ในช่วงก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา ข่าวที่สร้างความตระหนกต่อคนทั้งสังคม เพราะชี้ให้เห็นถึงวิกฤตสังคมไทยในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นข่าว การไปพบซากศพทารกยัดแน่นช่องเก็บศพวัดไผ่เงินถึงสองพันกว่าซาก เป็นแน่
ข่าวนี้ได้ถูกนำเสนอผ่านทีวีทุกช่องและหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ติดต่อกันเกือบสองเดือนเต็ม ซึ่งในขณะนี้เริ่มซาลงและค่อย ๆ เงียบหายไป และจะกลับมาประทุขึ้นอีกครั้งเมื่อมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก และก็จะเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น เฉกเช่นเดียวกับการทำหน้าที่ขององค์กรที่เกี่ยวข้องที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเสวนา ประชุม อบรมกันจ้าละหวั่นเพื่อหาทางออกต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และก็จะค่อย ๆ เงียบหายไป
ในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ – ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการเกิดขึ้นของข่าวนี้ มีการหยิบเรื่องนี้มีพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างสมาชิกจากทุกภาคส่วนกว่า ๑,๘๐๐ คน ภายใต้ระเบียบวาระการประชุม เรื่อง การแก้ปัญหาวัยรุ่นกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม
ในเอกสารวิชาการประกอบการประชุมแสดงหลักฐานยืนยันว่า ปัจจุบันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของประเทศไทย เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ข้อมูลการตั้งครรภ์และคลอดบุตรในวัยรุ่นระหว่างพ.ศ. ๒๕๔๗-๒๕๕๒ พบว่าอัตราการคลอดของมารดาอายุน้อยกว่า ๒๐ ปี มีแนวโน้มสูงขึ้นจากร้อยละ ๑๓.๘๖ ในปี ๒๕๔๗ เป็นร้อยละ ๑๖.๐๐ ในปี.๒๕๕๒ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวหากรวมการแท้งและเด็กตายคลอดที่ส่วนใหญ่ไม่มีการแจ้งเกิดจะมีจำนวนสูงกว่านี้มาก
ผลต่อการตั้งครรภ์ของวัยรุ่นมาจากหลากหลายปัจจัย อาทิ อายุเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธุ์ครั้งแรกมีแนวโน้มลดลงที่อายุเฉลี่ย ๑๕ – ๑๖ ปี การมีเพศสัมพันธุ์ไม่มีการคุมกำเนิดหรือไม่ได้ใช้วิธีการป้องกัน ขาดความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย คิดว่าการใช้ถุงยางอนามัยขัดขวางความรู้สึกทางเพศ และไม่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสตั้งครรภ์เมื่อใด รวมทั้งการถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนใกล้ชิดและจากอิทธิพลของสื่อยั่วยุอารมณ์ทางเพศ นอกจากนี้ วัยรุ่นยังไม่กล้าไปขอรับบริการคุมกำเนิด เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการมีทัศนคติไม่ดีต่อวัยรุ่น ในขณะที่การเข้าถึงบริการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสำหรับวัยรุ่น ยังเป็นเรื่องที่วัยรุ่นต้องไปแสวงหาเองด้วยความรู้ที่ไม่ถูกต้อง
สมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกหน่วยงานทุกองค์กรต้องมาร่วมกันแก้ปัญหาในเรื่องนี้ โดยเรียกร้องให้เร่งทำงานตามกรอบนโยบายที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น “นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ” และ “ยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม” โดยการแปลงสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ มีการดำเนินงาน กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
มีการพัฒนาการเรียนการสอนเพศศึกษา จริยธรรมและศีลธรรมและจัดให้มีระบบรองรับการแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ในระหว่างการศึกษา โดยพัฒนาศักยภาพและสร้างทัศนคติที่ถูกต้อง แก่ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรในสถานศึกษา รวมทั้งสร้างเครือข่ายผู้สอนเรื่องเพศศึกษา ให้ครอบคลุมทั้งในและนอกระบบการศึกษา รวมทั้งจัดให้มีกระบวนการเรียนการสอนเพศศึกษารอบด้านที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ โดยเริ่มให้มีการเรียนการสอนเพศศึกษาและจริยธรรมทางเพศตั้งแต่ปฐมวัย โดยการเพิ่มกิจกรรมนอกหลักสูตรและสร้างเสริมทักษะทางสังคม และให้มีระบบติดตามกระบวนการเรียนการสอนและหนุนเสริมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อปท. จะต้องเข้ามาเป็นองค์กรหลักในการแก้ปัญหาในชุมชน มีการบรรจุเรื่องนี้ไว้ในแผนที่ชัดเจน มีการสนับสนุนให้ชุมชนออกมาตรการทางสังคมที่สอดคล้องกับศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีและบริบทของชุมชนในแต่ละพื้นที่ เชื่อมโยงกับกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับพื้นที่ที่มีอยู่กว่าเจ็ดพันแห่ง
ต้องการให้เร่งผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม. ไปแล้วให้ให้สามารถประกาศใช้ได้ภายในปี ๒๕๕๔ นี้
นี้คือตัวอย่างของมาตรการทั้งหมดที่ผู้เข้าประชุมเห็นตรงกัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้เป็นปัญหาร่วมของสังคม ทุกคนในสังคมต้องเข้ามาร่วมกันแก้ไข อย่าคิดว่าเป็นหน้าที่ขององค์กรโน้นองค์กรนี้ ตัวคุณเองนั่นแหละที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
ไม่มีความเห็น