บ่ายวันนี้ ผมวางแผนจะออกไปเยี่ยมบ้าน ...เพราะยามเช้ายังร้อนมาก ถ้าได้ออกไปหมู่บ้าน ชื่นชมบรรยายกาศ วิถีชีวิตชาวบ้าน คงจะชื่นฉ่ำใจไม่น้อย
มัวรอช้าอยู่ใย ? เมื่อเตรียมของเรียบร้อยแล้ว ผมจึงรีบบึ่งรถมอเตอร์ไซด์คู่ชีพ ไปรับลมเย็น ๆ นอกรั้วอนามัยได้แล้ว...
สองข้างทางเงียบเหงา ไร้เพื่อนสัญจรไปมาร่วมเส้นทาง มีเพียงถนนที่เป็นจุดหมายปลายทางข้างหน้า และต้นไม้เขียว ๆ เบียดเสียดแน่นหนา ส่วนใหญ่เป็นต้นกะถิน และต้นมะขามเทศ ที่คอยเป็นเพื่อนของผม
ออกไปสักพัก...ออกจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่หมู่บ้าน
ผมโบกมือให้กับชาวบ้านของผม ที่กำลังดำนา...หน้าสู้ฟ้า...หลังก้มมองดิน...น่าปวดหลังจังเนาะ ผมรำพึงรำพันในใจ...ผมในฐานะคนบริโภค ควรตระหนักถึงความสำคัญของชาวนา และเมล็ดข้าวทุกเมล็ด มีค่ามากมาย เกินที่จะกินทิ้งกินขว้าง....
มิน่าตอนนี้ ผู้รับบริการภาคเช้าจะลดลงเกือบครึ่ง แต่พอเวรบ่าย ห้า..หกโมงเย็น จะทลอยมาหาหมออย่างคับคั่ง ด้วยอาการปวดหลังที่ก้มจากการดำนา ปวดมือและปวดแขนจากการหอบกล้า และใช้นิ้วมือดำนา ตาแดงจากน้ำนาที่ไม่สะอาด และสารเคมีฆ่าปูฆ่าหญ้าฆ่าหอย ผิวหนังเป็นผื่นแสบคันร้อนจากการแช่น้ำนาน ๆ และยังรวมถึงอุบัติเหตุที่เหยียบของมีคมในน้ำ
ชีวิตชาวนาเป็นชีวิตที่ยากลำบากเอาการ ถึงแม้ต้นทุนและค่าแรงสูง แต่ราคาข้าวกลับน้อย อย่างไรก็ตาม ...ชาวอีสานยังต้องทำนา เพราะถือคติว่า มีข้าวในเล้า นับว่า มีอยู่มีกินตลอดปี
ผมตระหนักในใจของผมเองว่า ....ผมรับราชการ...รับเงินเดือนจากภาษีประชาชน ต้องทำงานให้คุ้มค่าเพียงใด ?
ความงดงามของธรรมชาติที่เรียบง่าย ผ่านวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ใกล้ ๆ ตัวของเรา หลายครั้งที่สร้างความประทับใจมากมายให้กับผม มากกว่าการเดินทางไกลแสนไกลนับร้อยพันกิโลเมตร
ผมค้นพบว่า ชาวนาเขามีศิลปะนะครับ การทำให้พื้นนามีความงดงามและเป็นระเบียบ การคำนวณหาระยะห่างของต้นกล้าแต่ต้น ให้เรียงรายเป็นระเบียบงดงาม เป็นแถวตอนไม่บิดเบี้ยวเหมือนแม่ปูและลูกปูเดิน
เป็นความธรรมดาที่เราดูชินตา แต่จริงแล้วความธรรมดาเหล่านั้น มีความพิเศษซ่อนอยู่เสมอ...
ผมบึ่งรถมอเตอร์ไซด์มาเรื่อย ๆ ประมาณ 2 กิโลกว่า ๆ ก็เข้าถึงหมู่บ้าน ที่ผมจะไปเยี่ยมบ้านแล้ว
ผมถึง... วัดบัวบานเย็นแล้วครับ...ที่ไหนมีวัดวาอาราม ย่อมแสดงถึงความเป็นหมู่บ้าน และผู้คน เพราะวัดมีความสำคัญสำหรับคนเรา ตั้งแต่ลืมตาดูโลก และจนถึงวินาทีลาโลก แต่น่าจะยาวนานกว่านั้น เพราะต้องรอการเผา และยาวไปอีกชั่วลูกชั่วหลาน เมื่อเขาจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปหาเราอีก
วัด...และแหล่งน้ำ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแถบภาคอีสาน
ผมเดินทางมาเรื่อย ๆ เจอคุณยายท่านหนึ่ง กำลังยัดนุ่นเข้าไปในผ้า เพื่อเป็นหมอนขิด อันเป็นหัตถกรรมที่เลื่องชื่อของตำบลของเรา และเป็นส่วนหนึ่งของพิธีที่ดังระดับโลก คือ พิธีแห่นาคโหด
แขกหรือผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญบวชนาค ถ้าถวายหมอนขิดจะมีความเจริญและมีความสุข เพราะหมอนใช้หนุนศีรษะเพื่อการนอน ดังนั้น ถ้าหมอมขิดมากมายและเรียงตัวสูง ๆ เท่าใด ความเจริญและความสุขก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
แล้วผมก็มาถึง...บ้านคุณฟ้าริน ที่ผมต้องการมาเยี่ยมบ้านแล้วครับ บ้านยังเป็นโครงอยู่ครับ ปล่อยทิ้งร้างไม่ได้สร้างต่อมาเกือบ 2 ปี คุณฟ้าริน เปิดประตูต้อนรับ อยู่อีกบ้านถัด ซึ่งเป็นบ้านน้องสาวที่ไปทำงานที่กรุงเทพ ฯ จึงให้อยู่บ้านของน้อง เพื่อเฝ้าบ้านให้ด้วย
คุณฟ้าริน เป็นนามสมมติ เป็นผู้ผ่านบำบัดยาเสพติด ผมชอบใช้คำนำหน้าทุกท่านกลุ่มนี้ ว่า "ฟ้า" ดังบันทึก... เยี่ยมบ้าน...น้องฟ้าใส ... http://www.gotoknow.org/blog/adirek12/446218
เพราะผมเชื่อว่า...ฟ้าหลังฝน จะงดงามและสงบเย็นเสมอ
คนเราทุกคนล้วนต่างการเป็นคนดี แต่ด้วยเหตุและเงื่อนไขบางประการ ที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี แต่ถ้าเราเป็นคนไม่ดีแล้ว เรากลับตัวกลับใจ สังคมควรให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
ชีวิตของ "ฟ้าริน" ก็คงไม่แตกต่างจากข้อความข้างต้น
หญิงสาวในวัย 40 ปี ต้น ๆ เรียนจบเพียงชั้นประถม 6 ก็ดีมากแล้ว เพราะมีพี่น้องถึง 4 คน พ่อกับแม่ก็เป็นชาวนาที่ยากจนเท่านั้น ...
อายุ 18 ปี ก็เข้ากรุงเทพ ฯ ขายแรงงานเป็นกรรมกรก่อสร้างกับญาติและเพื่อน ๆ และอายุ 20 ปี ก็แต่งงานกับหนุ่มชาวเพชรบูรณ์ และหอบหิ้วกันไปบ้านสามี ทำสวนทำไร่ มีลูก 2 คน ตอนนี้ลูกชายอายุ 21 ปี และลูกสาว อายุ 17 ปี
เมื่อฟ้ารินอายุ 38 ปี ได้หย่าขาดจากสามี ทิ้งลูก ๆ กลับมาบ้านเกิด พร้อมกับรู้ตัวว่า ตนเองเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์
ด้วยเหตุผลในใจและสถานการณ์ที่ต้องปิดบัง ทำให้มีเรื่องราวที่ทุกข์ซ้ำกระหน่ำเข้ามาอีกระลอก มีหนุ่มมาสร้างวัดจากจังหวัดมหาสารคาม มาชอบ...พ่อและแม่บอกให้แต่งงานกันเถิด เพราะแต่งงานใหม่ จะได้ลืมเหตุการณ์ในอดีต
ในใจ...ความถูกต้องชั่วดี...การปิดบัง
ในใจของฟ้าริน...สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเลือกการปิดบัง...
ไม่แปลกใช่ไหม...ที่สามีใหม่ของฟ้าริน จะติดโรคร้ายไปด้วย
สามีใหม่ มีอาการป่วยจากโรคที่เกิดขึ้น จนไปโรงพยาบาลเพื่อรักษา และรู้ตัวว่า ตนเองตนป่วยเป็นอะไร ...โวยวายไม่กี่วันก็สงบ ...ฟ้ารินเข้าใจและสำนึกผิด...และขอชดใช้ด้วยชีวิตเช่นกัน โดยการตามใจสามีทุกเรื่อง และอยู่ดูแลกัน เพราะสามีไม่มีญาติขาดมิตร
เมื่อต้นปี 2553 สามีและฟ้าริน เข้าคุก เพราะขายยาบ้า และเสพด้วย
ฟ้าริน...เข้าคุก วันที่ 8 ตุลาคม 2553 ถึง 13 มิถุนายน 2554 เป็นนกน้อยในกรงทอง ที่นั้น อาหาร... การเป็นอยู่ สะดวกสบาย แต่ฟ้าริน เล่าว่า ไม่ขอไปอยู่ที่นั้นอีกแล้ว เข็ดหยาบ เพราะเหมือนนกน้อยจริง ๆ แถมเป็นนกน้อยที่ป่วยด้วย เพราะติดเชื้อวัณโรคในคุก และตอนนี้รักษาหายแล้ว...
สามีใหม่ของฟ้าริน...จำคุกพร้อมกัน แต่มีต้องรับโทษ จำนวน 4 ปี คงอีก 3 ปี ค่อยได้กลับมาอยู่ด้วยกัน เพราะหวังอย่างนั้น ....ฟ้ารินห่วงสามีอย่างมาก และสัญญาว่า..จะไม่ทอดทิ้งสามี ออกจากคุกแล้ว ตนเองยังไปเยี่ยมสามีไม่เคยขาด 2 ถึง 3 วัน ก็จะไปเยี่ยมสามีที่คุก
วันนี้ ฟ้าริน ประทังชีวิตอยู่ได้ เพราะพ่อ แม่ และพี่น้อง เพราะตนเองเหี่ยวแห้งอย่างนี้ ไม่มีใครจะจ้างไปทำงาน และคนในบ้านบอกว่า รักษาตนเองก่อน ไม่ต้องห่วงอะไรจะดูแลอยู่แล้ว
ก่อนจะกลับ ผมเห็นคุณพ่อของฟ้าริน แบกถุงปุ๋ยบรรจุข้าวสารมาให้ถึงในตัวบ้าน ผมยกมือไหว้ทักทายกันและกัน และบอกกับผมสั้น ๆ ... คุยกันตามสบายครับหมอ ผมเอาข้าวมาให้ลูกสาว...
ผมได้สัมผัสสายลมแห่งความผูกพันระหว่างพ่อ แม่ และลูกเสมอ...มันเย็นสบาย และแสนสุข...จนผมสัมผัสได้
ผมบันทึกในรายงานการเยี่ยมบ้าน... การวางแผนในการเยี่ยมครั้งต่อไป และการเชื่อมโยงกับเครือข่าย เพื่อการช่วยเหลือต่อ...จนล่วงเลยเวลาพอสมควร ผมจึงขออนุญาตกลับอนามัย
คำทิ้งท้ายของฟ้ารินสั้น ๆ แต่ได้ใจความ
"พี่ ๆ มีชีวิตอีกไม่นาน แต่พี่ขอเลือกเวลาที่เหลืออยู่...เป็นคนดี.."
ผมยิ้ม และให้กำลังใจกับฟ้ารินว่า ชีวิตคนเราอีกยาวไกล อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้น และสิ่งที่คิด...ต้องทำได้แน่นอน
ผมภาวนาในใจคนเดียว...ขอให้ฟ้าริน ทำได้ดังที่คิดไว้ เพราะเราไม่รู้ว่า การตายจะนำพาเราไปสู่เส้นทางสายใดบ้าง แต่เชื่อแน่ว่า ถ้าเราคิดดี พูดดี และทำดี ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ถ้าเราลืมตาขึ้นมา หรือรู้สึกตัวว่า เราลืมตาขึ้นมา...
เราก็จะได้พบสิ่งดี ๆ ตรงหน้าของเราเสมอ....
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกนี้
พร้อมกับชมภาพนะคะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ^^
สวัสดีค่ะ
"พี่ ๆ มีชีวิตอีกไม่นาน แต่พี่ขอเลือกเวลาที่เหลืออยู่...เป็นคนดี.."
อ่านบันทึกดีนี้ด้วยความซึ้งใจ
ที่คุณใส่ใจในคนไข้ขนาดนี้
มีคนดีในสังคมเสมอๆ
ที่บางครั้ง....เราไม่รู้
เป็นกำลังใจให้นะคะ
และขอบคุณแทนผู้ป่วยอีกหลายๆท่านที่ได้รับการใส่ใจ...จากคุณหมอ
เห็นภาพบรรยากาศแล้วนึกถึงสมัยไปเยี่ยมบ้าน แถบอิสาน คึดฮอดนำเด้อค่า
หมอน สวยจังครับ อยากได้ซักใบจัง
ชีวิตมนุษย์ช่างอธิบายยากยิ่งครับ ผมเชื่อว่าไม่มีใครตัดสินใจได้ถูกและไม่มีใครตัดสินใจได้ผิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เหนือความสามารถในการเข้าใจของเรา เราทุกคนต่างวนเวียนอยู่ในห้วงของความไร้เหตุผลของจักรวาลนี้ (the randomness of the universe) ครับ