เดล คาร์เนกี้ ธรรมะจากสมุดเล่มน้อย


การพัฒนาตนเอง

เมื่อปี36-38     ดิฉันเคยโกรธนายอย่างมากมาย     ดิฉันจะคิด  คิดแล้วก็น้ำตาไหล     นึกถึงแต่ว่าทำไมเค้าไม่เชื่อเรานะ

ดิฉันเป็นทุกข์มากๆ     แต่จำไม่ได้ว่าไปอ่านหนังสือของเดล   คาร์เนกี้มาได้อย่างไร     หนังสือทั้งหมดมี6เล่ม     ดิฉันค่อยๆซื้อมาอ่านทีละเล่ม   ตกลงใจซื้อทั้งหมดสามเล่ม     เล่มที่ดิฉันประทับใจและจดใส่สมุดเล่มน้อยคือ  วิธีเสริมสร้างมิตรภาพและชนะใจคน    How  to  win  friends  and  influence  people    ซึ่งตัวจริงของหนังสือก็ได้หายไป     ดิฉันจะไปซื้อใหม่ก็ปรากฎว่าไม่ขายแล้วค่ะ

ทั้ง20ข้อที่ผู้เขียนแนะนำมีดังนี้ค่ะ

  1. ไม่เอ่ยถึงสิ่งไม่ดีของผู้อื่น  นำแต่ส่วนที่ดีเท่าที่ทราบมาพูด
  2. ธรรมชาติที่ล้ำลึกที่สุดของมนุษย์ก็คือการโหยหาที่จะได้รับการยกย่อง
  3. จะใช้คำยกย่องที่กลั่นออกมาจากใจจริง  คำพูดของเราจะอยู่ในความทรงจำของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเนิ่นนาน  ทั้งยังจะย้ำเตือนให้เขาระลึกถึงมันเสมอแม้เราจะลืมไปแล้ว
  4. พูดถึงแต่สิ่งที่เขาต้องการและแสดงให้เห็นว่าทำอย่างไรจึงจะได้มัน
  5. จงเอาใจใส่ผู้อื่นอย่างแท้จริง
  6. จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกันที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน
  7. มนุษย์ต้องสอนเขาเหมือนกับคุณไม่ได้สอนและจงเสนอสิ่งที่เขาไม่รู้  ประหนึ่งว่าเขาลืมเลือนมันไป
  8. จงเคารพความคิดเห็นของอีกฝ่ายและอย่าบอกว่าใคร (เขา) ผิด
  9. จงเริ่มต้นด้วยไมตรีจิต
  10. การโต้แย้งถกเถียงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ผลใด
  11. จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งตอบรับทันทีเมื่อเปิดฉากสนทนา
  12. จงทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความรู้สึกว่าความคิดนั้นเป็นของเขา
  13. ทุกคนชมชอบการขอร้อง
  14. จงขอร้องด้วยการพูดให้อีกฝ่ายบังเกิดความรู้สึกว่าเป็นเจตนาที่ดีงามต่อกัน
  15. อย่าเตือนผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาผิด
  16. เหตุผลมีเฉพาะก่อนเหตุการณ์  หลังเหตุการณ์มีแค่คำแก้ตัว
  17. พูดถึงความผิดพลาดของตนเองก่อนเสมอแล้วจึงตำหนิผู้อื่น
  18. ไม่มีใครชอบรับคำสั่ง  จงขอความเห็นแทน
  19. จงอย่าฉีกหน้าอีกฝ่าย
  20. จงรักษาหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง

ดิฉันจะอ่านบ่อยๆเพื่อเตือนตนเองเพราะรู้นิสัยที่ต้องพัฒนาให้ดีขึ้นอีกหลายอย่าง    ในช่วงนั้นอายุยังน้อย     อ่านแล้วคิดว่าฉันจะทำได้กี่ข้อนะ     พอโตมากขึ้นๆจนใกล้เกษียณรู้สึกว่าทำได้หลายข้อมากขึ้น โดยจำนวนข้อจะผันแปรไปตามอายุค่ะ

ขอลปรร เพื่อคนที่โกรธนายอย่างดิฉันจะได้นำไปใช้บ้างค่ะ    เผื่อทุกข์จะน้อยลง

หมายเลขบันทึก: 45026เขียนเมื่อ 17 สิงหาคม 2006 11:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 21:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (36)

แม้จะไม่ใช่ผู้ที่โกรธนายจนน้ำตาไหลแต่เคยแอบน้อยใจอยู่เนืองๆ

ต้องขอบคุณ ผอ. นะคะที่มีสิ่งดีๆมาฝาก บางข้อก็พยายามฝึกตัวเองอยู่

ค่อนข้างยากนะคะ แม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี  ต้องใช้เวลากว่าจะฝึกได้ เริ่มต้นตอนนี้กว่าจะเกษียณคงได้หลายข้ออยู่

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

  ขอบพระคุณอย่างสูงคะ ที่ท่าน ผ.อ. มีสิ่งที่ดี ๆมาฝาก อ่านแล้วต้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวันให้มาก ๆ  เลยคะ  แต่อย่างไรก็ตามนะคะ   ดิฉันยังคงยึดหลักธรรมะคะ บางครั้งก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน แต่คิดว่า "เรามีความจริงใจซะอย่าง"  สงสัยอาจยังคงมีอายุน้อยอยู่

ดิฉันขอ ลปรร. คะ ไม่ทราบว่าใช้ได้หรือเปล่า เพราะเพิ่งนำไปใช้กับเจ้าหน้าที่ OPD อายุรกรรม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ( 1 เดือนก่อนที่ได้มีโอกาสไปร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกัน )  แต่ทุกคนก็สู้ตายนะคะ  โดยเฉพาะดิฉันก็นำเอาสิ่งที่ท่าน ผ.อ. นำมาฝากไปใช้ด้วยแต่ไม่ทราบหรอกคะว่า เป็นของใคร

สิ่งที่นำมานี้เป็น King' s speech a good thing คะ (จริง ๆ แล้วเอกสารฉบับนี้เป็น ACD  ซึ่งเอามาใส่  ไม่เป็นคะ เลยต้องนั่งพิมพ์....................ถ้าเอามาใส่ได้  ขอความกรุณาสอนด้วยนะคะ)

กับเพื่อนร่วมงาน

ไม่ใช่แค่ว่าทำงานร่วมกัน อยู่ด้วยกันวันละ 8 ช.ม. ไม่  เพียงแต่พูดกันเรื่องงาน  หากแต่จะต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย  แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด สู้ปล่อยตัวให้สบาย ๆ ไม่ได้ พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน...อยู่ร่วมกันก็ยิ่งควรจะ...เข้าใจ.....ให้อภัย......และใส่ใจซึ่งกันและกัน

กับหัวหน้า    

บางครั้งก็เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง 

  เขามักจะมาต่อว่ามากกว่าจะมายอมรับ   

สิ่งที่เค้าให้ทำก็เหมือนว่าจะไม่รู้จักจบจักสิ้น  หากลองกันกันถ้าหากเราไปอยู่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่  เราคงจะเข้าใจเค้าได้ง่ายหน่อย....... และให้อภัยเขาได้

กับหัวหน้าไม่จำเป็นต้องเป็น .....คู่ปรับกัน แต่จะต้องรู้จักแบ่งปัน..........เรียนรู้......และเติบโตไปด้วยกัน

กับลูกน้อง

เป็นเพราะรู้จักให้.......ผลตอบแทนก็กลับมามากกับลูกน้อง

ไม่ใช่เฉพาะความสัมพันธ์กับเบื้องบนและเบื้องล่างเท่านั้นอยังมีความสัมพันธ์ด้านหุ้นส่วนกันด้วย  

รู้จักให้อภัยและเข้าใจซึ่งกันและกัน  
หากรู้จักยอมรับมากกว่าที่จะจับผิด  

 ให้รอยยิ้มมากกว่าสายตาอันตำหนิติเตียน 

ผลตอบแทนทีทั้งสองฝ่ายจะได้รับยิ่งมากตามไปด้วย

 

ขอลปรร.ด้วยค่ะ

  • ในชีวิตประจำวันของเรา จะมีโลกธรรม 8 คือ การมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์  เรามี 8 อย่างวนเวียนอยู่ทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
  • หากเราเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของโลก ชีวิตเราจะไม่วุ่นวายค่ะ

ท่าน ผอ. 

  • ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆมาบอกเล่าค่ะ

      จะเข้ามาอ่านบ่อยๆเพื่อเตือนตนเองเพราะรู้นิสัยที่ต้องพัฒนาให้  ดีขึ้นอีกหลายอย่าง 

  Zip It

ท่านผอ. ครับ เล่มนี้ผมก็เคยเห็นเหมือนกันครับ

จำได้ว่าเป็นหนังสืออ่านประกอบนอกเวลา ตอนนั้นหากันตับแลบเลย

(วิ่งแย่งกันไปซื้อ) เพราะหนังสือเก่ามาก แถมมีนิดเดียว

คาดว่าที่หมดส่วนหนึ่งเพราะอาจารย์บอกจะออกสอบนี่ละ นิสิตหลายร้อยคนแย่งกันจะเป็นจะตาย

ต่อมาเปมือนเรื่องตลกครับ จบมาแล้ว หนังสือตีพิมพ์ใหม่เอี่ยม

ตั้งเป็น 100ๆ เล่ม.......

 ............

จะบอกว่ามีตีพิมพ์ขายแล้วนะครับ เห็นที่ดวงกมล ซีคอนแสคว์ครับถ้าผอ. ยังสนใจอยู่

หมายเหตุ เห็นเมื่อ 2 ปีก่อนนะครับ อิอิ

 

ข้อ ๑๐ ครับ...

หากการโต้แย้งนั้น โต้กันด้วยพื้นฐานของข้อมูล ปัญญา ผมคิดว่า น่าจะเกิดประโยชน์

............

ดีมากเลยครับ ผมขออนุญาตนำเก็บไปใช้พัฒนาตนครับ

ขอบคุณมากครับ 

  • ขอบคุณค่ะ ท่านผอ.ที่นำสิ่งดีๆมาบอกเล่า
  • ข้อ 3... คำพูดของเราจะอยู่ในความทรงจำของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเนิ่นนาน  ทั้งยังจะย้ำเตือนให้เขาระลึกถึงมันเสมอแม้เราจะลืมไปแล้ว.......คงเหมือนกับการตอกตะปูลงไปบนไม้ แม้ถอนตะปูออกแล้ว แต่ร่องรอยนั้นก็ยังคงอยู่ไม่จางหายไป
  • ท้ายสุด...คงจะชวน Bee angle เข้ามาอ่านบ่อยๆเพื่อเตือนตนเองเพราะรู้นิสัยที่ต้องพัฒนาให้ดีขึ้นอีกหลายอย่างค่ะ
ขอบคุณที่ได้ประโยชน์ค่ะ       คงคิดว่าเราดีอยู่คนเดียวทำให้ขัดใจมากค่ะ      จริงๆแล้วต่างคนต่างมีความจำเป็นต้องคิดต้องทำภายใต้ข้อจำกัดของเขาแต่เราไม่เข้าใจก็จะเอาอย่างที่เราคิดค่ะ     การโต้เถียงจะดีต้องเป็นกัลยาณมิตรกันก่อนค่ะถึงจะฟังกัน    ส่วนใหญ่ก็จะคิดไปคนละทางคนละทิศที่ผู้บริหารต้องทำให้เป็นทิศเดียวกัน     

สวัสดีครับท่าน ผอ.

ผมขอสมัครเป็นสมาชิกสักคนนะครับ

จาก 20 ข้อ ที่ อาจาร์สรุปมา เป็นประโยชน์อย่างมากเลยครับ และ ก็ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่อาจารย์สรุปมามห้ครับ

เมื่อประมาณสัก เกือบ 10 ปี ผมมีโอกาสได้เข้ารับการอบรมเรื่อง การพัฒนาบุคลิกภาพ และการพูดในที่ชุมชน โดยอ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์(หากเขียนผิดก็ขออภัยนะครับ) ได้หนังสือเล่มเล็กมาเล่มหนึ่ง ชื่อ กฎ 67 ข้อ ของ เดล คาร์เนกี้ ผมหวงมากครับ และ ก็หวงจนหาย จนในที่สุดผมได้หนังสือมาอีกเล่มจากร้านหนังสือมือสอง ชื่อ  วิธีชนะมิตรและจูงใจคน (ฉบับภาษาไทย ) ผมอ่าน 2 รอบ และ ก็พยายามจะสรุป เพื่อจัดเป็นบอร์ดให้กับพนักงานในบริษัทผมอ่านเป็นตอนๆไป แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วครับเพราะผมไปพบ ว่าที่ http://www.geocities.com/pong1930/leader0.htm

เขาทำสรุปไว้ให้แล้วครับ ดีมากเลยครับ

ทีนี้ผมทราบจากอาจาร์ที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า หนังสือของ เดล คาร์เนกี้ มี 3 เล่ม จะขอความกรุณาบอกกล่าวสักนิดได้ไหมครับว่ามี ชื่อว่าอะไรบ้าง ผมจะได้ไปหาซื้อมา (ไทย หรือ อังกฤษก็ได้ครับ)

ขอบคุณล่วงหน้าครับ

หนังสือมี6เล่มค่ะ   

  วิธีเสริมสร้างมิตรและชนะใจคน

How  to  win  freins  and  influence  people

วิธีดำเนินชีวิตอย่างสุขใจไร้กังวล

How  to  stop  worrying  and  start  living

วิธีทำงานให้สนุกและสร้างสุขในชีวิต

How  to  enjoy  your  live  and  your  job

ศิลปการพูดที่มีประสิทธภาพ

The  quick  and  easy  way  to  effective  speaking

วิธีชลอความแก่

Grow  up ,dont  grow  old

วิธีช่วยสามีให้กล้าวไกลในรกิจและสังคม

How  to  help  your  husband  get  ahead  in  his  business  and  social  life

ทั้งหมดนี้ลอกมาจากท้ายหนังสือที่เหลืออยู่สองเล่มค่ะ

ขอบคุณที่ให้ข้อมูลและจะตามไปอ่านตามที่ให้มาเนื่องจากนิสัยที่ยังไม่พัฒนาบางอย่างยังควบคุมไม่ค่อยได้เช่นการจำชื่อคนค่ะ

ถ้ามีหนังสือดีๆก็แนะนำมาได้นะคะ

 

สวัสดีครับคุณหมอ

ผมแวะเข้ามาช้าไปหน่อย(สองปี) แต่ก็ได้ความรู้ที่เป็นประโยชน์มากครับ ผมค้นหาคำว่า เดล คาร์ เนกี ในกูเกิ้ล จึงพบบล็อกของคุณหมอ และตามเข้ามาอ่าน

สาเหตุที่ค้นหาเนื่องจากว่าผมฟังรายการวิทยุคลื่น 89.5 (ราชมงคล) ช่วงเวลา 7.30น.ของวันที่21 ตค.51 รายการห้องรับแขก จัดโดยคุณอรอุมา เขาสัมภาษณ์

คุณสมคิด ลวางกูร คนที่เขียนหนังสือ วางมีดหมอมาหัวร่อหน้าไมค์ และเกี่ยวกับชุดทนายความ ชุดพระ และล่าสุดคือ พลิกชีวิตหายนะสู่ความสำเร็จ ตอนหนึ่งเขาได้กล่าวถึง เดล คาร์เนกี ว่าคือผู้ที่จุดประกายให้เขามีวันนี้ได้ นี่คือที่มาครับ

และผมชอบบทสรุปที่คุณหมอเขียนไว้ จึงขออนุญาตนำมาใช้อ้างอิง และส่งต่อ เมล์ให้น้องๆ เพื่อนๆ ได้อ่านสิ่งที่ดีๆ และขออนุญาตนำบล็อกนี้เข้าแพลนเน็ตของผมด้วยครับ ผมเองไม่ค่อยจะมีเวลาเขียนบล็อกใหม่เลย ได้แต่อ่านของชาวบ้านครับ

ขอบคุณคุณสมเจตน์ที่เข้ามาเยี่ยมและดีใจที่ข้อมูลเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านค่ะ

สวัสดีน้องน้ำผึ้งที่แวะมาเยี่ยมและทักทายค่ะ หมอยังทำแว้บๆไม่เป็นเลยค่ะ

สวัสดีครับคุณหมอ มาแนะนำหนังสือที่น่าจะพออ่านได้ครับ เรื่อง พุทธานุภาพกับจิตตานุภาพ



รายละเอียดอ่านจากลิงค์ http://bookstore.manager.co.th/BookView.asp?ID=4522 

ขอบคุณค่ะ เข้าใจว่าลูกเคยให้อ่านค่ะ จะลองไปค้นดูที่บ้านและนำมาอ่านอีกครั้งค่ะ

ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำดีๆ และ หนังสือดีๆที่น่าอ่าน ชอบเดล คาร์เนกี้มากๆเลยค่ะ

เคยทำแบบทดสอบและ ลองใช้ดู ได้ผลในชีวิตประจำวันมากเลยค่ะ และที่สำคัญชีวิต

มีความสุขขึ้นมากเลยค่ะ เพราะทำอะไรก็มีแต่คิดดีและในด้านบวกทั้งนั้น ยังแอบอดคิด

ไม่ได้เลยนะค่ะ ว่าคุณเดล ท่านอาจเป็นพุทธภูมิมาสร้างบารมีให้เต็มก็ได้นะ (คิดไปได้)

อ่านไปก็ได้แต่โอ้โห้..คิดแบบนี้ เป็นนักบวชได้เลยนะเนี่ย..ยิ่งอาจยิ่งมั่นใจค่ะ..

คุณหมอว่า..เป็นอย่างนั้นไหมค่ะ..สวัสดีค่ะ

เรียนคุณ benyapra

หมอเห็นด้วยค่ะ เวลาทำจริงๆต้องฝึกสติบ่อยๆจึงจะทำเหมือนเดล คาร์เนกี้สอนได้ค่ะ

หมอได้แต่นำมาเตือนใจและพยายามพัฒนาใจกายให้ดีขึ้นกว่าเดิมซึ่งคงใช้เวลาอีกนาน

ขอบคุณที่เข้ามาทักทายค่ะ

เรียนคุณหมอค่ะ

ดิฉันเพิ่งเคยได้อ่านหนังสือของเดล คาร์เนกี ค่ะ เห็นที่ร้านซีเอ็ดเมื่อต้นเดือนมกรานี้เองค่ะ (How to win friends & influence people) รู้สึกประทับใจหนังสือเล่มนี้เช่นเดียวกันค่ะ หลังจากอ่านดิฉันเพิ่งทราบว่าหนังสือเล่มนี้เคยตีพิมพ์ครั้งแรกตั้ง 70 ปีมาแล้ว แต่เรื่องราวยังทันสมัยใช้ได้อยู่ทุกยุคทุกสมัย ชอบมากเลยค่ะ

ตอนนี้หนังสือนำมาแปลและเรียบเรียงใหม่ เพิ่งพิมพ์ออกมาเมื่อธันวา 51 นี้ค่ะ เผื่อคุณหมอสนใจค่ะ

อยากอ่านหนังสือของเดลคาร์เนกี้มาก แต่หาซื้อไม่ได้เลย ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมคะว่าหาซื้อได้ที่ไหนได้บ้าง

ผมเพิ่งซื้อเล่ม How to win friends & influence people กำลังอ่านอยู่เลยครับ จากร้าน SE-ED สนุกและได้ความรู้มากครับ

ต้องขอโทษคุณพาวานาและขอบคุณคุณวิรัชที่มาช่วยตอบให้ค่ะ หมอกำลังยุ่งและไม่ค่อยมีเวลาดูหนังสือที่ร้านทำให้แนะนำไม่ค่อยถูกค่ะ

เมื่อก่อนอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจพอมาหัดดูจิตดูกายและเห็นตัวตนของตัวเองทำให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้นและอ่านคำสอนของเดลคาร์เนกี้ได้เข้าใจขึ้นกว่าเดิมค่ะ

กำลังมีความทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ก็มีที่มาเหมือนคุณหมอคือมาจากเจ้านาย คุณหมอเพียงแต่โกรธนายแล้วน้ำตาไหล แต่ดิฉันโดนนายลอบทำร้ายทำลายชีวิตราชการ ทำไมดิฉันจึงใช้คำว่าลอบทำร้าย เหตุเพราะนายกับดิฉันโกรธเคืองด้วยหลายสาเหตุ และครั้งสุดท้ายโต้เถียงกัน นายลักลอบไม่ขึ้นขั้นเงินเดือนให้ตามที่ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นเสนอ เกิดเรื่องราวร้องเรียนกันยกใหญ่ แล้วคำที่ว่าทะเลาะกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ย่อมได้เปรียบก็เป็นจริง ดิฉันถูกย้ายไปไกลจากบ้าน ทำให้เดินทางไปก็ลำบาก จะย้ายไปอยู่เลย ก็อายุมากแล้วสามีเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ ที่ที่ถูกย้ายไปก็ค่อนข้างห่างไกลตัวอำเภอ สามีก็เลยให้ลาออก ดิฉันจำใจต้องออกจากราชการทั้งที่ไม่ได้ตั้งตัว เตรียมใจ ทุกข์แสนสาหัสเพราะคิดว่า นายไม่มีคุณธรรม ทำเรื่องไม่จริงเพื่อจะหาทางกลั่นแกล้งดิฉัน นายไม่มีคุณธรรมเพราะพูดเล่าเรื่องเท็จต่อผู้ใหญ่ นายไม่มีคุณธรรมนำเรื่องโกรธเคืองส่วนตัวมาปะปนกับงานราชการ และที่สำคัญนายในส่วนกลางไม่มีคุณธรรม เพราะไม่ยอมค้นหาสาเหตุเพราะเป็นคนที่ชอบพออยู่แล้วกับนายที่มีปัญหากับดิฉัน ดิฉันถามตัวเองว่า ทำไม ทำไม ทำไม ดิฉันไม่เคยคิดคด ไม่เคยนำหน้าทีมาหาประโยชน์ส่วนตัว ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายในหน้าที่การงานไม่เคยแหลวไหล ซึ่งด้วยความเชื่อมั่นและยึดมั่นว่าดิฉันได้ทำสิ่งที่ถูกต้องมาตลอดแม้ว่าจะไม่ถูกใจนายบางคนเพราะความคิดในเชิงปฏิบัติตัวไม่เหมือนกัน ดิฉันมั่นใจมาตลอดว่า หากดิฉันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยมีนอกใน ไม่เคยดื่มกินเหล้าในเวลาราชการ ไม่เคยแอบหนีราชการไปเล่นการพนัน ไม่เคยทำในเรื่องไม่ควรทำ ส่วนใครจะทำเรื่องใดดิฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยว ดิฉันดูแลเพียงตัวดิฉันเองมิให้บกพร่องก็น่าจะเพียงพอ แต่กับนายคนนี้กับไม่เพียงพอ ดิฉันแค้นใจในสิ่งที่ได้รับจากผุ้ใหญ่ ดิฉันเคืองแค้นใจนายที่แอบลักลอบทำร้ายดิฉันโดยดิฉันไม่ได้ระวังตัว ดิฉันอยู่ในความทุกข์มาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ตื่นขึ้นพร้อมกับคำว่าทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมเขาจึงเป็นคนใจร้าย ทำไมเขาจึงไม่มีคุณธรรม ทำไมเขาจึงไม่เป็นผู้บังคับบัญชาที่ควรมีพรหมวิหาร 4 และอีกหลายทำไม ต่อมามีคนส่งข่าวถึงดิฉันว่า นายดิฉันเป็นมะเร็งเข้ารับการผ่าตัดนานถึง 6 ชั่วโมง ให้ดิฉันให้อภัยเขาเสีย ดิฉันถามตัวเองว่าดิฉันให้อภัยเขาได้หรือไม่ ดิฉันตอบตัวเองว่าได้ แต่ดิฉันก็ยังอยากให้เขาได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำกับดิฉันมันทำให้ดิฉันเจ็บปวดมาก ดิฉันอยากให้เขาเจ็บปวดมากพอ ๆ กับดิฉันหรือมากกว่าด้วยซ้ำไป ดิฉันพยายามศึกษาค้นหาธรรมะที่พอจะเยียวยาความรู้สึกเจ็บช้ำใจของดิฉัน ดิฉันพยายามอ่าน อ่าน อ่าน แต่ดิฉันก็ยังไม่หายเศร้าโศกเสียใจ ดิฉันเป็นคนบาปหนักหรือเปล่าคะจึงทำให้ไม่ได้เสียที เคยมีคนกล่าวว่า คนที่ทำร้ายเรา เขาหยิบมีดและแทงเราเพียงครั้งเดียว แต่ที่เราเจ็บแล้วเจ็บอีกเป็นเพราะเราหยิบมีดเล่มนั้นมาแทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยการที่ย้ำคิดแต่เรื่องที่ทำให้เจ็บปวด เวลามีคนบอกดิฉันว่าให้ทำใจ ดิฉันจะตอบว่าทุกวันดิฉันก็พยายามทำใจอยู่ ดิฉันไม่ได้ต้องการจมอยู่กับความทุกข์นั้นตลอดเวลาหรอก เพียงแต่ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนหนึ่ง จึงใจร้ายมาก เพียงแค่ไม่ถูกใจก็สามารถทำร้ายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็นที่สุด โดยไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษเลย ดิฉันเขียนมาซะยืดยาว เพียงอยากเรียนถามคุณหมอว่าดิฉันจะทำอย่างไรจึงจะรักษาใจให้ผ่องแผ้วเบิกบานได้ซะที ดิฉันอยากอภัยให้เขาได้อย่างหมดจดหัวใจ ดิฉันพยายามบอกตัวเองว่าผลที่ดิฉันได้รับจะต้องมีเหตุ หากว่าเหตุไม่ได้เกิดจากเขาก็เกิดจากเรา หากเหตุเกิดจากเรา เราจำเป็นต้องอภัยเพื่อจบเหตุนั้น แต่ผลมันเกิดแล้ว มันไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ก็ควรจะจำใจก้มหน้ารับไป (รึเปล่า) ขอความกรุณาคุณหมอช่วยเคาะความโง่เขลาออกจากสติปัญญาดิฉันด้วยค่ะ

เรียนคุณโอ

หมอไม่ใช่จิตแพทย์ค่ะ คงแนะนำภายใต้ความคิดถ้าเป็นเราจะทำอย่างไรซึ่งถ้าหมอถูกกระทำจริงๆคงทุกข์เหมือนคุณโอค่ะ

หมอคงบอกไม่ได้ว่าใครผิดถูก แต่เรื่องผ่านมาแล้วอยากให้อภัยและเรามุ่งทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเพราะคนที่เราโกรธอาจจะลืมเรื่องที่เขากระทำให้เราไปหมดแล้วแต่เราเอาเรื่องเก่ามาคิดซ้ำๆทำให้ปัจจุบันเป็นทุกข์ แทนที่จะทุกข์ครั้งเดียวกับทุกข์ทุกครั้งที่คิดค่ะ

ทำงานปัจจุบันของเราให้ดีเท่าที่ทำได้ รักษาศีล5ไว้ก่อน สิ่งดีๆที่เราทำอีกมากมายที่เราคิดถึงแล้วจิตใจสบายและจะเกิดบุญทุกครั้งที่คิดถึงน่าจะใช้เวลาที่ได้ประโยชน์มากกว่านะคะ ทดลองดูก่อนนะคะ ขอให้พ้นทุกข์เร้วๆค่ะ

สวัสดีค่ะคุณหมอหญิง

หนังสือเล่มนี้ขายดีมากๆ เลยค่ะช่วงนั้น โชคดีที่ปูได้มาหนึ่งเล่ม

งานของคาร์เนกี้ สุดยอดทั้งนั้นเลยนะคะ ขอบพระคุณมาทบทวนค่ะ

เมื่อก่อนจะใจร้อนมากมาย หากไม่ได้ดั่งใจ จะหงุดหงิดค่ะ

 

ขอบคุณ คุณปูที่มาให้ความเห็นค่ะ

หนังสือมีขายนะครับ มีสองสำนักพิมพ์ น่าจะมีอย่างน้อย 3 เล่มในตลาดตอนนี้ ถ้ายังไง ลองไป Download หนังสือฉบับพกพาของ Dale Carnegie ชื่อ Secret of Success ในเว็บ www.thailand.dalecarnegie.com นะครับ เค้าสรุปวิธีชนะมิตร ชนะทุกข์ และสร้างสุขไว้เป็นข้อๆสำหรับพกพาได้เลย

เมื่อประตูความทุกข์เปิด ประตูความสุข จะปิดลง

คนเราประกอบด้วย ธาตุ 4 ขันธ์5

ผัสสะ6+ตัวรู้หรือสติที่ไปรับรู้เรื่องราว แล้วนำมาใส่กล่อง ความทรงจำ

แล้วเราก็เปิดกล่องความทรงจำนั้นครั้ง แล้ว ครั้งเล่า นับไม่ถ้วน

ซึ่งถ้าเราไม่ไปให้ความหมายกับ เรื่องราวนั้น ๆ มันจะไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้เลย

เรื่องราวเหตุการณ์ มันก็เป็นเพียงแค่อากาศธาตุ เท่านั้น

ทุกอย่างเริ่มตั้นที่ตัวเราไปรู้ ก็จัดการที่ตัวรู้ให้มันรู้ในสิ่งที่เราต้องการ รู้แล้วเกิดประโยชน์และมีความสุขดีกว่า

ขอบคุณคุณobama88ที่มาเติมเต็มค่ะ

จิตมันสั่งไม่ได้ เราคงต้องค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆจนจิตมันยอมรับความจริงของโลกว่าตัวเราไม่มี มีแต่รูปนามนะคะ

ผมมีโอกาศได้มาอ่านที่คุณหมอให้ข้อคิด 20 ข้อของ เดล คาร์เนกี้ ทำให้ผมนึกขึ้นมาว่าเคยอ่านหนังสือนี้เมื่อประมาณ37ปีที่ผ่านมา เป็นหนังสือของคุณอาผม(เจ้าของร้านอาหารไก่ย่างป้าตุ๊ก วังตะไคร๊ นครนายก) เป็นหนังสือที่ดีมากสอนเรื่องการใช้ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จโดยการเข้าใจจิตของมนุษย์โดยถ่องแท้จริง ที่คุณหมอนำมาย่อเป็นข้อๆจำง่ายขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่แบ่งปันในสิ่งดีๆ

ขอบคุณมากคะ สำหรับ การแบ่งปันข้อมูล เป็นประโยชน์มากคะ

ขอบคุณ คุณชัยพจน์และคุณD ที่ได้ใช้ประโยชน์ค่ะ ดิฉันเขียนเล่าออกมาจากใจเพราะเป็นความรู้สึกจริงๆในช่วงยังฝึกการดูกายดูใจหรือฝึกสติยังไม่เป็นค่ะ ขณะนี้พอฝึกสติเป็น ทุกข์หายไปเยอะค่ะ

เคยซื้อที่สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ เชียงใหม่ มีขายค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท