๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ ผมไม่มีโอกาสได้ลงพื้นที่ไปร่วมกิจกรรมกับทีมงานและน้องนิสิต เพราะสู้รบกับอาการป่วยไข้ของตัวเองไม่ไหว จึงจำต้องนอนคุยกับสังขารยามป่วยไข้อย่างเงียบๆ จึงกลายเป็นโอกาสอันดีที่ทีมงานจะได้ทำอะไรๆ ด้วยตัวเองอย่างเต็มสูบ -
อีกทั้งหลังการก้าวพ้นจากตำแหน่งเดิม ผมก็พยายามไม่ก้าวเข้าไปในงานต่างๆ มากนัก เพื่อเปิดพื้นที่ให้หัวหน้าคนใหม่และทีมงานได้ทำอะไรๆ ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรู้สึกเคอะเขินกับการที่มีผมอยู่ตรงนั้น
ก่อนนั้นไม่นาน – ผมหิ้วคุณสมปอง มูลมณีลงบ้านใคร่นุ่นเพื่อพบปะพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านใคร่นุ่น (อาจารย์ณตวรรษ อินทะ)
เรื่องหลักๆ ที่เราพูดคุยกันก็คือการร่วมวางแผนการดำเนินงานและออกแบบกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งโครงการที่ว่านั้นก็คือ “เรียนนอกห้องเรียน ปรับเปลี่ยนทัศนคติสู่จิตสำนึกสาธารณะ ครั้งที่ ๘” (ตอน พาน้องเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ เยาวชนไทยทำความดีเทิดพระเกียรติสมเด็จพระราชินี)
การพูดคุยกันวันนั้น เราต่างออกแบบกิจกรรมร่วมกันแบบเป็นกันเอง เรียกได้ว่าชักอะไรออกจากตัวตนของเราก็ล้วนกลายเป็น “อาวุธ” ได้ทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า “ประสบการณ์” จะเป็น “ทุน” อันยิ่งใหญ่ในการปรับแต่ง “ปัญหา” ให้กลายมาเป็น “ปัญญา”
และโครงการครั้งนี้ ก็มุ่งให้นิสิตเกิดการเรียนรู้ในทิศทางการบ่มเพาะเรื่อง "คุณธรรม จริยธรรม" ของการเป็นนิสิต รวมถึง "อัตลักษณ์ของนิสิต" ที่ต้องเป็นผู้มี "จิตสำนึกสาธารณะ" อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของปรัชญามหาวิทยาลัยว่า "ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน"
โครงการดังกล่าว เป็นโครงการต่อยอดความคิดจากกิจกรรม “มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน” (หนึ่งคณะหนึ่งหมู่บ้าน) ซึ่งในช่วงที่จัดกิจกรรมในหมู่บ้านนั้น ผมได้เสนอให้ชุมชนสร้างสรรค์พื้นที่ในหมู่บ้านเป็นแหล่งเรียนรู้ของลูกหลานให้ได้มากที่สุด ผ่านวาทกรรมหลักคือ “บ้านหลังเรียน” ...
คำว่าบ้านหลังเรียนมุมของผมก็คือการรังสรรค์ให้ทุกพื้นที่ของหมู่บ้านเป็นแหล่งเรียนรู้ของลูกหลาน มีผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนเป็นครูนำพาการเรียนรู้ มีมหาวิทยาลัยเป็นผู้เชื่อมประสานและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อันหลากหลายร่วมกัน
วิธีคิดดังกล่าวจึงมีการขับเคลื่อนอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมอบหมายคณะบางคณะลงจัดกิจกรรมในหมู่บ้าน ประสานงานบริการหอพักลงไปสอนหนังสือเด็กๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงการจัดกิจกรรมให้คนแก่คนเฒ่ามาเล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง หรือไม่ก็ให้เด็กๆ พาพี่ๆ นิสิตท่องเที่ยวในหมู่บ้าน ทั้งแปลงนา ดอนปู่ตา คลองประปา ...
กิจกรรมทั้งปวงนั้น ล้วนแฝงนัยสำคัญของการสร้างสำนึกรักบ้านเกิดทั้งสิ้น !
ครั้งนั้น ผมได้สะท้อนแนวคิดกว้างๆ กับบรรดาแกนนำชุมชนเพิ่มเติมประมาณว่า “...หากมีพื้นที่เล็กๆ ให้นักเรียน หรือลูกหลานของชาวบ้านได้ฝึกการ “ทำนา” ด้วยตนเองจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ไม่ว่าการทำนาที่ว่านั้น จะทำกันแบบดั้งเดิม หรือแบบประยุกต์ในทฤษฎีใหม่ก็ดีทั้งนั้น...”
เรื่องนี้เงียบไปครู่ใหญ่ แต่เมื่อมีโอกาสได้คุยกับผู้อำนวยการฯ ณตวรรษฯ แบบบังเอิญๆ (ขอย้ำว่าบังเอิญจริงๆ) ความคิดฝันของผมก็เป็นรูปร่างอย่างน่าทึ่ง
ผู้อำนวยการฯ ณตวรรษ ยืนยันหนักแน่นว่า “ความฝันของผม ก็เป็นความฝันเดียวกับที่ท่านฝันมาอย่างยาวนาน”
ผู้อำนวยการฯ ณตวรรษ อินทะ : ร่วมเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงในแปลงนา
สิ่งที่ผู้อำนวยการฯ ณตรรษ บอกเล่ากับผมนั้น ยืนยันได้ว่าสิ่งที่ผมกำลังอยากจะทำนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงความปรารถนาของผมแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความปรารถนาของคนในชุมชน ดังนั้นประเด็นของการ “มีส่วนร่วม” จึงเริ่มถูกถักทอขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นอะไรๆ ก็ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นการขยับจากโรงเรียนออกสู่วัดและทะลุไปยังหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ได้แปลงนาเล็กๆ มาหนึ่งแปลงเพื่อเป็น “ห้องเรียน” ให้ทุกคนได้มาเรียนรู้ร่วมกัน
และที่สำคัญแปลงนาเล็กๆ แปลงนั้นก็อยู่ติดกับ “วัด” กลายเป็นเส้นทางสายการเรียนรู้ที่ยึดโยงหากันอย่างหลากมิติ ซึ่งเรื่องนี้ผมเองก็ฝากประเด็นให้นิสิตและชุมชนได้คิดต่อไปว่าจะสร้าง “โจทย์” การเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างไรบ้าง ?
ในวันที่ผมไปลงดูพื้นที่ เราต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า จะใช้แปลงนาเล็กๆ แปลงนี้เป็นแหล่งเรียนรู้การทำ “นาโยน” ของนักเรียน เมื่อประเมินแล้วก็ยิ่งรู้ว่าชาวบ้านหลายท่านก็กำลังสนใจใคร่รู้ในเรื่องนายโยนเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ได้ลงมือทำจริงๆ จังๆ ก็เพราะขาดความรู้เท่านั้นเอง
และนั่นคือจุดบุกเบิกที่มาที่ไปของการเรียนรู้เรื่อง “นาโยน” ...
กรณีดังกล่าวผู้อำนวยการณตวรรษ ขันอาสาเป็นผู้เชิญพ่อบุญเที่ยง พลกองสถิต จากศูนย์ปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดขอนแก่นมาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่นักเรียน นิสิตและชาวบ้าน เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานให้กว้างไกลมากขึ้น และเครือข่ายที่ว่านั้นก็เป็นเครือข่ายทางใจระหว่างอาจารย์ณตวรรษกับพ่อบุญเที่ยงฯ
พ่อบุญเที่ยง พลกองสถิต กำลังบรรยายให้ความรู้เรื่อง "นาโยน"
เมื่อวันงานเดินทางมาถึง กิจกรรมก็เปิดตัวขึ้นที่ศาลาวัดประจำหมู่บ้าน พ่อบุญเที่ยงฯ บอกเล่าประสบการณ์อันเป็น “ปัญญาปฏิบัติ” เกี่ยวกับ “นาโยน” พร้อมๆ กับการฉายวีดีทัศน์เทิดพระเกียรติพระกรณียกิจของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีฯ กับการทำนา สร้างความรักและความซาบซึ้งให้กับผู้คนในศาลาวัดอย่างยิ่ง จนเห็นได้ชัดว่าหลายต่อหลายคนตื่นเต้น และมีแรงบันดาลใจที่จะเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง
นอกเหนือจากการเรียนรู้เรื่องนาโยนแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เสริมการเรียนรู้ร่วมกัน เช่น มอบหนังสืออ่านนอกเวลาให้นักเรียนได้อ่านเล่น นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์สอนทักษะการวาดรูปและใช้สีให้กับนักเรียน ชวนน้องนักเรียนวาดรูปเนื่องในวันแม่ (ผู้หญิงในดวงใจ) เพื่อมอบให้กับคุณแม่ของตัวเอง รวมถึงกิจกรรมมุทิตาจิตเชิดชู “แม่ดีเด่น” และมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนที่มีแม่ดีเด่นไปพร้อมๆ กัน โดยมีพระครูสังวาล ปภสังโร เจ้าอาวาสฯ เป็นพระประธานในการขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าว
ผศ.ดร.สุจิน บุตรดีสุวรรณ : รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตนำทีมลุย "โยนกล้า"
ครับ, นั่นคือการสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้ให้เกิดขึ้นร่วมกัน ด้วยการยึดโยงเอาพื้นที่ในหมู่บ้านเป็นห้องเรียน หรือฐานการเรียนรู้ นำพาไปสู่การปลุกกระแสจิตสำนึกรักบ้านเกิดให้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยใช้ฐานทาง "การศึกษา ไปสู่วัดและขับเคลื่อนไปสู่หมู่บ้าน" ซึ่งจากประสบการณ์ลงชุมชนแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ก็เห็นร่วมกันว่า วิธีการเช่นนี้น่าจะเหมาะกว่าการขับเคลื่อนจาก “หมู่บ้าน >วัด >โรงเรียน”
และทั้งปวงนั้น ก็เป็นจริงตามนั้น พอเปลี่ยนวิธีการ อะไรๆ ก็ขับเคลื่อนขึ้นได้ง่ายและคล่องตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แน่นอนครับ กิจกรรมนี้ในภาพรวมถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สะท้อนภาพการร่วมมือของความเป็น “บวร” อย่างชัดแจ้ง สื่อให้เห็นภาพของมหาวิทยาลัยในฐานะของผู้เรียนรู้และคุณอำนวยที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ให้เปล่งประกายเป็นแสงขึ้นรำไรๆ
แต่ก็ยังมีกิจกรรมบางอย่างที่เราไม่สามารถจัดขึ้นได้ เช่น ทาสีรั้วโรงเรียน ติดตามดูแล “กล้วย ๙ หน่อ มะละกอ ๙ ต้น” ในโรงเรียน เพราะติดขัดกับสายฝนที่ตกมาอย่างไม่ขาดสาย จึงจำต้องปรับไปสู่กระบวนการหลักด้วยการเน้นเรื่อง “แปลงนาโยน” ร่วมกัน
ส่วนกิจกรรมที่ไม่ได้ทำนั้น ก็ยืนยันชัดเจนว่ายังต้องทำกันต่อเนื่อง จะมีการลงพื้นที่ร่วมกันเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ต้องมีการติดตามและร่วมดูแลแปลงนาผืนเล็กๆ นี้ร่วมกัน
บุคลากรกองกิจการนิสิต ไม่รีรอที่จะเรียนรู้ร่วมกัน
ผมมองว่าหากมีกระบวนการ “ทำและเรียนรู้” อย่างจริงจัง ผนึกเข้ากับการ “ถอดบทเรียน” ที่เป็นรูปธรรม จะค้นพบได้ว่าเพียงแปลงนาเล็กๆ แปลงเดียวนี้ อาจเป็น “คลังความรู้” และ “จุดเปลี่ยน” ในการสร้างชุมชน และปั้นแต่งลูกหลานในหมู่บ้านได้เติบโตอย่างมีภูมิต้านทาน
แต่สำหรับผมนั้น ผมเชื่อมั่นเสมอมาว่า การเรียนรู้จากการทำนาเป็นกระบวนการของการสร้างชีวิตอย่างแท้จริง เพราะกว่าจะเป็นเมล็ดข้าวให้บริโภคได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการมากมาย และทุกกระบวนการจากการทำนานั่นแหละ คือการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยคุณค่าและความหมาย
เพราะ ณ วันนี้ ไม่ว่าบ้านเมืองจะก้าวไปสู่สังคมแห่งเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากแค่ไหนก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็ยังเป็น “ชาวนา” อยู่วันยังค่ำ
ครับ, ทั้งผมและทีมงาน หรือแม้แต่นิสิต ยังต้องลงสู่ชุมชนเพื่อเรียนรู้ร่วมกันต่อไป ...
กว่าข้าวกล้าจะแตกใบเป็นต้นๆ สู่รวงข้าวให้เก็บเกี่ยว ก็คงได้เรียนรู้อีกหลายกระบวนยุทธ !
เพราะยิ่งทำยิ่งเรียนรู้ว่าในโลกใบนี้ ช่างเต็มไปด้วยสีสันของการเรียนรู้ ยิ่งเรียนรู้ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรให้ทำมากมายจริงๆ
ถึงแม้กิจกรรมในครั้งนี้จะไม่ใช่กิจกรรมที่ใช้เวลายาวนานและหยั่งรากลึกอย่างที่ควรจะเป็น เพราะติดขัดเรื่องเวลาอันน้อยนิดและรูปแบบกิจกรรมก็ถูกออกแบบเป็น “กิจกรรมบูรณาการ” ที่เน้นต่างฝ่ายต่าง “เรียนรู้ร่วมกัน” เรียนรู้อย่างละนิดอย่างละหน่อย และที่สำคัญก็คือการ “เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง” เป็นสำคัญ
ที่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ค้นพบเหมือนหลายเวทีก็คือ ในความเป็นจริงของชีวิต ไม่มีใครสมบูรณ์แบบในทุกๆ เรื่อง กระนั้นในแต่ละเรื่องก็ย่อมมีใครสำคัญสุดในเรื่องนั้นๆ อยู่เสมอ สำคัญที่ว่าใครจะมี “บารมี” มากพอที่จะเชื่อมโยงสู่ “เครือข่าย” เพื่อดึงเอาความแกร่งและความหลากหลายทางศักยภาพจากภาคส่วนต่างๆ มาผนึกให้เกิดเป็นพลังต่องานนั้นได้มากไปกว่ากัน
ครับ,....
นิสิต อาจมีความรู้ภาคทฤษฎี แต่ก็ขาดทักษะและประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง
นักเรียน อาจมีแรงบันดาลใจ แต่ขาดต้นแบบและโอกาสในการที่จะเรียนรู้
โรงเรียน อาจมีพื้นที่ แต่ขาดทุนและกำลังคนในการสร้างกระบวนการเรียนรู้
ชาวบ้าน อาจมีพื้นที่มากมาย มีความเข้าใจบริบทชุมชน แต่ขาดความรู้ หรือวิทยาการใหม่ๆ
ปราชญ์ชาวบ้าน อาจมากมายไปด้วยความรู้ แต่ขาดโอกาสในการเป็นผู้ถ่ายทอดในเวทีสาธารณะ
นักวิชาการ อาจมีความรู้และวิทยากรใหม่ๆ แต่ไม่มีเวลาและขาดกำลังในการลงพื้นที่เพื่อถ่ายทอดความรู้
...
หมายเหตุ
ภาพโดย งานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ
กองกิจการนิสิต มมส
มาร่วมชื่นชมกิจกรรมดีๆมีความสุข สร้างการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายค่ะ..รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
เสียดาย ที่ไม่ได้ไปร่วมด้วยเลยครั้งนี้ด้วยภาระกิจที่ต้องจัดการหลายอย่าง แต่กิจกรรมนี้เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมสำหรับคนทำกิจกรรมมากๆ สร้างความรักความผูกพันระหว่างแม่ลูก ดูแลกันและกัน มหาลัยร่วมใจกับชุมชน เสริมแรงให้นิสิตมีจิตอาสา เป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ
เด้กหลายคนมีโอกาสเพราะมีผู้หยิบยื่น....โอกาส
เป็นกำลังใจให้สานงานดีดีต่อไปค่ะ
สวัสดีครับ พี่ นงนาท สนธิสุวรรณ
ผมเองก็อยู่ในสถานะของการร่วมเรียนรู้ครับ ถึงแม้ในบางโอกาสจะนำร่องด้วยการเป็นผู้คิดริเริ่มก็เถอะ แต่ก็ต้องนำทุกๆ ส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายให้ได้มากที่สุด เพราะถือว่านั่นคือโจทย์การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่ละทิ้งไม่ได้จริงๆ ครับ
สวัสดีครับ นุ้ยcsmsu
พี่ถือว่าเราเดินทางมาถูกทิศถูกทางแล้วนะ การจัดกิจกรรมรอบๆ มหาวิทยาลัยถือเป็นกลไกสำคัญยิ่งของการเรียนรู้ของนิสิต ก่อเกิดประโยชน์ทั้งการสานสัมพันธ์ชุมชน บริการวิชาการ และสร้างเสริมให้ชุมชนรอบมหาวิทยาลัยเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่มีชีวิตร่วมกัน ถึงแม้งานของนิสิต จะยังไม่เต็มร้อยของการบริการวิชาการ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีความเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ...แล้วนะครับ
สวัสดีครับ Oraphan
สำคัญที่สุดคือโอาสยืนตระห่านอยู่ตรงหน้า เราต่างก็คงเรียนรู้ที่จะเข้าสู่โอกาสนั้นให้ดีที่สุด เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่า เมื่อวันนี้ผ่านไป โอกาสเช่นนั้น จะกลับมาทักทายและเชื้อเชิญให้เราได้เข้าไปสัมผัสเรียนรู้อีกหรือไม่
นั่นคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้และมีสติ หรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นๆ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
เข้ามาอ่านและชมกิจกรรมดี ๆ ค่ะ...
สวัสดีค่ะอาจารย์ เป็นเรื่องราวที่มีความสุขกับการดำนา แบบโยนข้าวค่ะ มีหลายแห่งที่สาธิตให้ชม กำลังเป็นที่น่าสนใจเพราะรวดเร็วกว่าการปลูกกล้าโตนะคะ ชื่นชมมากค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์ แผ่นดิน
(โครงการครั้งนี้ ก็มุ่งให้นิสิตเกิดการเรียนรู้ในทิศทางการบ่มเพาะเรื่อง "คุณธรรม จริยธรรม" ของการเป็นนิสิต รวมถึง "อัตลักษณ์ของนิสิต" ที่ต้องเป็นผู้มี "จิตสำนึกสาธารณะ" อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของปรัชญามหาวิทยาลัยว่า "ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน")
อบ- รม -บ่ม - เพาะ -เรียน -รู้ ครูชาวบ้าน เป็นการกลับคืนสู่รากเหง้า ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน
(หลังจากปลดพันธนาการ ไม่เอาฝันไปพันธนาการ อาจารย์ก็ได้ทำในสิ่งต้องการ ฝันอยากเห็น)เป็นพื้นที่เรียนรู้ ที่ปลอดภัย
สวัสดีค่ะ น้องอาจารย์
นิสิต อาจมีความรู้ภาคทฤษฎี แต่ก็ขาดทักษะและประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง
นักเรียน อาจมีแรงบันดาลใจ แต่ขาดต้นแบบและโอกาสในการที่จะเรียนรู้
โรงเรียน อาจมีพื้นที่ แต่ขาดทุนและกำลังคนในการสร้างกระบวนการเรียนรู้
ชาวบ้าน อาจมีพื้นที่มากมาย มีความเข้าใจบริบทชุมชน แต่ขาดความรู้ หรือวิทยาการใหม่ๆ
ปราชญ์ชาวบ้าน อาจมากมายไปด้วยความรู้ แต่ขาดโอกาสในการเป็นผู้ถ่ายทอดในเวทีสาธารณะ
นักวิชาการ อาจมีความรู้และวิทยากรใหม่ๆ แต่ไม่มีเวลาและขาดกำลังในการลงพื้นที่เพื่อถ่ายทอดความรู้
ขอบคุณค่ะ
มาชมเห็นภาพกิจกรรมทำดีมีสาระน่าสนใจนะครับผม
มาชมชื่นผืนนาไทยใส่ใจรัก
ร่วมสมัครพักพวกพ้องน้องพี่ใหม่
หลอมรวมสร้างภูมิปัญญาชาวนาไทย
ให้ก้าวไกลใจรู้รักสามัคคี...
เสาร์สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
เป็นไงบ้างคะ ไม่ได้ติดตามข่าวคราวสองหนุ่มน้อยนานๆ หลายเด้อค่า
มาควันหลงเทศกาลวันแม่ ชื่นชมส่งกำลังใจการงาน และขอให้มีวันเวลาดีๆ ที่บ้านเช่นกันนะคะ
สวัสดีค่ะ..คุณแผ่นดิน
เวทีแห่งนี้ G2K มีอะไรให้เรียนรู้เยอะแยะมากมาย
มาชื่นชมกิจกรรมดีๆ ไม่เคยเห็นเช่นกัน..นาโยน
เห็นตัวอย่างของจริง
การเรียนรู้ร่วมกันจากการทำจริง
เห็นด้วย...บารมีในการเชื่อมศักยภาพแกร่งของต่างภาคส่วน...สู่การเป็น "เครือข่าย"
อย่างอื่นก็...ความจริงใจ ความอึด..ต่อเนื่อง ศิลปะในการจัดการความขัดแย้ง
และเชื่อมโยงความรู้...รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของชีวิต ของสังคม
กำลังเรียนรู้เช่นกันค่ะ
ขอบคุณนะคะ ที่เขียนแบ่งปัน...ให้คิดต่อเรื่อย ๆ
บทเรียนในครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่า