ชั่วปู่อยู่มาชั่วป้าฉัน มรดกปางบรรพ์ชั้นทวดอยู่
ไล่ย้อนยิ่งยาวเก่าเกินรู้ ลมกรูมากล่อมหอมลมเย็น
วันหนึ่งน้าชายได้งานใหม่ อนาคตสดใสล้วนได้เห็น
เกษตรกรรมแสนลำเค็ญ ขายแรงเล่นเล่นเห็นเงินตรา
ตำแหน่งแห่งที่มีมากเหลือ โรงงานซ้ำเอื้อทั้งเสื้อผ้า
งานใหม่แฟลตใหญ่คล่องไปมา เพื่อนบ้านทิ้งป่ามุ่งหางาน
ตัวฉันนั้นหรือหนังสือคล่อง เขาเรียก ‘สมองล่อง’ ต้องไกลบ้าน
ปลาบปลื้มลืมสิ้นกลิ่นสงกรานต์ มนต์เมืองโอฬารกว่าบ้านเรา
บ้านหนอรอเก้อชะเง้อเงา ลืมทั้งโคตรเหง้าทิ้งเหล่ากอ
สร้างทำตามทางรู้สร้างสรรค์ คล่องผันเงินผ่อนเงินฟ่อนต่อ
เงินยิ่งแตกเงินยิ่งเกินพอ วิถีซอมซ่อต้องขอลา
บัดนี้เรามีวิถีใหม่ ห่างไกลกินอยู่แบบปู่ย่า
เกินย่ำกรำไถอยู่ใต้ฟ้า วิถีเงินตรายอดอารยะ
วันหนึ่งบ้านเก่าจะเอาขาย ปู่ย่าตายายกลายขยะ
ที่ดินผืนใหม่ให้ฐานะ แต่แล้วภาระก็มาเยือน
บ้าน รถ ที่ดิน ทรัพย์สินเน่า ธนาคารยังเขาแล่นเข้าเฉือน
ไฟแนนซ์เน่าเหม็นเป็นการเตือน ตกงานตามเพื่อนกี่เดือนแล้ว
เจ้าหนี้ปรีดาเข้ามาพบ หลบสู่บ้านนอกเผ่นออกแน่ว
ถนนชนบทปรากฏแนว ตีนแผ่วกลับบ้านซานซม
บ้านเก่าใกล้ร้างเสาครางสั่น กระดานเรือนร้องลั่นนอกชานถล่ม
ยุ้งข้าวกราวกระจายพังพ่ายล้ม ฝาเรือนราวขย่มด้วยลมพยุห์
บทกวีสำนวน บ้านเก่า จากรวมกวีนิพนธ์ชื่อเดียวกันนี้ รจนาโดย โชคชัย บัณฑิต ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนประจำปี ๒๕๔๔ คณะกรรมการตัดสินรางวัลกล่าวว่า บ้านเก่า สื่อความคิดของกวี โดยเรียงร้อยประสบการณ์และสิ่งธรรมดาสามัญรอบตัวซึ่งคนทั่วไปอาจมองข้าม กวีสังเกตสังคมด้วยสัมผัสอันละเอียดอ่อน จากมุมมองเฉพาะตัวที่โดดเด่น โดยมีภาพ “บ้านเก่า” ซึ่งแสดงวิถีชีวิตดั้งเดิมเป็นพื้นฉาก เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมเมือง โดยเฉพาะกระแสบริโภคนิยมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่รุกเข้ามาลบ “ภาพเก่า” ไปทีละน้อย
ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แบบในลีลาภาษา แต่รวมบทกวีนิพนธ์ บ้านเก่า มีความโดดเด่นในกลวิธีทางวรรณศิลป์ โดยเฉพาะการนำสิ่งตรงข้าม หรือคล้ายคลึงมาเชื่อมโยงทาบเทียบกัน และด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกับท่าทีที่ท้าทายความคิดของผู้อ่านอยู่ในที ทำให้หนังสือกวีนิพนธ์เล่มนี้ สามารถสื่อสารที่กวีต้องการจะถ่ายทอด
บ้านเก่า พิมพ์ครั้งที่เจ็ด โดยสำนักพิมพ์รูปจันทร์ มกราคม ๒๕๕๓ จำนวน ๑๑๙ หน้า ราคา ๖๕ บาท สายส่งศึกษิต บริษัทเคล็ดไทย จัดจำหน่าย
บ้านเก่า เป็น ๑ ใน ๑๐๐ เล่ม หนังสือแนะนำสำหรับเยาวชนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ด้วยจิตคารวะ
ธีระ เงินแก้ว
ปลายเมษา’ ๕๔
ไม่มีความเห็น