การประเมินภายนอก รอบ3 ของ สมศ.
การประเมินภายนอก รอบ3 ของ สมศ.
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.54 ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้ารับฟังการบรรยายสรุปผลการตรวจประเมินฯรอบ3ด้วยวาจาของโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งจากผู้ประเมินฯของสมศ.
ท่านสรุปและบรรยายในแต่ละมาตรฐานที่ตรวจได้อย่างน่าฟังและแจ่มแจ้งมากพร้อมทั้งแนะนำแนวทางการพัฒนาได้อย่างน่าชื่นชม สิ่งที่ไม่รู้ก็ได้เข้าใจขึ้น แต่มาติดใจอยู่ที่มาตรฐานที่5 ซึ่งเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยยึดเอาคะแนน O-Net มาเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ถ้าคะแนนได้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา สมศ.จะไม่ให้ผ่าน โดยถือว่าต้องปรับปรุงเร่งด่วน ผมเห็นว่าเกณฑ์นี้น่าจะไม่ถูกต้องและเป็นธรรมสำหรับสถานศึกษาเลย เพราะ
1.เด็กในแต่ละปีการศึกษาอาจมีศักยภาพที่แตกต่างกันหลายด้าน ถ้าปีใดมีเด็กเก่งเยอะก็ดีไป ตรงข้ามถ้ามีแต่เด็กอ่อนก็แย่ ซวยไปเลยครับ..
2.ทางหลักวิชาการ..อะไรก็แล้วแต่..คนย่อมแตกต่างกัน..ไม่เท่ากัน..มีอะไรเท่าเทียม..หรือไม่เท่าเทียมโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้..จะให้ครูสอนเด็กไม่เก่งหรือสติปัญญาไม่ดีให้สอบทำคะแนนให้ได้มากกว่าคนเก่ง..เป็นไปได้ยากไหมครับ..
3.ถ้าสมศ.ใช้เกณฑ์นี้..ผมว่าน่าจะมีโรงเรียนที่ไม่ได้รับการรับรองกันค่อนประเทศละครับ..ใช่ไหม..
เพื่อนครู..ผู้ปกครอง..สมศ...และอื่นๆ..ท่านเห็นอย่างไร..หรือเกณฑ์ในมาตรฐานนี้เหมาะสมแล้ว..โปรดแนะนำด้วยครับ..ขอบคุณครับ
ครูคอคนครับ...
ความเห็น (22)
สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยค่ะ
การเอาคะแนน O-Net มาเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ถ้าคะแนนได้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา สมศ.จะไม่ให้ผ่าน โดยถือว่าต้องปรับปรุงเร่งด่วน ผมเห็นว่าเกณฑ์นี้น่าจะไม่ถูกต้องและเป็นธรรมสำหรับสถานศึกษาเลย
รับฟังมาว่า บางแห่งต้องถูกดูการสอนของครู บางแห่งก็สุ่มเด็กไป แบบนี้ควรถามเด็กทั้งชั้นดีกว่านะคะ เพราะเด็กที่ถูกสุ่มอาจจะเป็นเด็กที่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงต่อคนแปลกหน้า ก็ได้
สวัสดีครับ
ขอขอบคุณมากครับที่เห็นด้วย
โรงเรียนผมจะถูกประเมินในวันที่ 11-13 ก.ค. นี้ มาตรฐานที่ 5 ผมก็ไม่ผ่านเหมือนกันครับ
โรงพยาบาลผมก็จะถูกประเมินในเดือน กค.นีครับ เอกสารปลิวว่อนทั่วรพ แล้ว
วิรัตน์ พูลทรัพย์
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ถ้าเอาตัวบ่งชี้ที่ 5 มาตัดสินโดยยึดคะแนน O-Net โรงเรียนเล็กๆในชนบทไม่ต้องมาประเมินให้เสียเวลาและเสียเงินงบประมาณของชาติ ข้อมูลมันอยู่ในมือแล้วไม่ผ่านแน่ๆ เห็นกรรมการหาข้อมูลมากมายว่าโรงเรียนมีวิธีการแก้ไขอย่างไร สุดท้ายก็ยึดข้อมูลเดิม เห็นใจครูหน่อยครับมุ่งมั่นทุ่มเทเต็มที่แต่นักเรียนเราก็ได้แค่นี้
เห็นด้วยครับ การนำผลสอบO-NETของนักเรียนแต่ละปีมาเปรียบเทียบแล้วตัดสินว่า"พัฒนา หรือไม่พัฒนา"ไม่น่าจะดูดีหรอก เพราะนักเรียนคนละกลุ่ม ข้อสอบก็คนละชุด
ข้อมูลที่ทำการประเมินก็ไม่รู้เป็นยังไง ไม่น่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ได้เลย เช่น ร้อยละของนักเรียนที่ไม่พูดโกหก..อย่างเนี่่ยะ..เก็บขอมูลยากนะครับ
ระโนด โหมบก
จริงแล้วก็ไม่เห็นด้วยในการใช้ผลการสอบดังกล่าวมาเป็นตัวตัดสิน เพราะต้นทุนของแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน วัตถุดิบ(นักเรียน)ที่เข้าสู่โรงงาน(โรงเรียน)คุณภาพไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนมีโอกาสคัดเลือก บางโรงเรียนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสคัดเลือก ความเหนื่อย ความพยายาม ในการพัฒนานักเรียนจึงต่างกัน หากจะวัดกันจริงๆและเป็นไปได้ต้องวัดค่าพัฒนา ใครก็ได้สร้างเครื่องมือวัดตั้งแต่เด็กเริ่มเข้าเรียน จนปีสุดท้ายวัดอีกครั้งแล้วดูค่าพัฒนา แล้วใครจะทำละ......
ครู นครนายก
เห็นด้วยค่ะโรงเรียนประเมิน วันที่ 27-29 มิ.ย 54 โรงเรียนบริบทดีทุกอย่างแต่มาตกม้าตายเมื่อคิดคะแนนตัวบ่งชี้ที่ 5 ครูทุกคนซึมเราคาดหวังไว้แต่ไม่ผ่านทำดีที่สุดแล้ว อย่างนี้ไม่มีใครอยากสอนป.6 แล้วถ้าเอาวิธีนี้มาคิด เหนื่อยใจ
ครูเบื่อ สมศ
เห็นด้วยยิ่งยิ่ง พรบ.และหลักสูตร เน้นให้ผู้เรียนเป็นคนดี เก่ง และมีความ แต่พอประเมินไฉน เน้นเด็กเก่ง ไม่ต้องดีก็ผ่าน
นี้และทั้งที่รู้ไม่ผ่านก็ดันออกประเมิน นี้ แหละการประเมินแบบทุนนิยม ส่งสารภาษีที่ต้องนำมาจ่ายให้ สมศ (สำนักไม่มีมาตรฐานการศึกษาชาติหน้า)
นายควรคิด จิตรปกติ
เห็นด้วย เพราะความแตกต่างของนักเรียนแต่ละแห่ง แต่ละปี ไม่ใช่กลุ่มประชากรเดียวกันไม่น่าจะนำมาเปรียบเทียบกันได้ครับและที่สำคัญที่สุดได้ตรวจสอบดูหรือยังว่าที่มาของคะแนนนั้นเป็นจริงตามตัวเลขที่อ้างกัน เพราะกระบวนการจัดสอบไม่ได้เป็นไปตามแนวปฏิบัติอย่างแท้จริงตามที่คาดหวัง ตรวจสอบกระดาษคำตอบดูหรือยังว่านักเรียนทำผิด ทำถูกข้อเดียวกันหรือไม่ เสียดายงบประมาณในการจัดสอบที่บางเขตพื้นที่ บางโรงเรียนม่งเอาแต่ตัวเลขจนไม่สนใจเรื่องจรรยาบรรณ และความละอาย จริงหรือไม่ลองตรวจสอบดูได้ครับทำมาจนชินแล้ว มาตรฐานจึงไม่ใช่มาตรฐานที่น่าจะยอมรับได้ทำให้ครูที่ตั้งใจสอนขาดขวัญกำลังใจมากเพราะสอนดีแล้วไม่ได้บอกข้อสอบนักเรียนก็ไม่ผ่านอยู่ดี
เห็นด้วย ควรจัดกิจกรรมอย่างอื่นที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนการสอนของครู ไม่ใช่ออกประเมิน เพื่อหาข้อบกพร่องของโรงเรียน
เอางบประมาณไปจัดทำสื่อหรือแบบฝึกมาสนับสนุนแทน
เห็นด้วยกับทุกข้อความค่ะ และที่สำคัญกระดาษคำตอบที่ใช้ในปีที่ผ่านมา เป็นตัวแปรที่ทำให้คะแนนเฉลี่ยของเด็กตกต่ำ ครูตั้งใจสอนกันอย่างดี รวมทั้งติวเสริมเด็ก 6 วัน ทุ่มเทเสียสละ ทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ แต่ผลออกมาทำให้หมดกำลังใจในการทำงาน และไม่รู้จะแก้ไขพัฒนาอย่างไร เพราะการวัดแต่ละปี เด็กคนละกลุ่ม คนสอน กับคนผลิตเครื่องมือคนละกลุ่มกัน ถ้าจะให้ดีน่าจะมีกลุ่มงานประเมินผลในจังหวัดที่มีคณะกรรมการที่มาจากครูผู้สอนด้วย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เพื่อให้ผลในการวัดที่ได้มาจากสภาพของผู้เรียนโดยแท้จริง
ไม่เห็นด้วยกับการนำผลคะแนนโอเน็ตมาประเมิน พวกเราน่าจะไปร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลหรือศูนย์ดำรงธรรมในการผดุงเกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นครู ว่าอาชีพครูไม่ด้อยกว่าอาชีพอื่น อาจดีกว่าด้วยซำในด้านคุณธรรมจรรยาบรรณ ไฉนเล่าคุณครูเหล่านั้นต้องมาตกเป็นจำเลยของสังคมในด้านการประเมินคุณภาพไม่ผ่าน โดยนำผลสอบโอเน็ตมาตัดสิน ทั้งๆที่ไม่ใช่ครูผู้สอนนักเรียนแล้วมาออกข้อสอบวัดนักเรียน ต่อให้นักเรียนเทวดายังไม่ผ่านเลยนับประสาอะไรกับนักเรียนในชนบทของพวกเรา เราสร้างเด็กให้เป็นคนดีในสังคม มีสุขภาพสมบูรณ์ก็น่าจะปรบมือให้พวกเราแล้ว ไม่น่าเอาพวกคนนอกวงการมาให้คะแนนเราแล้วตัดสินพวกเราผิด มันเป็นตราบาปแห่งชีวิตคนทำงาน
หากทางสมศ เห็นว่าการกระทำเช่นนี้สะใจ ก็ทำต่อไป ขอให้ฟ้ามีตา มองเห็นคนทำงานด้วย****
ครูวิชาการ
เห็นควรกับทุกข้อความ ฉันทำหน้าที่ครูวิชาการก็กลุ้มใจเหมือนครูป.6 ถ้าสมศ.จะใช้เกณฑ์นี้ต่อไป ก็ขอลดเกณฑ์ลงอีกนิด เพราะเกณฑ์เพิ่งออกมาใหม่ ตั้งตัวไม่ทัน ถ้าจะกรุณา ลดจาก 8.00 เป็น 7.00 ก็น่าจะดี ถ้างั้นต่อไปคงจะไม่มีครูสอน ป.6 ม.3 ม.6 ผ.อ. กับครูวิชาการจะทำอย่างไรดีล่ะ คงยุ่งกันน่าดูนะคะ
สมศ. บางท่านใจดี ให้คำแนะนำ แนวทางแก้ไข..............ทำให้เราประทับใจ
บางท่านก็เข้มมาก ต้องถูกต้องตามวิชาการเป๊ะ.............. ทำให้ชีวิตเราตื่นเต้นดี
ครูคนหนึ่ง
ที่โรงเรียนก็ ไม่ผ่านในตัวชี้วัดที่ 5 ต้องปรับปรุงและต้องทำเรื่องชี้แจง ทาง สมศ ..ทั้งที่ข้ออื่นดีมากทุกข้อ มาติดที่ ตัวชีวัดที่ 5 (คะแนน o-net ต่ำกว่า ปีที่แล้ว แต่ยังติดในกลุ่มคะแนนสูงนะคะ (จากเดิม ปี 52 ได้คะแนน โอเน็ตที่ 1 ของเขต แต่ปี 53 ตกมาอยู่ลำดับที่ 3) ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าใช้เกณฑ์อะไรมาวัด ข้อนี้ยอมรับเลยทำให้ขวัญกำลังใจ ครู ท้อเหมือนกัน เพราะจากที่กล่าวมาข้างต้นได้อ่านข้อคิดเห็นคนอื่นๆ คือ เด็ก นร มันคนละกลุ่ม และ ครูทำหน้าที่สอนมาทั้งปี แต่พอใช้ข้อสอบเพียงไม่กี่ข้อมาตัดสินการทำงานของครู ตัดสินศักยภาพของ นร อยากให้ทาง ผู้ใหญ่มาแก้ไขปัญหาตรงนี้มากๆ
ครูวิชาการโรงเรียน
โรงเรียนของผมเพิ่งประเมินผ่านไปเมื่อวันที่ 25 -26-27 กรกฎาคม 2554 ผลการประเมินที่ทางสมศ.นำเสนอส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแต่พอมาดูมาตรฐานที่ 5 ซึ่งใช้ O-NET เป็นเกณฑ์ ซึงคะแนนปี 2552 ดีมาก แต่ปี 2553 ตำกว่าปี 2552 มากถือว่าไม่มีการพัฒนา ในความเป็นจริงแล้วเด็กแต่ละรุ่นย่อมมีความแตกต่างกันในด้านสติปัญญาอยู่แล้ว ถ้าร่นไหนเด็กไอคิวไม่ค่อยดีครูสอนดีขนาดไหนสมองเขาก็รับไม่ได้เหมือนเดิม ซึ่งไม่น่านำคะแนนO-NET มาจับ และปี 2553แต่ละวิชาออกข้อสอบน้อยข้อมาก ไม่เหมาะกับเด็กประถมเรา ถามเชื่อมโยงกันเด็กงง ข้อสอบปี2553ทางสทศ.ก็ไม่ได้เก็บไว้ในคลังข้อสอบ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ เด็กได้คะแนนศูนย์หลายคน สรุปแล้วผมเห็นด้วยกับครูวิชาการโรงเรียนบ้านโนนสังฯที่ไม่น่านำคะแนน O-NET มาเป็นตัววัด ขนาดท่านผู้มาประเมินเขายังเห็นใจเรา เพราะโรงเรียนเราดีทุกด้านตกเฉพาะคะแนน O-NET
อยากทราบผลการประเมินรอบสามจัง ขอบคุณคณะสมศ. ที่ให้ความรู้และแนวทางการพัฒนาทั้งระบบ ครูบ้านนอกขอบคุณจริงๆ
โรงเรียนของผมกำลังเตรียมรับการประเมิน รูสึกเครียดเพราะการจัดแฟ้ม 18 มาตรฐานก็ยังไม่เป็นระบบ
ครูก็ไม่ค่อยตั้งใจงานช้า ไม่รู้จะผ่านให้หรือไม่ ได้แต่ปลงตัวเอง
ทางโรงเรียนกำลังจะเข้าหลักประหาร สมศ ในวันที่ 29-31 สิงหาคมนี้ เตรียมการไว้คิดว่ายังไม่ดีพอแต่ขอบอกนะพี่น้องห้ามเห็นแก่ตัวถ้ามีอะไรช่วยได้ให้ช่วยๆกันไปโดยเฉพาะรุ่นน้องบรรจุใหม่ต้องออกแรงให้เยอะๆโชคดีที่ตัวบ่งชี้ที่ 8 ขอตังเองเสร็จเรียบร้อยแล้วและยังยุ่งยากกับเตรียมตัวเด็กนักเรียนอยู่ในแผนกต้อนรับแขกและยังดูแลมาตรฐานที่ 12 ของเกณฑ์เก่าต้องเรียบร้อยทุกอย่างคิดว่าคงไปได้สวยแต่วุ่นนิดหน่อยแล้วจะเล่าให้ฟังใหม่ถ้าผ่านการประเมินได้คณะมาจากเหนือค่ะ
อยากให้สมศ.ประเมินตนเองบ้าง เบือสมศ.มาก ทำงานไม่มีความสุขเลย