ปาฏิหาริย์มีอยู่จริง
น้องพั้นซ์ เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2554 มีพี่สาวชื่อ พี่แพรว เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2540 ตอนเล็กๆ ลูกสาวทั้ง 2 คนเป็นแข็งแรง เราเลี้ยงลูกกันเอง ตามประสา พ่อ แม่ ลูก อาศัยอยู่ในบ้านของเราเอง ในรั้วเดี่ยวกับ ตา ยาย ซึ่งก็อยู่ไม่ห่างกันนักกับบ้านปู่กับย่า ครอบครัวเรารักใคร่กันดี
ปลายเดือนมกราคม ในปี 45 น้องพั้นซ์อายุได้ 2 ขวบครึ่ง เริ่มซนไปก้มลงจับปลาที่เลี้ยงไว้ในปลอกบ่อข้างบ้าน พลัดตกน้ำ แต่ยายเห็นก่อนจึงวิ่งมาช่วยไว้ได้ทันท่วงที แต่ก็คงกลืนน้ำไปหลายอึกอยู่เหมือนกัน พักใหญ่ๆ ก็ดีขึ้นวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม จนกระทั้ง 1 เดือนหลังจากนั้นมีอาการซึม ไม่วิ่งเล่นเหมือนก่อน ร้องให้อุ้มตลอด งอแงผิดปกติ แม่เริ่มเห็นอาการผิดปกติก็ตอนที่น้องหมาที่เลี้ยงไว้ในบ้านวิ่งมาหาแล้วชนน้องพั้นซ์เบาๆ น้องล้มลงแต่ลุกขึ้นลำบาก จึงพาไปหาหมอที่คลินิก อาการที่ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงกว่าเดิม เริ่มมีแขน ขาอ่อนแรง แต่น้องไม่สามารถบอกได้แม่รู้ว่าเจ็บปวดขนาดไหน พวกเรา พ่อ แม่ ย่า ยาย รีบพาน้องไป รพ.สิริกิติ์ หมอเอกซเรย์สมองให้ ทุกอย่างปรกติดี คุณหมอสงสัยว่าน้องพั้นซ์คงป่วยเกี่ยวกับโรคทางระบบประสาท จึงแนะนำให้พาลูกไปรักษาต่อที่ รพ.เฉพาะทาง ดิฉันจึงตัดสินใจพาลูกมารักษาตัวที่ รพ.เด็ก กรุงเทพฯ
วันที่ 14 มี.ค.45 มาตรวจที่ รพ.เด็กเป็นวันแรก หมอน้องอาการไม่ดีนัก ให้อยู่โรงพยาบาลดูอาการก่อน อยู่โรงพยาบาลจนถึงวันที่ 25 มี.ค.45 หมออนุญาตให้กลับบ้านได้แต่น้องพั้นซ์ยังมีอาการอ่อนแรงอยู่ แขน ขา ยังไม่มีแรง ทานอาหารไม่ได้ หมอบอกว่าอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ให้กลับไปทำกายภาพบำบัดที่ รพ.สิริกิติ์ทุกวัน ไปได้ 2 วันมีอาการหนักกว่าเดิม วันที่ 28 ก.พ.45 น้องพั้นซ์เริ่มหายใจลำบาก แม่รีบพาส่ง รพ.แกลง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักเพียง 4 กก. ระหว่างทางเกือบจะถึง รพ.แล้ว แล้วลูกก็แน่นิ่งไป หมอใส่ท่อสายใจแล้วส่งต่อมา รพ.เด็กอีกครั้ง
ระยะเวลาเริ่มเจ็บป่วยจนถึงภาวะหายใจล้มเหลว
ซึ่งถือว่าถึงจุดรุนแรงที่สุด ใช้เวลา 1 เดือน ระยะแรก
ใช้เครื่องช่วยหายใจ นอนอยู่ห้อง ICU มีหยุดหายใจไป 1 ครั้ง
คุณหมอช่วยได้ทัน ปรากฏว่าเกิดภาวะปอดแฟบ ต้องทำการเคาะปอดทุกวันๆละ
หลายครั้ง ให้อาหารทางสายยาง น้องพั้นซ์รู้สึกตัวดี การรับรู้ดี
แต่ไม่สามารถหายใจได้เอง ต้องอยู่ ICU สนับกับห้องรวม ห้องพิเศษ
สลับไปมา บางช่วงอาการดีก็ย้ายเข้าพิเศษ อยู่ได้สักพัก เกิดอาการช๊อค
ต้องย้ายเข้า ICU พอดีขึ้นย้ายไปห้องรวมก่อน
เพื่อดูอาการให้แน่ใจว่าจะไปน๊อคไปอีก จึงย้ายไปห้องพิเศษอีกครั้ง
ทำเช่นเรื่อยๆไปจนครบ 6 เดือน คุณหมอสหัส ดูแลเรื่องระบบประสาท
คุณหมอพนิดา ดูแลเรื่องทางเดินหายใจ คุณหมอสุนทรี ดูแลเรื่องโภชนาการ
มีคุณหมอทำกายภาพอีกคน ไม่รวมหมอที่มาฝึกงานอีกร่วม 100
คนที่ได้มาดูน้องพั้นซ์
(เนื่องจากพบไม่บ่อยนักกับโรคที่อาการรุนแรงแบบนี้) มีน้าต่าย ป้านิด
น้าดา น้าแต้ว พิเศษ 7 ข อีกหลายคนมาก ดูแลกันเหมือนญาติ
พยาบาล ผู้ช่วย ห้อง ICU ห้องรวม สรุปได้ว่า ณ
เวลานั้นทุกคนรู้จักและเอ็นดูน้องพั้นซ์กันทุกคน
โดยเฉพาะน้าต่ายนี่พยาบาลที่มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งกันน้องพั้นซ์
จะเฝ้าดูแลด้วยความทนุถนอม จนน้องอาการดีขึ้นเป็นลำดับ
และหย่าเครื่องช่วยหายใจเป็นพักๆ
และในที่สุดก็ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
คุณอนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันที่ 23 สิงหาคม 2545
และกำลังใจที่ดีอีกอย่างคือ
ดิฉันได้อ่านแนวทางในการรักษาลูกจากเอกสารถ่ายสำเนาของญาติกันที่เป็นพยาบาลเขาถ่ายมาให้
เป็นบทที่ 4 เรื่องการพยาบาลผู้ป่วย Guillain Barre' Syndrome
(GBS) หน้า 47-60 ของคุณหมอประคอง อินทรสมบัติ และคุณหมอชวลี แย้มวงษ์
ทำให้มีกำลังไม่สิ้นหวังกับการรักษาลูก อ่านทุกวัน บางครั้งวันละ 2-3
รอบ ระหว่างรอเยื่ยมลูกสาวที่หน้าห้อง ICU
ปัจจุบันยังเก็บรักษาไว้อย่างดี และไปถ่ายเอกสารไว้อีกฉบับ
วันนี้ (3 มี.ค.54)
นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 45
ก็จะไปเอกสารที่เก็บรวบรวมไว้ตอนลูกป่วยมานั่งดู แล้วก็ไม่เคยลืม ชื่อ
ประคอง อินทรสมบัติ และ ชวลี แย้มวงษ์ เลยสักครั้ง
มาวันนี้มีอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้านแล้ว ลองค้นหาดูไม่น่าเชื่อ เจอจริงๆ
ด้วย
ถึงจะดึกมากแล้วก็ขอได้ถ่ายทอดความรู้สึกในใจที่เก็บสะสมไว้เคยลืม
มาบอกกล่าวไปถึงอาจารย์หมอ ที่ไม่เคยรู้จัก และเห็นหน้ากันมาก่อนเลย
ได้มีส่วนช่วยให้ลูกสาวหายมาเป็นปกติได้ทุกวันนี้
ก็เพราะวิชาความรู้ที่อาจารย์ได้ถ่ายทอดไว้
ดิฉันสัญญาจะฝึกเขียนทุกๆวัน เพื่อวันข้างหน้าอาจมีใครสักคนหนึ่ง
ที่ได้รับกำลังใจและแรงศรัทธาที่เราฟันฝ่าอุปสรรคทั้งปวงได้
เป็นกำลังใจให้คุณแม่ ...........
ยินดีที่ลูกหายจากการเจ็บป่วย
เคยดูแลผู้ป่วยโรคนี้เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน.... สุดท้ายน้องโชคร้าย ไม่สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้ สิ้นความทุกข์ไปแล้ว
ยินดีด้วยนะครับ
เป็นเครืองชี้ว่า คนเราไม่ควรสิ้นหวัง
แต่ควรมีหวังไว้เสมอ
ตามมาให้กำลังใจครับ ดีจังเลย
ความรักของทุกคน และความสามารถของคุณหมอ-พยาบาล ช่วยให้น้องดีขึ้นเป็นลำดับ..ขอเป็นกำลังใจค่ะ..
สวัสดีค่ะคุณ'พจนา'
ขอเป็นกำลังใจและร่วมแสดงความยินดีในปาฏิหาริย์ที่มีอยู่จริงด้วยค่ะ
ขอบคุณมากจ้าทุกกำลังใจ ตอนนี้น้องพั้นซ์อายุ 13 ปี กำลังจะเรียน ม.1 สุขภาพแข็งแรง ชอบเล่นตะกร้อ วิ่งออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ตอนนี้สูง 165 ซม. หนักประมาณ 50 กก. จ้า
ดีใจกับคุณแม่ที่เข้มแข็งและดูแลลูกอย่างดีจนน้องหายดี หนูเป็นอีกคนที่ตอนนี้กำลังดูแลสามีที่มีอาการเหมือนน้องเลยแต่สาเหตุมาจากประสบอุบัติเหตุรถมอไซด์ชนกันที่บ้านของตัวเองแท้ๆซึ่งมันไม่น่าเกิดขึ้นเลยT___Tหนูเศร้าและไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วมันทุกข์ทรมานเหนื่อยสงสารหมดกำลังใจมันหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างในชีวิตจริงๆ แต่เพราะความไม่แท้แท้และสู้จนตอนนี้เค้าดีขึ้นเป็นลำดับและกำลังฟื้นฟูตัวเอง หนูมีความสุขมากที่เห็นเค้ามีวันนี้