กูฏทันตสูตร เป็นพระสูตรในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ จากทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เบื้องต้นจะยกเนื้อหาโดยย่อมาก่อน และจะวิเคราะห์ทีหลัง ดังนี้
๕.๑. กูฏทันตสูตร : สูตรว่าด้วยเศรษฐศาสตร์การเมือง [1]
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จจาริกไปแคว้นมคธ พร้อมภิกษุ ๕๐๐ รูป พระองค์เสด็จถึงหมู่บ้านขาณุมัต ทรงประทับในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้หมู่บ้านขาณุมัต ซึ่งมีพราหมณ์กูฏทันตะปกครองหมู่บ้าน ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่อุดมสมบูรณ์พรั่งพร้อมไปด้วยประชากร, สัตว์เลี้ยง, พืชพันธุ์ธัญญาหาร, น้ำ, หญ้า ซึ่งเป็นพรหมไทย ที่พระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชทานปูนบำเหน็จให้ เมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวการเสด็จมาครั้งนี้จึงได้พากันเข้าเฝ้า
เวลานั้น พราหมณ์กูฏทันตะกำลังเตรียมการบูชามหายัญ ก็ได้เข้าเฝ้าพร้อมกับชาวบ้านด้วยจุดประสงค์เพื่อต้องการทูลถามถึงยัญสมบัติ ๓ ประการ องค์ประกอบ ๑๖ ซึ่งตนยังไม่รู้ชัด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีพืชพันธุ์ธัญญาหารเต็มท้องพระคลัง วันหนึ่งทรงดำริที่จะทำการบูชามหายัญ พราหมณ์ปุโรหิต(โพธิสัตว์) จึงกราบทูว่า บ้านเมืองของพระองค์ยังมีเสี้ยนหนาม มีการเบียดเบียน โจรยังปล้นบ้าน ปล้นนิคม ปล้นเมืองหลวง ดักจี้ในทางเปลี่ยว ถ้าพระองค์จะทรงปราบปรามด้วยการประหาร จองจำ ปรับไหม ตำหนิโทษ หรือเนรเทศ จะมีโจรกลับเข้ามาเบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ในภายหลังได้ ดังนั้นพระองค์ควรปรับวิธีการใหม่ (กลยุทธ์ใหม่) คือ
๑. ควรพระราชทานพืชพันธุ์และอาหารให้แก่เกษตรกร
๒. ควรพระราชทานต้นทุนให้แก่ผู้ทำพาณิชยกรรม
๓. ควรพระราชทานอาหารและเงินเดือนแก่ข้าราชการ
เมื่อทรงทำอย่างนี้แล้วพลเมืองจักขวนขวายในหน้าที่การงานของตน ไม่พากันเบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ และจักมีกองพระราชทรัพย์อย่างยิ่งใหญ่ บ้านเมืองก็จะอยู่ร่มเย็น ไม่มีเสี้ยนหนาม ไม่มีการเบียดเบียน ประชาชนจะชื่นชมยินดีต่อกัน มีความสุขกับครอบครัว อยู่อย่างไม่ต้องปิดประตูบ้าน
ต่อมา พระเจ้ามหาวิชิตราช ครั้นพระองค์ทำตามคำแนะนำแล้ว บ้านเมืองก็สงบร่มเย็น พระองค์ก็ยังคงปราถนาที่จะทำการบูชามหายัญอีก พราหมณ์ปุโรหิตจึงกราบทูลให้เชิญเจ้าผู้ครองเมือง, ราชอำมาตย์, พราหมณ์ และคหบดี ที่อยู่ในนิคมและชนบททั่วราชอาณาเขตเข้ามาปรึกษา เมื่อบุคคลทั้ง ๔ กลุ่มเห็นชอบแล้ว ลำดับต่อมาพระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงองค์ประกอบของยัญตามลำดับ ดังนี้คือ ความเห็นชอบของบุคคลทั้ง ๔ กลุ่ม, คุณลักษณะของพระเจ้ามหาวิชิตราช ๘ อย่าง, คุณลักษณะของพราหมณ์ปุโรหิต ๔ อย่าง, ยัญพิธี ๓ ประการ, ขจัดความเดือดร้อนพระทัย ๑๐ อย่าง และทรงมีพระทัยสดชื่นร่าเริงด้วยอาการ ๑๖ อย่าง
นอกจากนั้นแล้วพระพุทธเจ้ายังตรัสถึงยัญที่ทำโดยใช้ทุนทรัพย์และมีการตระเตรียมน้อยกว่า แต่มีอานิสงส์มากกว่า ตามลำดับโดยเรียงจากน้อยไปหามาก ดังนี้
๑. ยัญมีสมบัติ ๓ ประการ มีองค์ประกอบ ๑๖ ประการ มีอานิสงส์น้อยกว่า
๒. นิตยทานที่ทำสืบกันมาถวายเจาะจงบรรพชิตผู้มีศีล มีอานิสงส์น้อยกว่า
๓. การสร้างวิหารอุทิศพระสงฆ์ ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ มีอานิสงส์น้อยกว่า
๔. ยัญของบุคคลผู้มีจิตเลื่อมใสถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะ มีอานิสงส์น้อยกว่า
๕. ยัญของบุคคลผู้มีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบททั้งหลาย มีอานิสงส์น้อยกว่า
๖. ยัญของภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล และบรรลุธรรม
๕.๒. แนวคิดทางการเมืองการปกครองในกูฏทันตสูตร
๕.๒.๑.การกระจายอำนาจ
กูฏทันตสูตร เป็นพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์การเมืองอีกพระสูตรหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความคิด วิธีการจัดการกับปัญหา และที่สำคัญคือ รูปแบบการปกครองรูปแบบพิเศษในสมัยพุทธกาล แม้จะไม่ได้เจาะลึกเป็นกฎหมายให้เป็นอย่างกรุงเทพฯ, เมืองพัทยา, เทศบาล หรือแม้แต่ องค์การบริหารส่วนตำบล แต่ก็พอจะมองเห็นถึงลักษณะพิเศษบางประการที่ผู้ปกครองมอบให้ ในสมัยนั้นรูปแบบการปกครองท้องถิ่นหรือแบบพิเศษ เรียกว่า พรหมไทย คือหมายความว่าพระราชาทรงมอบรางวัลพิเศษให้ หรือของอันพรหมประทาน, ของให้ที่ประเสริฐสุดหมายถึงที่ดินหรือบ้านที่พระราชทานบำเหน็จให้ [2] ซึ่งในที่นี้ก็คือทรงมอบ หมู่บ้านชื่อว่าขาณุมัต เป็นการแยกปกครองอิสระต่างหากจากแคว้นมคธ โดยพระเจ้าพิมพิสารพระราชทานปูนบำเหน็จให้..ถ้าหากมองในแง่ของการกระจายอำนาจ (Decentralize) ซึ่งรัฐบาลกลางได้มอบอำนาจให้ไปจัดการท้องถิ่นไปดำเนินการปกครองและจัดทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวเอง [3] .ซึ่งเงื่อนไขความอุดมสมบูรณ์ของชุมชนเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถปกครองตนเองได้ด้วย ดังพระดำรัสว่า
“ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป
เสด็จถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชาวมคธชื่อขาณุมัต ประทับอยู่
ในสวนอัมพลัฏฐิกาใกล้หมู่บ้านขาณุมัต สมัยนั้น
พราหมณ์กูฏทันตะปกครองหมู่บ้านขาณุมัตซึ่งมีประชากร
และสัตว์เลี้ยงมากมายมีพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำหญ้าอุดมสมบูรณ์
เป็นพระราชทรัพย์ที่พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธพระราชทาน
ปูนบำเหน็จให้เป็นพรหมไทย (ส่วนพิเศษ).....” [4]
๕.๒.๒. ตำแหน่งทางการปกครองท้องถิ่น
เราจะเห็นว่าชุมชนขาณุมัต เป็นชุมชนที่เจริญและได้รับการพัฒนาพอสมควรโดยมีพราหมณ์กูฏทันตะ เป็นผู้ดูแลและปกครอง แต่ที่สำคัญมีอำมาตย์ที่ปรึกษา ซึ่งอาจจะจำลองมาจากการปกครองส่วนกลาง แต่อำมาตย์ในที่นี้มีหน้าที่ปรึกษาติดต่อประสานงาน ไม่ได้เป็นตำแหน่งบริหาร เหมือนตำแหน่งปลัด อบต ในปัจจุบันแต่เป็นตำแหน่งคล้ายเป็นเลขาพราหมณ์กูฏทันตะ ซึ่งในพระสูตรมีตอนที่สื่อให้เห็นถึงเนื้อความนี้ว่า
“ พราหมณ์กูฏทันตะ จึงเรียกอำมาตย์ที่ปรึกษามาสั่งว่า พ่ออำมาตย์
ถ้าอย่างนั้นท่านจงไปหาพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านขาณุมัต
ครั้นแล้วจงบอกอย่างนี้ว่าท่านขอรับพราหมณ์กูฏทันตะพูดว่า
ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายจงรอก่อนพราหมณ์กูฏทันตะจะไปเข้าเฝ้า
พระสมณโคดมด้วย ” [5]
๕.๓. เป้าหมายของขาณุมัต
๕.๓.๑. เป้าหมายขององค์กรท้องถิ่น
เมื่อกูฏทันตพราหมณ์ เมื่อได้รับพระราชทานบ้านขาณุมัต มาปกครองแล้วบ้านเมืองก็เจริญก้าวหน้า ข้าวปลาก็อุดมสมบูรณ์ พราหมณ์จึงคิดที่จะยึดนโยบายสร้างความอุดมสมบูรณ์และสันติสุขอย่างถาวรและยั่งยืนอย่างนี้ตลอดไป โดยคิดว่าการบูชายัญคือทางออกที่ดีที่สุด รูปแบบการปกครองเช่นนี้เป็นแนวความคิดคล้ายกับ Geertz ในเรื่อง “รัฐพิธีกรรม” ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า รัฐ (นคร) กับสังคม (หมู่บ้าน) จึงมีความเกี่ยวข้องกันเฉพาะกิจกรรมหลัก ๒ อย่าง คือ ในการประกอบพิธีกรรม กับการทำสงคราม กิจกรรมสองอย่างนี้เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างชนชั้นสูงกับสามัญชน โดยที่สถานภาพทางสังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง วัดกันจากความสามารถในการควบคุมกำลังคนและทรัพยากรเพื่อที่จะนำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อแสดงสภานภาพในทางสังคม ชนชั้นสูงตระกูลใดสามารถประกอบพิธีกรรมได้อย่างมโหฬาร ก็แสดงว่าตระกูลนั้นอยู่ในระดับชั้นของสังคมที่สูง และเป็นการแสดงว่ามีความใกล้เคียงกับเทพมาก [6] แม้รูปแบบการบริหารจัดการในรูปแบบดังกล่าวนี้จะใช้กรณีของนครบาหลี ในศตวรรษที่ ๑๖ มานำเสนอ แต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า บาหลี ในอินโดนีเชียก็ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียโบราณเช่นกัน
๕.๓.๒. นโยบายการบูชายัญ
จุดมุ่งหมายของการบูชายัญก็เพื่อต้องการให้สถานภาพของตนเองอยู่ได้ต่อไปและเพื่อประโยชน์แก่ตัวเองในที่นี้กูฏทันตพราหมณ์เมื่อจะทำจึงมาทูลถาม พระพุทธเจ้าทรงยกพระราชประวัติของพระเจ้ามหาวิชิตราชมาเปรียบเทียบ
“ พราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีพืชพันธุ์ธัญญาหารเต็มท้องพระคลัง
ต่อมาท้าวเธอประทับอยู่ตามลำพังทรงคิดคำนึงว่า เราได้ถือครอง
โภคสมบัติที่เป็นของมนุษย์อย่างมากมาย ได้เอาชนะแล้วครอบครอง
ดินแดนที่กว้างใหญ่ ทางที่ดีเราพึงบูชามหายัญที่จะเอื้ออำนวย
ประโยชน์สุขแก่เราตลอดกาลนาน ” [7]
“ บ้านเมืองของพระองค์ยังมีเสี้ยนหนาม มีการเบียดเบียน โจรยังปล้นบ้านปล้นนิคม ปล้นเมืองหลวง ดักจี้ในทางเปลี่ยวเมื่อบ้านเมืองยังมีเสี้ยนหนาม พระองค์จะโปรดให้ฟื้นฟูพลีกรรมขึ้นจะชื่อว่าทรงกระทำสิ่งไม่สมควร ” [10]
เหตุที่คัดค้านเพราะการทำการบูชายัญต้องใช้เครื่องประกอบมากมาย อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็มหาศาลในการเตรียมการนอกจากนั้นแล้วยังไม่ประกอบด้วยบุญ คือยังมีการนำชีวิตของสัตว์หลากหลายชนิดเข้ามาทำพิธีกรรมอีกเป็นจำนวนมาก
๕.๔.๒. การเสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ( R and D )
พราหมณ์ปุโรหิต ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการเสนอแนวทางในการพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้า และเกิดสันติสุขอย่างยั่งยืน โดยปฏิวัติความคิดที่จะทำลายล้างอาชญากร มาเป็นการส่งเสริมอาชีพหรือที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economics) ให้กับผู้คนในภายใต้การปกครองซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้มีการสำรวจข้อมูลในเชิงของการวิจัย (Reseach) และนำมาพัฒนา (Development) บ้านเมืองให้เกิดผลในเชิงรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ในพระสูตรระบุว่า
“ พระองค์มีพระราชดำริอย่างนี้ว่า เราจักปราบปรามเสี้ยนหนามคือโจรด้วยการประหาร จองจำ ปรับไหม ตำหนิโทษ หรือเนรเทศ อย่างนี้ไม่ใช่การกำจัดเสี้ยนหนามคือโจรที่ถูกต้องเพราะโจรที่เหลือจากที่กำจัดไปแล้วจักมาเบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ในภายหลังได้ ” [11]
พราหมณ์ปุโรหิต จึงเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีก ๓ ประการ คือให้แจกพันธุ์พืชอาหารให้กับพลเมือง, ให้แจกทุนในการค้าขาย, และให้เงินเดือนแก่ข้าราชการซึ่งจะเห็นได้ว่าการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ย่อมผูกพันกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ
ด้านการเมือง เมื่อผู้นำต้องการให้เกิดความผาสุก หรือการกินดีอยู่ดีของปวงชน ต้องวางนโยบายคือกำหนดทิศทางโดยเน้นเศรษฐกิจเป็นตัวนำ
ด้านเศรษฐกิจ แม้จะไม่ใช่เป้าหมายอันสูงสุดแต่ก็เป็นปัจจัยกื้อหนุนมิใช่น้อยที่จะผลักดันคนให้ก้าวเดินได้ในที่นี้ ปุโรหิตได้วางเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองไว้ ๓ ประการคือ
๑.ทุนด้านการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชนและคนส่วนใหญ่
๒.ทุนด้านพาณิชย์ ซึ่งเป็นกลไกรับและส่งระบบสินค้าสู่เมืองน้อยใหญ่เพื่อให้ระบบคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และ
๓.ทุนด้านกำลังใจ ให้ข้าราชการรับเงินเดือน ซึ่งเป็นการบำรุงขวัญให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้ทุ่มเทในการทำงานต่อไป
พราหมณ์ปุโรหิต จึงได้แนะกลยุทธและวิธีการในการกำจัดเสี้ยนหนามแบบถอนรากถอนโคนเอาไว้เป็นหลักการอีก ดังนี้
๑.ขอให้พระองค์พระราชทานพันธุ์พืชและอาหารให้แก่พลเมืองผู้ขะมักเขม้นในเกษตรกรรมและการเลี้ยงปศุสัตว์ในบ้านเมืองของพระองค์
๒.ขอให้พระองค์พระราชทานด้านทุนให้แก่พลเมืองผู้ขะมักเขม้นในพาณิชย์กรรมในบ้านเมืองของพระองค์
๓.ขอให้พระองค์พระราชทานอาหารและเงินเดือนแก่ข้าราชการที่ขยันขันแข็งในบ้านเมืองของพระองค์
๕.๔.๓. ผลของการพัฒนา
เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดประโยชน์นานัปการต่อประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครอง และรัฐบาลที่จะได้รับผลกลับย้อนคืนมาในรูปแบบอื่น ๆ อีก ๗ ประการ คือ
๑) ประชาชนจะขยัน (อุตสาหกรรม)
๒) ไม่เป็นโจร ปล้นชิงทรัพย์, ลักขโมย
๓) เก็บภาษีอากรได้มากขึ้น
๔) สังคมจะสงบสุข
๕) ประชาชนจะมีความสามัคคี
๖) ครอบครัวจะไม่แตกแยก
๗) อยู่อย่างปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหา หรือวิธีการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นมีส่วนประกอบของการศึกษาวิจัยมาอย่างดีและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่าจนทำให้นึกถึงการปกครองในยุคของพระศรีอาริย์ ดังพระสูตรระบุว่า
“ พลเมืองเหล่านั้นจักขวนขวายในหน้าที่การงานของตนไม่พากัน
เบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ และจักมีกองพระราชทรัพย์
อย่างยิ่งใหญ่บ้านเมืองก็จะอยู่ร่มเย็น ไม่มีเสี้ยนหนามไม่มีการ
เบียดเบียนประชาชนจะชื่นชมยินดีต่อกัน มีความสุขกับครอบครัว
อยู่อย่างไม่ต้องปิดประตูบ้าน ” [12]
๕.๔.๔. การทำประชาวิจารณ์ (Vote)
เมื่อท้าวเธอได้จัดการบ้านเมืองให้สงบสุขสมบูรณ์ตามคำแนะนำของพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว จึงคิดจะบูชามหายัญให้ได้ ดังนั้นพราหมณ์ปุโรหิตจึงแนะนำให้แสวงหาความร่วมมือกับบุคคลสำคัญต่าง ๆ เหมือนกับการทำประชาวิจารณ์ก่อนกับเหล่าข้าราชบริพาร ดังนี้
“ ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์โปรดรับสั่งให้เชิญเจ้าผู้ครองเมืองในนิคมและอยู่ในชนบททั่วพระราชอาณาเขตของพระองค์, โปรดรับสั่งให้เชิญพราหมณ์มหาศาลที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบททั่วพระราชอาณาเขตของพระองค์, โปรดรับสั่งให้เชิญอำมาตย์ราชบริพารที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบททั่วพระราชอาณาเขตของพระองค์, โปรดรับสั่งให้เชิญพราหมณ์มหาศาลที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบททั่วพระราชอาณาเขตของพระองค์, และโปรดรับสั่งให้เชิญคหบดีผู้มั่งคั่งที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบททั่วพระราชอาณาเขตของพระองค์ มาปรึกษาว่า ท่านผู้เจริญทั่งหลายเราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอพวกท่านผู้เจริญจงร่วมมือกับเราเพื่ออำนวยประโยชน์สุขแก่เราตลอดกาลนาน....” [13]
[1] ที. สี. ๙ / ๓๒๓–๓๕๘ / ๑๒๕–๑๕๐.
[2] ธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พระ. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓). หน้า ๑๘๒. อธิบายเพิ่มเติมว่า - บ้านที่พระราชทานเป็นบำเหน็จ เช่น เมืองอุกกุฏฐะ ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้แก่โปกขรสาติพราหมณ์ และนครจัมปา ที่พระเจ้าพิมพิสาร พระราชทานให้โสณทัณฑพราหมณ์ปกครอง เป็นต้น
[3] อัษฎางค์ ปาณิกบุตร. แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมือง. (กรุงเทพฯ : บริษัทสุขุมและบุตร จำกัด, ๒๕๔๐). หน้า ๗๙.
[4] ที.สี. ๙ / ๓๒๓–๓๕๘ / ๑๒๕.
[5] ที.สี. ๙ / ๓๒๙ / ๑๒๖.
[6] ชัยอนันต์ สมุทวณิช. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕). หน้า ๔๓.
[7] ที.สี. ๙ / ๓๓๖ / ๑๓๑.
[8] วัชรา ไชยสาร. การเมืองภาคประชาชน. (กรุงเทพฯ : หจก. วี.เจ.พริ้นติ้ง, ๒๕๔๕). หน้า ๘.
[9] เรื่องเดียวกัน หน้า ๑๓.
[10] ที.สี. ๙ / ๓๓๘ / ๑๓๑.
[11] เรื่องเดียวกัน หน้าเดียวกัน.
[12] ที.สี. ๙ / ๓๓๘ / ๑๓๒.
[13] ที.สี. ๙ / ๓๓๙ / ๑๓๒.