ศาสนาเพื่อชีวิตและสังคม
ศาสนาในยุคปัจจุบันยังคงเป็นร่มไม้ใหญ่ใบดกหนามีผลไม้ให้สรรพสิ่งได้พึ่งพาอาศัยอยู่กิน ผลไม้แห่งศาสนาเป็นอาหารทางจิตวิญญาณ เป็นผลไม้อมตะ มีความสัจจริงเที่ยงแท้ มีเหตุมีผล เที่ยงตรงอยู่นิจกาลนิรันดร์
คนเรารับประทานอาหารเช้า เที่ยง เย็นย่ำค่ำลงเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้อิ่มหนำสำราญเบิกบานฤทัยฉันใด หลักธรรมทางศาสนาก็เป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของคนเราอย่างนั้น
เมื่อคนเรามีหลักธรรมนอนเนื่องอยู่ในจิตใจแล้ว จะส่งผลให้คนเรานั้นละชั่วเกรงกลัวต่อบาปกรรม มุ่งมั่นทำความดีมีศีลธรรมมีคุณธรรม นำตนเองเดินทางถูกต้องดีงาม เพื่อมีวิถีชีวิตที่ดีมีความสุข ส่งผลถึงสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมมีความสงบสุขไปด้วย เพราะทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้ทุกคนเป็นคนดีมีหลักธรรมเข้าให้ถึงทั้งนั้น
ดังคำปณิธานหนึ่งในสามของท่านอาจารย์พุทธทาสที่สื่อทำนองว่า...ให้ทุกคนเข้าถึงหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนเองเคารพนับถือเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งระลึก... เพราะการที่คนเราเข้าถึงเข้าใจในหลักคำสอนของศาสนาที่ตนเองเคารพนับถือแล้วจะส่งผลไปในสังคมวงกว้างออกไปทั่วโลกเหมือนคำกล่าวที่ว่าเด็ดดอกไม้เพียงดอกเดียวก็สะเทือนถึงดวงดาว
ด้วยว่าศาสนาหรือคำสอนเกี่ยวกับวิถีชีวิตคนเราให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับธรรมะ หรือธรรมชาติ ถ้าคนเรารักษาธรรม ธรรมก็รักษาคนเราเช่นกัน ปฐมธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เหล่านี้ล้วนเป็นธรรมะ ธรรมชาติ มีอยู่ในตัวตนของเรา เราเคารพตัวเรา ก็คือเราเคารพธรรมะ เรารักษาตัวเราให้ดี ก็คือเรารักษาธรรมะ ธรรมะเป็นเรื่องศาสนา
ศาสนาเป็นเรื่องธรรมะ เรารู้เข้าใจธรรมะก็คือเรารู้เราเข้าใจตัวตนอัตลักษณ์ของเราเอง คือทุกอย่างมันล้วนเชื่อมโยงกันไปหมดเราต้องมองให้เห็นตลอดสายจึงเห็นได้ว่าตัวเราเองก็มีศาสนาอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว
ศาสนาไม่ใช่อยู่ที่คัมภีร์ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัดโบสถ์หรือสุเหร่า ศาสนาไม่ได้อยู่ที่นักบวช แต่ศาสนาหรือธรรมะอยู่ในตัวตนของเรา เรารักษาธรรม ธรรมก็รักษาเรา เราทำดี เราละเว้นชั่ว เราทำจิตใจให้ผ่องใส ล้วนแต่เราได้ก่อนทั้งนั้น ส่งต่อไปยังคนชิดใกล้ ออกไปเป็นวงกว้างตามรัศมีวงกลมรอบตัวเราแผ่ขยายสู่สังคมส่วนรวมดีตามไปด้วย จึงมีคำกล่าวว่า...ศาสนาเพื่อชีวิตและสังคมนั้นแล.
ไม่มีความเห็น