม่กี่บันทัดเอง เป็นเรื่องราวที่ไม่พิศดาร

แต่ถ้าคนทั่วๆไปอ่านแล้่ว ก็จะมอง และอาจจะคิดว่า พระองค์ไม่น่าจะเสด็จมาเพราะมันไกลมาก จะไปจะมาก็ลำบาก จะมาได้อย่างไร ? (เพราะเอาความคิดของคนปัจจุบัน ไปตัดสินความคิดของคนในอดีต)

ถ้าเป็นผมแล้ว... ผู้ที่เชื่อ ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะได้ศึกษา อบรม และปฏิบัติตามบ้างพอสมควร ไม่แปลกเลย ถ้าพระองค์จะทรงเสด็จไปไหนต่อไหน สมัยพุทธกาลคนเขามีวิชชาเหาะเหินเดินอากาศเป็นเรื่องปกติ เหมือนเห็นวัวเห็นควาย ไม่ได้ตื่นเต้น !!อะไร ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงยิ่งใหญ่แล้ว คำสอนพระองค์จะอยู่มานาน 2000 กว่าปีแล้ว ก่อนศาสนาอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้น

เอาแค่พระสงฆ์สาวกในประเทศไทยปัจจุบันนี้ พระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดี ก็ยังมีอภินิหารย์ให้เห็น ให้ได้ยินอยู่บ้าง หลักฐานที่ปรากฏที่พอดูได้ ก็คือ กระดูกแปรเปลี่ยนเป็นรัตนะชาติ สันฐานต่างๆๆ เรื่องนี้ (ของจริง) ไม่ใช่ว่าใครจะมาทำกันง่ายๆๆ นี่แค่สาวกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านี้ ยังมีอภินิหาริย์เท่านี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นเจ้าของศาสนาจะทรงคุณวิเศษมากแค่ไหน !!!

ในสมัยพระพุทธกาล เมื่อพระสงฆ์จะทรงโปรดผู้ใด ให้บรรลุธรรม ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีไป ผู้นั้นเห็นเข้าราวกะว่า ได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ฟังพระธรรม ดำรัส ก็บรรลุธรรมตามแต่บุญบารมี

ไม่แปลกหรอก ถ้าพระพุทธองค์จะทรงเสด็จไปณ ใดๆ !!!

ศรัทธา เป็นข้อแรกของจรณะ ที่จะนำไปสู่วิชชา

คุณสมพร

เรื่องภาษา โปรดเชื่อผมเถอะ วิชาภาษาศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ทางภาษา มีหลักเกณฑ์มีวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์

ที่ผมเขียนไปนั้น เขียนตามตำรา

ภาษาตระกูลไต (Tai family) เกิดมาประมาณ 2000 กว่าปีมาแล้ว และเกิดแถวๆ จีนตอนใต้

ภาษากับต้นไม้จะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าเกิดแถวไหน จะมีสาขาย่อยมาก มะม่วงถ้าเกิดที่ไหน แถวๆ นั้น จะมีพันธ์มะม่วงมาก

ภาษาตระกูลไต มีอยู่แถวจีนตอนใต้มาก มากกว่าเอเซียอาคเณย์ไม่รู้เท่าไหร่ ต้องไปอ่านหนังสือของ อาจารย์ ฟัง กวย ลี

แถวนี้ เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ไม่รู้ใช้ภาษาอะไรพูดกัน แต่มันไม่ใช่ว่า จะบันทึกไม่ได้ แต่คนแถวนี้ เขาบันทึกเป็นเรื่องเล่า กับกระดาษ

เรื่องเก่าจึงศูนย์หายไปหมด เมื่อแถบกับขอม ขอมบันทึกลงหิน

สำหรับเรื่องอื่น ก็ตามความเชื่อ วันหลังถ้าผมอารมณ์ดีๆ ผมจะถามพระพุทธเจ้าเอง

แล้วจะมาเขียนบอกทีหลัง ถ้าถามว่า ทำไมไม่ถามตอนนี้เลย

พระพุทธองค์นั้น ทรงแบกภาระมากมายมหาศาล ถ้าไม่จำเป็น พวกเราก็ไม่กล้าไปรบกวนเหมือนกัน

ถามนึดนึง ประดับความรู้

ดร. ไปคุยกับพระพุทธเจ้าได้แล้วหรอครับ

งั้น ดร. สามารถทำนายอนาคตได้หรือป่าวครับ

แล้วหลวงพ่อสดตอนนี้อยู่ที่ ดุสิตบุรีพรหมเกตุ อย่างที่ หลวงพ่อธัมชโยบอกป่าวครับ

สวรรค์ชั้นดุสิตนี่ไปถึงยากป่าวครับ ถ้าไม่ได้ญาณไรเลยทำบุญเยอะๆ จะได้มั้ยครับ ดุสิตนี่

แล้วดุสิตมีนางฟ้าสวยๆป่าวครับ

ผมก็อยากจะทราบเหมือนกันครับ ที่วัดพระธรรมกายปฏิบัติกันเป็นจริงหรือเปล่า ? ถ้าถูกก็ดีไป ถ้าผิดก็แย่เลย !!!

เรื่อง บุญ บาป ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย

ผู้ปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย นี่ แยกออกไปหลายความรู้ ความเห็นมากๆ แต่ละกลุ่ม มีผลการปฏิบัติแตกต่างกันสิ้นเชิงมากๆ

จากการได้ยินพูดๆกันมา เมื่อปฏิบัติสมาธิแล้ว ใจเป็นสมาธิได้แล้ว ก็สามารถเห็นนั่น เห็นนี่ได้ มีทั้งที่เห็นจริง ที่เห็นลวงๆ หลอกๆๆ ก็มี

ถ้าผู้ฝึกใคร่ครวญ ไตร่ตรองให่ดีก่อนที่จะเชื่อมั่น หรือ ปล่อยละเลย ก็จะเป็นเรื่องดี

หลายๆๆ ผู้ปฏิบัติโดยมาก ขาดการพิจารณาโดยแยบคาย เห็นปุ๊บ เชื่ออย่างที่เห็นปั๊บทันที !!!! เห็นอะไรก็เอามาเล่าสู่กันฟัง จริงไม่จริงอีกเรื่องนึงนะ !!!! (ไม่ใช่ว่าใครปฏิบัติเห็นได้ แล้วเอามาพูดจะจริงทุกคน)

มีประวัติของหลวงปู่มั่น ฯ ในตอนที่ท่านปฏิบัติธรรมนั้น ท่านเห็นตัวเองเป็นเทวดา แต่งองค์ทรงเครื่องไปนั่นไปนี่ได้ เป็นเรื่องเป็นราว ทุกวัน เป็นเดือนๆๆ จนท่านมาคิดว่า "นั่งธรรมะ ปฏิบัติธรรมเราจะมาตามดูไอ้นี่เหรอ..." คิดแบบนี้แล้วท่านเลยหยุด

ผมก็มีประสบการณ์ตลกๆ มาเล่าให้ฟังเรื่องความรู้ ความเห็น ผมปฏิบัติธรรมอยู่ปกติ (อยู่ในธรรมะ) ประมาณตีสอง เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ มานิ้วมาเขียนเลขใส่มือให้ เลขสามตัว (ปกติผมไม่เล่นการพนัน ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มของมึนเมา)

ผมก็ถามไปว่า "มาทำไม"

เขาไม่พูด มาเขียนเลขใส่ฝ่ามือให้ จับมือถือแขนกันได้ รู้สึกได้ (ไม่ใช่จับลมจับแล้ง) เขียนเสร็จ เขาคนนั้นก็หายวับไป

ผมออกจากธรรมะ ลืมตา มือยังรู้สึก ว่า ถูกเขียนอยู่เลย รู้สึกถึงรอยเขียน เหมือนจริงมาก

ผมก็มาซื้อลอตเตอร์เลขท้ายสามตัวให้ตรงกับที่เขาบอกมา (ในชีวิตไม่เคยซื้อลอตเตอรรี่เลย เป็นครั้งแรกของการพนัน)

ปรากฏว่า !!!! ออกคนละตัว ห่างกัน ยังกะนอกโลกกะเหวลึก

ผมก็มาปฏิญาณกะตัวเองว่า "ถ้าท้าวสักกะ ไม่เอาลอตเตอรรี่มาใส่กับมือ ชาตินี้ชาติไหน ข้าจะไม่ซื้อลอตเตอร์รี่แบบนี้อีก"

ความรู้ ความเห็นสำคัญมากๆๆ เสี่ยงต่อการ "ถูกหลอก" ได้ง่าย มากกว่า "ของจริง"

โปรดโยโสมนสิการให้มาก ทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ฟัง การรู้การเห็นในทางธรรมเสี่ยงต่อมารทั้งหลายหลอกลวง การรู้การเห็นจริงๆๆ ต้องหยุดนิ่งจริงๆๆ

ไม่ใช่สักแต่ว่า นั่งหลับตาแล้วไปเห็นนั่้นเห็นนี่แล้ว เป็นใช้ได้ ก็เอามาเล่าๆ พอ

เรียน คุณถามนึดนึง ประดับความรู้ [IP: 202.129.12.194]

ผ่านวิชา 18 กาย ก็ทำได้ทุกคน ทำนายอนาคตอย่างที่คุณคิดไม่ได้ แต่วิชาธรรมกายสามารถทำวิชาสามได้ ก็รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ได้

หลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ระหว่างนิพพานกับภพสาม เป็นกรณีพิเศษ ต้องดูแลศาสนา และดูแลวิชาธรรมกายต่อ

ไชยบูลย์มันก็โกหกไปเรื่อย ไชยบูลย์ดวงธรรมก็ไม่เห็น กายธรรมก็ไม่เห็น โกหกเอาเงินเข้าย่ามอย่างเดียว

สวรรค์ชั้นดุสิต ไปไม่ยาก แต่ต้องบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะอยู่ชั้นนี้ ลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี พอตายไป ก็ไปอยู่่ชั้นนี้เลยไม่ยาก

ถ้าคุณอยากจะไปสวรรค์ เพื่อไปหานางฟ้า เปลี่ยนความคิดเถอะ ไปอาบอบนวดก็มีถมไป

เรียนคุณสมพร

ไชยบูลย์ มันปราชิกไปนานแล้ว หลักฐานชัดเจนก็เรื่องโกงเงินวัด อัยการฟ้องจึงเอาเงินไปคืน พอเอาเงินไปคืนแล้ว ทักษิณไปช่วยพูดกับอัยการ อัยการก็ยกฟ้อง

การเอาเงินไปแล้ว เมื่อถูกฟ้องจึงนำมาคืน ไชยบูลย์จึงปราชิกไปแล้ว

สำหรับวิชาธรรมกาย เรามีวิชาตรวจสอบว่า "สิ่งที่เห็น" นั้น จริงหรือไม่จริง

วิชาธรรมกายจะเห็นไปตามตำรา สิ่งไหนที่ "ตำราไม่กล่าวไว้" เราก็ใช้ตำราเป็นเครื่องตรวจสอบ

สำหรับหลวงปู่มั่น ที่เห็นตัวเองแต่งตัวแบบเทวดา ท่านน่าจะเห็นกายทิพย์ของท่าน

ทีหลัง ถ้าเทวดาบอกหวยอีก และถูก ขอความกรุณาช่วยบอกมาทางผมด้วย อยากจะรวยเหมือนกัน

ผมไม่ซื้อแล้ว ลอตเตอร์รี่ เพราะปฏิญาณไปแล้วว่า "ถ้าท้าวสักกะไม่เอาลอตเตอร์รี่มายัดใส่มือ ชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหนๆ ก็ไม่ซื้อ"

นอกจากท้าวสักกะเอามาให้เอง (นั่นก็แสดงว่า ผมไม่ซื้อเองอีกแล้ว)

หรือไม่ก้อ ท้าวสักกะเอาลอตเตอร์รี่มาให้เมื่อไร ? ผมจะบอกให้ ดร. ทราบเป็นคนแรกเลยครับ !!! ^_^

เกร็ดประวัติ และ ปกิณกธรรม ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ๕


จากหนังสือ "รำลึกวันวาน"

หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ 

โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดบันเทิงธรรม

กระทู้ 19153  โดย : ภิเนษกรมณ์ 08 มี.. 49

ตอนที่  

การฟื้นฟูศาสนาในประเทศไทย

 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
รัชกาลที่ 4


เรื่อง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นี้ ท่านปรารภหลายวาระหลายสถานที่ ท่านพระอาจารย์ (หลวงปู่มั่น) เล่าว่า สมัยหนึ่ง เมื่อ พระเจ้าปเสนทิโกศล เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า ที่พระเชตวัน พระพุทธเจ้า ทรงปรารภถึงความชราภาพของพระองค์ทั้งสองว่า

"ตถาคตและพระองค์ ก็ย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว ไม่ช้าตถาคตก็จะปรินิพพาน และก็เช่นกัน พระองค์ก็จะเสด็จสวรรคต ตถาคตไม่กลับมาสู่ภพนี้อีก ส่วนพระองค์ เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร และเป็นพระสหายของตถาคต ยังต้องกลับมาสร้างบารมีต่อ ถ้าคราวใด ศาสนาของตถาคตเสื่อมลง ขอพระองค์ทรงกลับมาฟื้นฟูด้วย"

ต่อมาไม่นาน พระโอรสวิฑูฑภะ ก่อการกบฏขึ้นในแผ่นดิน พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เสด็จหนีไปยัง แคว้นมคธ เพื่อขอความช่วยเหลือจาก พระเจ้าอชาตศัตรู แต่พระองค์เสด็จไปไม่ทัน ประตูเมืองถูกปิดลงเสียก่อน ด้วยความชราภาพ และเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง พระองค์ก็เสด็จสวรรคตอย่างเดียวดาย ไร้ญาติขาดมิตร ที่ศาลาที่พักคนเดินทางนอกประตูเมือง นี่แหละหนอ สังสารวัฏ มีเบื้องต้นและที่สุด อันใครๆ ก็ตามไปรู้ไม่ได้

พระพุทธเจ้า คงจะทรงเห็นเหตุอันนี้ จึงตรัสกับ พระเจ้าปเสนทิโกศล อย่างนั้น ท่านพระอาจารย์ เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล นั้นเอง ที่มาทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เมื่อถึงจุดนั้น

(พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับลัทธพยากรณ์แล้วว่า ภายหน้าจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลำดับที่ 3 เมื่อนับ พระเมตไตรย เป็นลำดับที่ 1 และ จะมีพระนามว่า พระธรรมราชา - ภิเนษกรมณ์)

อริยวาส อริยวงศ์

เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) อยู่กับ ท่านพระอาจารย์มั่น ที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทาน ฟังเทศน์ และ ได้นำกระดาษห่อธูป มีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน

พอได้เวลา ผู้เล่า ขึ้นไปทำข้อวัตรปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้า เลยเก็บขึ้นไป

พอท่านเหลือบมาเห็น ถามว่า "นั่นอะไร" 

"รูปพระพุทธเจ้า ขอรับกระผม"

ท่านกล่าว "ดูสิ คนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ"

แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า  "ให้บรรจุเสีย"

ผู้เล่า เอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า "บรรจุ" จับพิจารณาดู พระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวัน ยังไม่ขึ้นมา

ท่านพูดซ้ำอีกว่า  "บรรจุเสีย"

"ทำอย่างไร ขอรับกระผม"

"ไหนเอามาซิ"

ยื่นถวายท่าน ท่านจับไม้ขีดไฟมา ทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า 

"หนังสือธรรมะสวดมนต์ ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำ จะเป็นบาป"

ผู้เล่าเลยพูดไปว่า "พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดีย นะกระผม"

ท่านตอบ "หือ คนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้"

ท่านกล่าวต่อไปว่า

" อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวก ในยุคพุทธกาล ตลอดถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทย ทั้งนั้น

ชนชาติอื่น แม้แต่ สรณคมน์และศีล 5 เขาก็ไม่รู้ จะเป็น พระพุทธเจ้า ได้อย่างไร ดูไกลความจริงเอามากๆ

เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้น และ ชนชาติพม่า คือ ชาวรัฐโกศล เป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็น วัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตายจากผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่าในปัจจุบัน "

"ส่วน รัฐสักกะ ใกล้กับ รัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมา สุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว"

ผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า "ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม"

"ไม่รู้สิ อาจเป็น ชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุง ในพม่า ก็ได้"

ขณะนั้น ท่านวัน ขึ้นไปพอดี ตอนท้ายก่อนจบ ท่านเลยสรุปว่า 

"อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็น โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น"

ผู้เล่า พูดอีกว่า "แขกอินเดีย ทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม"

ท่านบอก "พวกอิสลาม ที่มาไล่ฆ่าเรา น่ะสิ"

"ถ้าเช่นนั้น ศาสน์พราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้ง ภาษาสันสกฤต ด้วย"

"อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆ กันมาจนปัจจุบัน ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้า สอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้า สอนอย่างไรก็ทำตาม"

ท่านยังพูดคำแรงๆ ว่า "คุณตาบอดตาจาวหรือ เมืองเรา วัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่เห็นหรือ" (ตาบอดตาจาว เป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า)

"แขกอินเดีย เขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฎหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั่นแหละ ถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด"

"ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธ จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือ ที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้"

"พระพุทธเจ้า ทรงวางพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่าง พุทธันดรก็ดี สุญญกัปปก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่ได้เป็น อริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็ขาดแต่ผู้ได้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่า จากบรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่"

ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการฉะนี้แล


ความเป็นมาของชาวไทย


พระปฐมเจดีย์


พระปฐมเจดีย์ เป็นเจติยสถานที่ตั้งอยู่ใน ประเทศสุวรรณภูมิ ที่เรียกว่า "แหลมทอง" คือ ประเทศไทย ในปัจจุบัน

ท่านพระอาจารย์มั่น เล่าว่า เมื่อครั้งมีการทำสังคายนาครั้งที่ 3 นั้นพิเศษ คือ มีพระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถอันกว้างไกล เห็นว่า พระพุทธศาสนา มารวมเป็นกระจุกอยู่ที่ ชมพูทวีป หากมีอันเป็นไปจากเภทภัยต่างๆ พระพุทธศาสนา อาจสูญสิ้นก็ได้ จึงมีพระประสงค์จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ สำหรับพระสงฆ์สายต่างๆ ผู้เล่าจะไม่นำมากล่าว จะกล่าวเฉพาะที่มายัง สุวรรณภูมิประเทศ ตามที่ ท่านพระอาจารย์ เล่าให้ฟัง

ท่านที่เป็นหัวหน้ามาสุวรรณภูมิคราวนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกไว้ คือ ท่านพระโสณะ และ ท่านพระอุตตระ

การส่งพระสงฆ์ ไปประกาศพุทธศาสนา คราวสังคายนาครั้งที่ 3  นั้น อย่าเข้าใจว่า จัดแจงบริขารลงในบาตรและย่าม ครองผ้าเสร็จ ก็ออกเดินทางได้ ต้องมีการจัดการเป็นคณะมากพอสมควร รวมทั้ง พระสหจรและสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ด้วยเป็นกระบวนใหญ่

การเดินทางรอนแรมระยะไกล ไปต่างประเทศ พระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้า และสหจร ท่านคงมีสายญาติ และ ญาติโยมผู้เคารพนับถือตามไปด้วย คงไม่ปล่อยให้ท่านเหล่านั้น เดินทางไปลำบาก ต้องมีคณะติดตาม เพื่อจะได้คอยช่วยเหลือหุงหาเสบียงอาหาร ในระหว่างเดินทาง อีกอย่างหนึ่ง หากพบภูมิประเทศที่เหมาะสม ก็ตั้งถิ่นฐานแสวงโชคอยู่ที่สุวรรณภูมิประเทศได้ จึงได้พากันมาเป็นกระบวนใหญ่

ชนชาติเจ้า ของถิ่นเดิม ที่อาศัยอยู่ในสุวรรณภูมิประเทศ มีอยู่แล้ว แต่คงไม่มาก หากมีอันตรายจากสัตว์ร้ายและเภทภัยต่างๆ มาย่ำยีเบียดเบียน การป้องกันก็ลำบาก เพราะกำลังไม่พอ นครปฐม คงเป็นที่รวมชุมชน กระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ นักแสวงโชคจากชมพูทวีป คงเอาที่นั้นเป็นจุดเริ่มต้น ชาวสุวรรณภูมิ ก็คงได้ยินกิตติศัพท์เช่นกัน จึงต้อนรับด้วยความยินดี

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ดี การแสวงโชคของญาติโยมที่ตามมาก็ดี ได้รับการสนับสนุนด้วยดี ประกอบกับผืนแผ่นดินก็กว้างใหญ่ไพศาลอุดมสมบูรณ์ ชาวประชาถิ่นเดิม ก็ยอมรับนับถือพระรัตนตรัยและศีล5 มีการสร้างวัดถวาย คงเป็นวัดพระปฐมเจดีย์เดี๋ยวนี้ ส่วนนักแสวงโชค ก็คงประกอบสัมมาอาชีพไปตามความสามารถ และ ปฏิบัติพระสงฆ์ไปด้วยพร้อมๆ กันนี้คือ ชนชาวชมพูทวีป ที่ได้เข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นครั้งแรก

นักแสวงโชคเหล่านั้น เมื่อประสบโชคแล้ว แทนที่จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็นึกถึงญาติๆ ทางชมพูทวีป กลับไปบอกข่าวสารแก่ญาติๆ จึงมีการอพยพย้ายถิ่นฐานตามกันมาอีก

ลุศักราชประมาณ 500 ถึง 900 ปี หลังพุทธปรินิพพาน อาเพศเหตุร้ายก็เริ่มเกิดขึ้น เนื่องจาก ชนชาติชาวเปอร์เซีย ในปัจจุบัน คือ แถบตะวันออกกลาง เกิดมีลัทธิอย่างหนึ่งขึ้นมาในปัจจุบัน คือ ศาสนาอิสลาม ได้จัดขบวนทัพอันเกรียงไกร รุกรานเข้าสู่ ชมพูทวีป คือ ประเทศอินเดีย ในปัจจุบัน

อินเดีย สมัยนั้นมี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสรณะที่พึ่งอาศัยของชาวชมพูทวีปทั้ง 7 รัฐ รวมทั้ง ชาวศากยวงศ์ของพระองค์ อยู่ด้วยกันฉันท์พี่น้อง การเตรียมรบจึงไม่เพียงพอ

เมื่อกองทัพอันเกรียงไกรยกเข้ามา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบสิ้นชาติก็เกิดขึ้น การหนีตายอย่างทุลักทุเลของรัฐเหล่านั้น จะเป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยนาลันทาเอย พระเวฬุวันเอย พระเชตวันเอย บุพพารามเอย รวมทั้ง พระสงฆ์เป็นหมื่นๆ ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกไว้แล้ว ตายเป็นเบือ ราบเรียบเป็นหน้ากลอง

ชาวรัฐโกศลและรัฐเล็กรัฐน้อย เช่น ลิจฉวี มัลละ ก็ทะลักเข้าสู่ ดินแดนชเวดากอง คือ พม่า มอญ ไทยใหญ่ ในปัจจุบัน ชาวมคธรัฐ มีเมืองราชคฤห์เป็นราชธานี ก็หนีตามสายญาติที่เดินทางมาก่อนแล้ว มุ่งสู่สุวรรณภูมิ รวมทั้งรัฐเล็กรัฐน้อย มีรัฐสักกะ โกลิยะ และอื่นๆ ก็ติดตามมาด้วย แยกเป็นสองสาย สายหนึ่งไปทางโยนกประเทศ คือ รัฐฉาน ปัจจุบันอยู่ในพม่า และเลยไปถึงมณฑลยูนนานของประเทศจีน

รัฐใหญ่ ในครั้งพุทธกาล คือ รัฐมคธ เป็นไทยในปัจจุบัน รัฐโกศล คือ พม่า (เมียนมาร์ในปัจจุบัน)

ท่านพระอาจารย์ เล่าว่า พม่าและไทย พระพุทธเจ้า ทรงโปรดและตรัสสอนเป็นพิเศษ สองประเทศนี้จึงมีพระพุทธศาสนาที่มั่นคงมายาวนาน และ จะยาวนานต่อไป

แต่พม่า เป็นเมืองเศรษฐีอุปถัมภ์ สมัยเป็น ชาวโกศล ก็มีคหบดี คือ ท่านอนาถบิณฑิกะ และ นางวิสาขา เป็นผู้อุปถัมภ์

แต่ไทย มีองค์พระมหากษัตริย์ เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก พิเศษกว่าพม่า

ชาวพม่า มีอุปนิสัยทุกอย่าง โดยเฉพาะ ความซื่อสัตย์ เหมือนคนไทย เป็นมิตรคู่รักคู่แค้น จะฆ่ากันก็ไม่ได้ จะรักกันก็ไม่ลง ท่านว่าอย่างนี้

สมัยพุทธกาล รัฐมคธ มีปัญหาอะไรก็ช่วยกัน บางคราวก็รบกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ มาเป็นไทย เป็นพม่า ก็รบกัน ประวัติศาสตร์ก็จารึกไว้แล้ว

ส่วนพระปฐมเจดีย์นั้น ผู้เล่ากราบเรียนถาม ท่านพระอาจารย์ ท่านตอบว่า  คงจะสร้างเป็นอนุสรณ์ การนำพระพุทธศาสนามาสู่สุวรรณภูมิ เป็นครั้งแรก ฟังแต่ชื่อก็แล้วกัน ปฐม ก็คือ ที่หนึ่ง คือ พระเจดีย์องค์แรก

ท่านกล่าวต่อไปว่า คงบรรจุพระธาตุพระอรหันต์ รวมทั้ง พระบรมสารีริกธาตุด้วย เมื่อมีการบูรณะแต่ละครั้ง ผู้จารึกเรื่องราว มักบันทึกเป็นปัจจุบันเสีย ประวัติศาสตร์เบื้องต้น จึงไม่ติดต่อ ขาดเป็นขั้นเป็นตอน ว่าคนนั้นสร้างบ้าง คนนี้สร้างบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น

คำพูดแต่ละยุค มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย ย้อนถอยหลังกลับไป

คำว่า ประเทศพม่า คนไทยจะไม่รู้จัก รู้จักพม่าว่า เมืองมัณฑะเลย์หรือหงสาวดี

และ คนพม่า ก็จะไม่รู้จักคำว่า ประเทศไทย จะรู้จักไทยว่า เมืองอโยธยา

เรื่องราวเหล่านี้ ผู้เล่าได้ฟังมาจาก ท่านพระอาจารย์มั่น และ พระอาจารย์ชอบ

ต่อไปจะได้เล่าเรื่อง ชนชาวไทย ชนชาวลาว

ท่านพระอาจารย์ เล่าว่า ชาวลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ก็คือ ชาวนครราชคฤห์ หรือรัฐมคธ เช่นเดียวกับ ชาวไทย ไทยและลาว จึงเป็นเชื้อชาติเดียวกัน แต่หนีตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาคนละสาย ลาวเข้าสู่แดนจีน จีน จึงเรียกว่า พวกฮวน คือ คนป่าคนเถื่อนที่หนีเข้ามา โดยชาวจีนไม่ยอมรับ จึงมีการขับไล่เกิดขึ้น (ประวัติศาสตร์ไทย เขียนไว้ว่า ไทยมาจากจีน เห็นจะเป็นตอนนี้กระมัง)

ความจำเป็นเกิดขึ้น จึงมีการต่อสู้แบบจนตรอก ถอยร่นลงมาสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิ ตามสายญาติ คือ ไทย สู่ สิบสองจุไทย สิบสองปันนา หนองแส และ แคว้นหลวงพระบาง ปัจจุบันก็ยังมีคนไทยตกค้างอยู่

พอถอยร่นลงมาถึง นครหลวงพระบาง เห็นว่าปลอดภัยแล้ว และ ภูมิประเทศก็คล้ายกับ นครราชคฤห์ จึงได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นั่น และ อยู่ใกล้ญาติที่สุวรรณภูมิด้วย คือ นครปฐม เป็นพวกที่มาตั้งอยู่ก่อน และ พวกที่เข้ามาตอนหนีตายคราวนั้น

การสร้างบ้านแปลงเมืองเป็นมาโดยราบรื่น โดยให้ชื่อว่า "กรุงศรีสัตตนาคนหุต" (เมืองล้านช้าง) จนถึง พระเจ้าโพธิสาร เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์มีราชโอรส 2  พระองค์ ชื่อเสียงท่านไม่ได้บอกไว้ พอเจริญวัย พระเจ้าโพธิสาร ทรงเห็นว่า เมืองปัจจุบันคับแคบ มีภูเขาล้อมรอบ ขยายขอบเขตยาก การเกษตรกรรมทำนาไม่เพียงพอ และ เพื่อเป็นการขยายอาณาจักรด้วย

จึงส่ง ราชโอรสองค์ใหญ่ ไปตาม ลำแม่น้ำโขง มาถึง เวียงจันทน์ จึงได้ตั้งบ้านเรือนขึ้น มีเมืองหลวง ชื่อว่า "กรุงจันทบุรีศรีสัตตนาคนหุต"

ส่วน พระราชโอรสองค์น้อง ได้ไปตาม ลำน้ำน่าน มาตั้งบ้านเมืองอยู่ที่ สุโขทัย โดยมีเมืองหลวง ชื่อว่า "กรุงสุโขทัย"

ท่านพระอาจารย์ แปลให้ฟังด้วยว่า "สุโขทัย" แปลว่า "ไทยเป็นสุข" เหตุที่อยู่ที่นี้ เพราะปัจจัยในการครองชีพเอื้ออำนวย และ ใกล้ญาติทางนครปฐม ไปมาหาสู่ก็สะดวก ท่านว่าอย่างนี้

นครปฐม ก็มีเมืองหลวง คือ "ทวาราวดีศรีอยุธยา" ที่เรียกว่า ยุคทวาราวดี นั่นเอง

เวียงจันทน์ จึงเป็น พระเจ้าพี่

สุโขทัย เป็น พระเจ้าน้อง

นครปฐม สุโขทัย หลวงพระบาง เวียงจันทน์ ก็คือ ชนชาติชาวราชคฤห์ ในครั้งพุทธกาล นั่นเอง

การอพยพหนีตายคราวนั้น บางพวกลงเรือข้ามทะเล ไปขึ้นฝั่งที่ นครศรีธรรมราช ก็มี ซึ่งมี พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นสักขีพยานว่า ชาวใต้ทั้งหมด ก็เป็นชนชาติรัฐมคธ ในครั้งพุทธกาล เหมือนกันกับ ชาวพม่า มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ก็คือ ชาวโกศล ในครั้งพุทธกาล นั้นเอง 

ศึกษาข้อมูลจากฉบับเต็ม ได้ที่เว็บด้านล่างนี้ครับ

http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-06-05.htm


เห็นความพยายามของคุณคนนี้แล้ว ก็นึกแต่สมเพทเวทนา

ณ ที่ตรงนี้ก็ตอบสั้นๆ ว่า ในการที่จะยืนยันว่าศาสนาพุทธเกิดในประเทศไทยแต่อ้างเฉพาะเรื่อง "ศาสนาพุทธ" นั้น มันไม่ถูกหลักวิชาการ

ก่อนหน้าศาสนาพุทธมีศาสนาพราหมณ์ มีเรื่องรามายณะ มีเรื่องรามเกียรติ์

พร้อมๆ กับศาสนาพุทธมีศาสนาเชน ศาสนาอื่นๆ อีกมากมาย

พวกคลั่งไคล้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ควรหาหลักฐานอ้างอิงมายืนยันด้วย

ปัจจุบันศาสนาเชน (ฑิฆ้มพร) ซึ่งเป็นชีเปลือยยังมีอยู่ ยังมีสาวกอยู่ ตรงนี้พวกคลั้งไคล้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยจะว่าอย่างไร

ทางวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เขาค้นพบปราสาทราชวังตั้งแต่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้า หลังพระพุทธเจ้า เช่น พระเจ้าอโศกมหาราชมากมายมหาศาล

ตรงนี้พวกคลั้งไคล้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยจะว่าอย่างไร

ผมว่า เอาเวลาไปนั่งปฏิบัติธรรมให้พบพระพุทธเจ้า แล้วถามพระองค์เอง จะดีกว่าที่จะเป็น "คนบ้า" ในทางวิชาการแบบนี้...

ขอเสนอแนะว่า

สถานที่ใดเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง สถานที่นั้น จะมี "เสาอโศก" ตั้งอยู่
ด้วยการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 จึงเป็นสิ่งอ้างอิงถึงได้ชัดเจนที่สุด

ขอเพิ่มเติมหน่อยหนึ่ง

ความจริงควรจะต้องศึกษาว่า มีศาสนาไหนอยู่ในยุคนั้นบ้าง มีประวัติศาสตร์อย่างไร

เช่น ในยุคนั้นมีศาสนาเชนด้วย

ถ้าพระพุทธเจ้าประสูติในประเทศไทยจริง ก็ต้องมีร่องรอยของศาสนาเชนบ้าง

แต่นี่ไม่มีเลย

พวกนั้น ศึกษาแบบคนตาบอด ไม่ได้มีหลักเกณฑฺ์ในทางวิชาการ

สมัยพุทธบ้านคนทำจากอะไร

สมเด็จพระปฐมพุทธเจ้าพระพักตร์เหมือนหลวงจีน คิ้วขาวยาว หนวดเคราขาวยาว สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ผิวเหลืองทองพระพักตร์ได้สัดส่วนสวยงาน ลักษณะพระพักตร์ มิใช่แขก มิใช่ฝรั่ง มิใช่ไทย มิใช่จีน

สมเด็จพระปฐมพุทธเจ้าพระพักตร์เหมือนหลวงจีน คิ้วขาวยาว หนวดเคราขาวยาว สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ผิวเหลืองทองพระพักตร์ได้สัดส่วนสวยงาน ลักษณะพระพักตร์ มิใช่แขก มิใช่ฝรั่ง มิใช่ไทย มิใช่จีน

อ่านคำตอบของดร.แล้ว เหมือนไม่ได้อบรมด้านธรรมมะด้านจิตใจมาเลยครับ คำว่า "รู้สึกสมเพท" กับความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ทราบว่าต้องการอะไรเป็นหลักฐาน ก้อน อิฐหรือก้อนกรวด ที่เรียกว่าปราสาท ผมไม่ใช่นักวิชาการ แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าคนที่จบปริญญาเอกจะเป็นคนฉลาดไปซะทุกคน
อะไรที่บอกว่าปราสาทนั้นเป็นของกษัตริย์องค์นั้น การพิสูจน์บางอย่างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถนำมาใช้ได้เสมอไป100% อ้อไม่ต้องแนะนำให้ผมไปอ่านนั่นนี่หรอกครับ เสียเวลา..สมัยเด็กผมก็เชื่อว่าศาสนาพุทธกำเนิดที่อินเดียเนปาลแถวๆนั้น
แต่มีบางอย่างที่มีความขัดแย้งตามที่พระอริยะเจ้าท่านได้กล่าวไว้ ผมเชื่อหลวงปู่มั่น หากคำพูดที่กล่าวข้างต้นเป็นคำจริงไม่มีการดัดแปลงแก้ไข ผมเชื่อว่าหลวงปู่เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมไม่กล่าววาจาเท็จ ซึ่งเป็นการผิดศีลข้อปฏิบัติอย่างแน่นอน หรือคุณจะบอกว่าการเชื่อพระสงฆ์สาวกไม่ถูกต้อง นี่ดูท่าคุณคงจะถามผมว่าเอาอะไรมาเป็นหลักฐานว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอริยะเจ้า..ซึ่งผมก็คงตอบคุณไม่ได้เพราะคุณเป็นแบบธรรมกายซึ่งผมก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าเขาสอนปฏิบัติอย่างไร ความต่างตรงนี้อาจทำให้คุณคิดแบบนั้นก็เป็นได้ .....หวังว่าดร.จะตอบคำถามโดยไม่อาศัยทิฐิสมกับคนที่ปฏิบัติดีแล้วด้วยนะครับ

ผมว่าเป็นเรื่องความเชื่อ และศรัทธานะครับ ไม่ควรว่าเขาว่างมงาย อย่างเช่น เราพิสูจน์ได้มั้ย ว่าชาติที่แล้วมีจริง เพราะบางอย่างมันเกินวิสัยปุถุชนที่จะพิสูจน์ได้

แนวคิดของ ดร.มนัส ที่อ้างแต่หลักวิชาการ มองดูแล้วรู้สึกว่าจะมีมิชฉาฐิทิเยอะเหลือเกินครับ ด้วยความเคารพ

อ่านไป อ่านมา สรุปว่า..ไอ้ดอกเตอร์คนค้านมันบ้าวิชาธรรมกาย ยิ่งตอบยิ่งเห็นกึ๋นแต่ละคน ผมว่คุณสมพรยังมีดีกว่าท่านด๊อกฯ หลายเท่า เสียดาย.. ผมศิษย์เก่าสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา (ชื่อลำดับที่ 3 ของสถาบันฯ ผมเข้าตอนเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วิทยาเขตนครราชสีมา) เดี๋ยวนี้เป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ที่เสียดายคือ.. ไม่น่ามีท่านด๊อกฯ มาเป็นอาจารย์ให้เสียสถาบันเลย..

ท่าน ดร.มนัส นี้อาจเป็นความรู้เก่าของท่าน หากท่านได้รู้แล้ว แต่หากท่านยังไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ฟังมาก่อน สิ่งนี้จะเป็นความรู้ใหม่สำหรับท่าน ที่จะเปิดโลกทัศน์ธรรม สิ่งนี้คือ เสียงธรรมจากพระธรรมธีรราชมหามุนี ( โชดก ญาณสิทธิ์ ) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ของวัดมหาธาตุฯ ป.ธ.9 เป็นคนทางจังหวัดขอนแก่น เดิมชื่อ หนูคล้าย ต่อมา สมเด็จฯ เขมจารีมหาเถระ เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า “โชดก” ท่านบวชแต่เป็นสามเณร ทิ้งสังขารด้วยอิริยาบถนั่ง ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปสอบอารมณ์กรรมฐานให้หลวงพ่อวัดปากน้ำที่ในโบสถ์ ถามท่านว่า หลวงพ่อปฏิบัติมากี่ปีแล้วท่านตอบ 43 ปี หลวงพ่อภาวนาอย่างไร “สัมมาอรหัง” หลวงพ่อปฏิบัติได้ถึงไหนแล้ว? “ถึงธรรมกาย”. . .ท่านเจ้าคุณโชดก จะกล่าวว่าอย่างไรต่อไป ซึ่งท่านได้กล่าวไว้หลายที่ในเทปธรรมะพาดพิงถึงหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เป็นสิ่งที่ท่าน ดร.มนัส จะต้องหาเอาเองเป็นความรู้ครับ

       ท่าน ดร.มนัส นี้อาจเป็นความรู้เก่าของท่าน หากท่านได้รู้แล้ว แต่หากท่านยังไม่เคยรู้  ไม่เคยได้ฟังมาก่อน  สิ่งนี้จะเป็นความรู้ใหม่สำหรับท่าน ที่จะเปิดโลกทัศน์ธรรม  สิ่งนี้คือ เสียงธรรมจากพระธรรมธีรราชมหามุนี ( โชดก ญาณสิทธิ์ ) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ของวัดมหาธาตุฯ ป.ธ.9 เป็นคนทางจังหวัดขอนแก่น เดิมชื่อ หนูคล้าย ต่อมา สมเด็จฯ เขมจารีมหาเถระ เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า "โชดก" ท่านบวชแต่เป็นสามเณร ทิ้งสังขารด้วยอิริยาบถนั่ง ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปสอบอารมณ์กรรมฐานให้หลวงพ่อวัดปากน้ำที่ในโบสถ์ ถามท่านว่า หลวงพ่อปฏิบัติมากี่ปีแล้วท่านตอบ 43 ปี หลวงพ่อภาวนาอย่างไร "สัมมาอรหัง" หลวงพ่อปฏิบัติได้ถึงไหนแล้ว? "ถึงธรรมกาย". . .ท่านเจ้าคุณโชดก จะกล่าวว่าอย่างไรต่อไป ซึ่งท่านได้กล่าวไว้หลายที่ในเทปธรรมะพาดพิงถึงหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เป็นสิ่งที่ท่าน ดร.มนัส จะต้องหาเอาเองเป็นความรู้ครับ

ผมมีความเชื่อว่า พุทธองค์อยู่ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ คือ ไทยลาวพม่า ไม่ใช่ที่อินเดีย ด้วยญาณครับ ผมมาแสดงควาามคิดเห็น เพื่อให้อาจารย์รู้ว่า อาจารย์กล้าและถูกแล้วครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท