เนื่องจากส่วนนี้ต่อจากกูฏทันตสูตร : พระสูตรว่าด้วยเศรษฐศาสตร์การเมือง....เพื่อให้เกิดความเข้าใจในภาพรวมควรอ่าน ภาคแรกก่อน
ในประเด็นดังกล่าวนี้ หากจะถามว่า "ประชานิยมเชิงพุทธ" มีหรือไม่ ? หากพิจารณาแล้ว ลองอ่านพระสูตรและบทวิเคราะห์ต่อไปนี้ดู...
๕.๕. คุณสมบัติของผู้ทำประชานิยม
๕.๕.๑.คุณสมบัติของผู้ปกครอง
พราหมณ์ปุโรหิต ได้เสนอแนะว่าถ้าจะทำการบูชามหายัญจะต้องทุ่มเททั้งกำลังกาย, กำลังใจ, กำลังพระราชทรัพย์และไม่หวั่นไหวในเวลา ๓ เวลา คือ
เวลาที่หนึ่ง ไม่ควรทำความเดือดร้อนพระทัยว่า กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเราจักสิ้นเปลือง
เวลาที่สอง กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเรากำลังสิ้นเปลืองไป
เวลาที่สาม กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเราได้สิ้นเปลืองไปแล้ว
๕.๕.๒. คุณสมบัติของผู้ใต้ปกครอง
นอกจากนั้นแล้วพรามณ์ปุโรหิตยังได้เสนอแนะว่าก่อนที่จะทรงกระทำการบูชามหายัญให้คัดคนเป็น ๒ ประเภทหรือพรรค โดยเอาความบริสุทธิ์แห่งความประพฤติมาเป็นเกณฑ์กำหนด ซึ่งจะได้แยกเพื่อให้เกิดภาพชัดเจนดังนี้
ที่ |
พรรคมิจฉาทิฏฐิ |
พรรคสัมมาทิฏฐิ |
การแสดงออก |
๑ |
พวกที่ฆ่าสัตว์ |
พวกที่เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ |
กาย |
๒ |
พวกที่ลักทรัพย์ |
พวกที่เว้นขาดจากการลักทรัพย์ |
กาย |
๓ |
พวกที่ประพฤติผิดในกาม |
พวกที่เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม |
กาย |
๔ |
พวกที่กล่าวคำเท็จ |
พวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเท็จ |
วาจา |
๕ |
พวกที่กล่าวคำส่อเสียด |
พวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำส่อเสียด |
วาจา |
๖ |
พวกที่กล่าวคำหยาบ |
พวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำหยาบ |
วาจา |
๗ |
พวกที่กล่าวคำเพ้อเจ้อ |
พวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเพ้อเจ้อ |
วาจา |
๘ |
พวกที่เพ่งเล็งอยากได้ |
พวกที่ไม่เพ็งเล็งอยากได้ |
จิต |
๙ |
พวกที่มีจิตพยาบาท |
พวกที่ไม่มีจิตพยาบาท |
จิต |
๑๐ |
พวกที่เป็นมิจฉาทิฐิ |
พวกที่เป็นสัมมาทิฐิ |
จิต |
๕.๖. การปฏิรูแแนวคิดในการบูชายัญ
เมื่อเปรียบเทียบแนวคิดดังกล่าว พอจะได้ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของพิธีกรรม ดังนี้
๕.๖.๑. ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของพิธีกรรม ๑๖ อย่าง
ที่/ดัชนี |
ตัวผู้นำ |
๑.ประชามติ /การทำ ประชาวิจารณ์คน ๔ กลุ่ม
๒.คุณสมบัติผู้นำมี จำนวน ๒ ข้อ
๓.สถานภาพ ๒ ข้อ
๔.ศรัทธา/ความเชื่อ จำนวน ๑ ข้อ
๕.ความรู้/ความสามารถ จำนวน ๓ ข้อ
๖.คุณสมบัติ ผู้ใต้บังคับบัญชา/ บริวาร ๔ ข้อ
|
๑. เจ้าผู้ครองเมือง ๒. อำมาตย์ราชบริพาร ๓. พราหมณ์มหาศาล ๔. คหบดีผู้มั่งคั่ง
๑.ทรงเป็นกษัตริย์โดยกำเนิดบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายพระชนกและฝ่าย พระชนนี ๒.มีพระรูปงดงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ฉวีวรรณผุดผ่องดุจพรหม
๑.เป็นกษัตริย์ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์สินมาก มีโภคะมาก มีพืชพันธุ์ ธัญญาหารมาก ๒.มีกองทัพที่เข้มแข็ง อยู่ในระเบียบวินัยที่ดี เป็นผู้ทรงมีกองทัพที่ เกรียงไกร
๑. ทรงมีศรัทธา ทรงเป็นทายกเป็นทานบดี
๑.ทรงรอบรู้เรื่องราวที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมานั้น ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ๒.ทรงทราบความหมายแห่งภาษิตที่ได้ศึกษามา ๓.ทรงเป็นบัณฑิต เฉียบแหลมและปรีชาสามารถ
๑.พราหมณ์ปุโรหิตบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายบิดาและมารดา ๒.พราหมณ์ปุโรหิตเป็นผู้คงแก่เรียนทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท ๓.พราหมณ์ปุโรหิตเป็นผู้มีศีลและมีศีลที่เจริญ ๔.พราหมณ์ปุโรหิตเป็นบัณฑิตผู้เฉลียวฉลาดมีปัญญาลำดับที่๑ หรือ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้รับการบูชา |
๕.๖.๒. ปฏิรูปแนวคิดและวิธีการในการบูชายัญ
คนในยุคนั้น นิยมนำสัตว์ต่าง ๆ เช่นแพะ แกะ ไก่ เป็นต้นมาบูชายัญ โดยเฉพาะมนุษย์มีบางยุคเมื่อปรารถนาจะได้อานิสงส์สูงสุดต้องนำบุตรธิดาภรรยามาบูชายัญก็มีแต่พราหมณ์ปุโรหิตโพธิสัตว์ได้นำแนวคิดการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์มาปฏิรูปใหม่โดยนำเอาเพียงของที่ไม่มีชีวิตมาปฏิรูปใหม่เป็นองค์ประกอบในพิธีการเท่านั้นส่วนองค์ประกอบหลักคือคุณสมบัติของผู้ที่ทำการบูชายัญและคนผู้เป็นบริวารในพระไตรปิฎกใช้คำว่า
“ ในยัญนั้นไม่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร และสัตว์นานาชนิด ไม่ต้องตัดต้นไม้มาทำหลักบูชายัญไม่ต้องเกี่ยวหญ้าคาเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น แม้เหล่าชนที่เป็นทาส คนรับใช้ กรรมกรของพระเจ้ามหาวิชิตราชก็ไม่ถูกลงอาชญาไม่มีภัยคุกคามไม่ต้องร้องไห้ฟูมฟายทำบริกรรม แท้จริงคนที่ปรารถนาจะทำจึงได้ทำ ที่ไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องทำ
ทำแต่สิ่งที่ปรารถนาเท่านั้น สิ่งที่ไม่ปรารถนาไม่ต้องทำ ยัญพิธีนั้น
สำเร็จลงเพียงเพราะเนยใส น้ำมัน เนยข้น นมเปรียว นำผึ้ง และน้ำอ้อยเท่านั้น [1]
การปฏิรูปแนวคิดดังกล่าวนี้เองส่งผลให้เกิดแนวคิดการบูชายัญตามแบบพุทธขึ้น เพราะหากเป็นแบบพราหมณ์ ย่อมเคารพนับถือปฏิบัติตามพิธีกรรม ประเพณีและความเชื่อแบบศาสนาพราหมณ์ทั้งหมด แต่นี้ผู้นำที่เป็นธรรมราชาแนวพระพุทธศาสนาย่อมปฏิบัติตนแตกต่างออกไป
๕.๖.๓.การมีส่วนร่วมของประชาชน (Political Participation)
เมื่อผู้นำ หรือผู้บริหารปกครองมีความชอบธรรม ผู้ตามก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามนโยบายที่ผู้นำตั้งเอาไว้ ในกูฏทันตสูตรนี้คน ๔ จำพวกคือ
๑.เจ้าผู้ครองเมืองที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบท ถ้าเทียบเมืองไทยในปัจจุบันก็คือเจ้าเมือง หรือผู้ว่าและนายอำเภอ หรือจะแยกย่อยลงไปถึงระดับกำนัน,ผู้ใหญ่บ้าน,นายกเทศมนตรี,นายกองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้นได้มีส่วนร่วม
๒.พวกอำมาตย์ราชบริพารที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบท หมายถึงข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารตำรวจ
๓.พวกพราหมณ์มหาศาลที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบทก็คือพวกผู้อยู่ในสายวิชาการ วัฒนธรรมและผู้นำจิตวิญญาณอาจหมายถึงพระผู้ใหญ่ทุกระดับชั้น หรือครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ แม้กระทั้งครูภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้น ๆ
๔.พวกคหบดีผู้มั่งคั่งที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบท หมายถึงพ่อค้าประชาชนทั่ว ๆ ไปต่างพากันมาร่วมกิจกรรมและได้นำทรัพย์สินส่วนตนถวาย แต่กลับถูกพระเจ้ามหาวิชิตราชทรงห้ามไว้ไม่รับและยังบอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาให้นำทรัพย์ของพระองค์ไปใช้ได้ด้วย
เมื่อถูกกษัตริย์ปฏิเสธคนเหล่านั้นจึงปรึกษากันจะไม่นำทรัพย์สินของตัวเองที่ตั้งใจไว้กลับไป จึงปรึกษากันว่าจะร่วมกันทำการบูชามหายัญโดยการตั้งโรงทานเอาไว้ใน ๔ ทิศบริเวณโดยรอบมณฑลพิธี โดยมีกลุ่มต่าง ๆ จับจองสถานที่ ดังนี้
ผู้ครองนคร เริ่มบำเพ็ญทานทางทิศตะวันออกแห่งหลุมยัญ
พวกอำมาตย์ราชบริพาร เริ่มบำเพ็ญทานทางทิศใต้แห่งหลุมยัญ
พวกพราหมณ์ เริ่มบำเพ็ญทานทางทิศตะวันตกแห่งหลุมพิธี
พวกคหบดี เริ่มบำเพ็ญทานทางทิศเหนือแห่งหลุมพิธี
๕.๖.๔.อานิสงส์และลำดับของการบูชายัญ
ระดับที่ ๑ เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราช ทรงทำการบูชามหายัญแล้วทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและน่าอยู่ ประชาชนมีความสุขสบายถ้วนหน้าแล้วนั้น พราหมณ์กูฏทันตะทูลถามถึงวิธีการที่ได้อานิสงส์มากกว่า แต่ใช้ทุนน้อยกว่ายัญสมบัติ ๓ ประการอันมีองค์ประกอบ ๑๖
ระดับที่ ๒ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ นิตยทานที่ทำสืบกันมาถวายเจาะจงบรรพชิตผู้มีศีลเป็นยัญใช้ทุนทรัพย์และการตระเตรียมน้อยกว่า แต่มีผลานิสงส์มากกว่า ”
ระดับที่ ๓ การสร้างวิหารถวายพระสงฆ์ผู้มาจากทั่วสารทิศจะใช้ทุนทรัพย์และการตระเตรียมน้อยกว่าแต่มีผลานิสงส์มากกว่านิยทาน
ระดับที่ ๔ ผู้มีจิตใจเลื่อมใสพระรัตนตรัยเป็นยัญที่มีทุนทรัพย์และการตระเตรียมน้อยกว่า แต่มีผลานิสงส์มากกว่าวิหารทาน
ระดับที่ ๕ ผู้มีจิตเลื่อมใสสมาทานศีล ๕ เป็นยัญมีทุนทรัพย์และการตระเตรียมน้อยกว่า แต่มีผลานิสงส์มากกว่าผู้มีจิตเลื่อมใสนับถือในไตรสรณคมณ์
ระดับที่ ๖ ผู้ที่บรรลุมรรคผล(นิพพาน)เป็นยัญมีทุนทรัพย์และการตระเตรียมน้อยกว่า แต่มีผลานิสงส์มากกว่าผู้สมทานเบญจศีล
ถ้าจะพูดแล้วพระพุทธองค์ทรงเน้น ความสำคัญถึง ๖ ระดับสำหรับคน ๖ ประเภทที่ยังสลัดทิฐิเดิมของตนยังไม่ได้เหมือนผู้นำในระดับต่าง ๆ กันคือผู้นำบางคนใช้
ระดับที่ ๑ ผู้ยังติดยึดรูปแบบเดิม ๆ ยังไม่พัฒนายังติดอยู่ในรูปแบบและองค์ประกอบที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม
ระดับที่ ๒ ทรงเน้นถึงการเสียสละส่วนตนเพื่อส่วนรวมคือการบริจาค หรือให้ทุน
ระดับที่ ๓ การการะทำเพื่อสังคมคนหมู่มาก เช่นสังคมสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ระดับที่ ๔ ทรงเน้นที่ศรัทธา ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย คือสิ่งที่ดีงาม
ระดับที่ ๕ ทรงเน้นเรื่องของการปฏิบัติ คือการลงมือทำของมนุษย์
ระดับที่ ๖ ทรงเน้นผลสำเร็จของงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือนิพพาน
๕.๗.นโยบายของพระพุทธเจ้า
นโยบายของพระพุทธเจ้าที่ทรงประกาศเอาไว้ในวันเพ็ญเดือน ๓ หรือวันมาฆบูชา ว่า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธสาสนํ [2]
นั้นก็สะท้อนให้เห็นถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศต่อต้านการกระทำบาปทั้งปวง (สพฺพปาปสฺส อกรณํ) โดยเฉพาะการบูชายัญที่มีชีวิตของสัตว์เป็นเดิมพัน ในแนวนโยบายดังกล่าวนี้ พระองค์ยังได้ส่งเสริมกิจกรรมที่ตรงกันข้ามอีก ๒ ประการคือ การทำความดีทุกรูปแบบ (กุสลสฺสูปสมฺปทา) และการทำจิตใจให้ผ่องใส (สจิตฺตปริโยทปนํ) อย่างแข็งขัน จนสรุปและยืนยันชัดเจนว่านี้คือพระพุทธศาสนา ( เอตํ พุทธสาสนํ)
๕.๗.๑. พุทโธบายทางการสื่อสาร
กลยุทธ์ในการสื่อสาร หรือการพูดของพระพุทธเจ้าที่สามารถโน้มน้าวให้ผู้คนหันมาคิดใหม่-ทำใหม่ จากวัฒนธรรมดั่งเดิมที่นิยมการฆ่าเพื่อบูชายัญ มาเป็นการให้ชีวิตเพื่อบูชายัญ จากการนำชีวิตสัตว์มาบูชายัญกลายเป็นพืชผักธัญญาหารมาบูชายัญแทน ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงใช้หลักธรรม ๔ ประการ คือ
๑. ชี้แจงให้เห็นชัด (สันทัสนา)
๒. ชักชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ (สมาทปนา)
๓. เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า (สมุตเตชนา)
๔. ปลอบชะโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมกถา (สัมปหังสนา)
หลักธรรมทั้ง ๔ ประการนี้เองเป็นเครื่องมือสำคัญที่ส่งผลให้ระบบความคิดเรื่องการบูชายัญของกูฏทันตพราหมณ์เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีงาม
๕.๗.๒.ผลของการปฏิรูปแนวคิด (Reform)
เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสพระสูตรแล้ว กูฏทันตพราหมณ์ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะโดยการยอมรับนับถือในพระรัตนตรัย พร้อมประกาศปล่อยชีวิตสัตว์ต่าง ๆ ให้เป็นไทตามพุทธมติ จนเกิดผลดีที่ตามมาอีกหลายประการคือ
๑.การเข้าใจถึงที่มาที่ไปและความหมายของการบูชายัญ
๒.วิธีการบูชายัญที่แท้จริงคือการส่งเสริมอาชีพของผู้ใต้ปกครอง
๓.การไม่ต้องบูชายัญด้วยเลือดเนื้อชีวิตของสัตว์ทั้งหลายอีกต่อไป
๕.๗.๒.๑. พราหมณ์ประกาศล้มเลิกพิธีกรรม
ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสอนุปุพพีกถา คือทรงประกาศเรื่องที่ง่าย ๆ ไปหายาก หรือจากรูปธรรมสู่นามธรรมมีทาน, ศีล, สวรรค์, โทษ-ความต่ำทราม-ความเศร้าหมองแห่งกามและอานิสงส์ในการออกบวชตามลำดับ จนกูฏทันตพราหมณ์บรรลุธรรมและได้กราบทูลพระพุทธองค์ฉันภัตตาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น
๕.๗.๒.๒.ปรับโรงพิธีบูชายัญเป็นที่เลี้ยงภัตตาหาร
ตอนเช้า พระพุทธองค์ได้เสร็จไปบิณฑบาตพร้อมด้วยหมู่สงฆ์ ฉันภัตตาหาร ณ โรงพิธีบูชามหายัญของพราหมณ์ โดยพื้นฐานแล้วกูฏทันตพราหมณ์ ยอมรับในแนวความคิดของพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่แล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ ให้ฟังจึงยอมรับโดยดุษฎียภาพ
พระสูตรนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงเศรษฐกิจ ที่ผูกโยงกับการเมืองการปกครองอย่างที่แยกแทบไม่ออก แนวคิดคนอินเดียโบราณที่ต้องการให้ความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองคงอยู่ตลอดไปด้วยการบูชายัญที่ต้องมีการฆ่าสัตว์เพื่อปรารถนาและอ้อนวอน แต่พระพุทธเจ้าปฏิรูปแนวคิดดังกล่าวมาเป็นการให้ทุนด้านการเกษตร, จัดตั้งกองทุนด้านพาณิชย์กรรม และการเพิ่มขั้นเงินเดือนให้กับข้าราชการ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนอกจากจะทำให้
๑. โจรผู้ร้ายไม่มี
๒. ถูกหลักการด้านศีลธรรมที่ไม่มีการเข่นฆ่า
๓. เป็นการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่ยั่งยืน และ
๔. เพิ่มผลผลิต และภาษีเงินได้อีกเข้าคลังหลวง
นับว่าเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุดและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีความเห็น