มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทยให้มีหลักการ
มีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
ปัจจุบันการจัดการศึกษาของชาติเข้าสู่การปฏิรูปการศึกษารอบที่ 2 (พ.ศ.
2553-2563) โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ
เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิต ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ
ก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและเป็นพลเมืองโลกที่สมบูรณ์
แต่การปฏิรูปดังกล่าวนั้นใช่ว่าจะเกิดขึ้นโดยปราศจากอุปสรรค
ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการศึกษาของไทย
ยังคงมีวิกฤติการศึกษาในหลายประเด็น
ในฐานะที่เป็นนักหลักสูตรและการสอน
ศูนย์กลางแห่งวิกฤติย่อมไม่อาจพ้นจากปัญหาด้านหลักสูตรและการสอนในปัจจุบัน
ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของการศึกษาไปได้
ประเด็นปัญหาสำคัญที่ควรนำมาวิพากษ์เพื่อสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาและยกระดับคุณภาพได้แก่
รูปแบบและโครงสร้างของหลักสูตรที่ควรจะเป็นและเหมาะกับสภาพสังคมใหม่
กล่าวคือ แท้จริงแล้ว
นักหลักสูตรควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรแบบเน้นเนื้อหาวิชา
(subject-matter) หรือเน้นสมรรถนะ/ทักษะชีวิต
(competencies/life skills) กันแน่
หลักสูตรคือประสบการณ์ต่างๆ ที่สถานศึกษาจัด
(หรืออาจะไม่ได้ตั้งใจจัด)
ให้แก่ผู้เรียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดความรู้
ทักษะกระบวนการ คุณลักษณะและค่านิยมที่เหมาะสมตามที่ได้กำหนด
การจัดการศึกษาหรือการจัดการเรียนการสอนจึงไร้เสียซึ่งหลักสูตรมิได้
เพราะหลักสูตรย่อมกำหนดเป้าหมาย สาระความรู้
วิธีการจัดการเรียนการสอน
และการประเมินผลผู้เรียนไว้อย่างครบถ้วน
เพื่อใช้เป็นแนวทางสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนา
สำหรับประเทศไทย
หลักสูตรการศึกษาของชาติได้รับการพัฒนาและปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า
แม้จะมีการปรับปรุงหลักสูตรให้มีลักษณะที่อาจต่างไปในแต่ละสมัย
แต่การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาชาติเท่าที่ผ่านมา
ยังคงปรากฏว่าผู้สร้างหลักสูตรใช้กระบวนทัศน์เดิมในการพัฒนาหลักสูตร
กล่าวคือ
เป็นการพัฒนาหลักสูตรบนกระบวนทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับความรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับ
หรือก็คือกระบวนทัศน์การพัฒนาหลักสูตรที่
อิงปรัชญาการศึกษากลุ่มสารัตถนิยม (Essentialism)
หรือการเน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาสาระทางวิชาการด้านต่างๆ
จำนวนมาก
ในขณะที่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนอย่างสมดุล
เน้นทักษะชีวิตและการสร้างประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียนให้มากที่สุด
ซึ่งมีพื้นฐานจากปรัชญาการศึกษาพิพัฒนนิยม (Progressivism)
ทำให้นักหลักสูตรในปัจจุบันกำลังเกิดปัญหาในเรื่องการออกแบบหลักสูตรและทำให้เกิดปัญหาวิกฤติ
ซึ่งเป็นปัญหาด้านปรัชญาและทฤษฎีหลักสูตรที่สำคัญว่า
“หลักสูตรสำหรับศตวรรษใหม่ของผู้เรียนและสังคมไทยควรเป็นอย่างไร”
สำหรับกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา
(focused on subject matter) นั้นเห็นว่า
หลักสูตรการศึกษาควรที่จะบรรลุความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเตรียมผู้เรียนให้ก้าวเข้าสู่ยุคสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สังคมที่ถือว่าการมีความรู้คือการมีอำนาจ
คือสามารถสร้างความได้เปรียบให้แก่ตนเอง
ในการใช้ความรู้พัฒนางานหรือวิชาชีพให้มีมูลค่าและระดับที่สูงขึ้น
หลักสูตรการศึกษาของชาติทุกฉบับที่ได้สร้างขึ้น
ล้วนแต่เกิดจากกระบวนทัศน์ที่เน้นเนื้อหาความรู้ทั้งสิ้น
แม้แต่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
ก็เป็นหลักสูตรแกนวิชา (core curriculum)
ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีลักษณะสำคัญคือ
เป็นหลักสูตรพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องศึกษา
โดยโครงสร้างของเนื้อหาจะมีเนื้อหาความรู้ที่สำคัญสำหรับคนไทยทุกคน
ซึ่งในปัจจุบันจำแนกได้ถึง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ประโยชน์ของหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาความรู้คือ
ทำให้ผู้สร้างหลักสูตรมีความสะดวกในการเลือกเนื้อหาวิชาที่จะนำมาใช้สอน
ผู้ใช้หลักสูตรคือครูในสถานศึกษาจะรู้สึกว่าสามารถดำเนินการเรียนการสอนได้ง่ายและควบคุมเวลาได้
เนื่องจากเนื้อหาถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบ
ในรูปแบบของสาระการเรียนรู้รายปีและรายภาค
ครูสามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระและความรู้ได้คราวละมาก ๆ
และวัดประเมินผลการเรียนรู้ได้ง่าย
ซึ่งส่วนใหญ่เน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้ของผู้เรียน
อย่างไรก็ตามหลักสูตรที่ออกแบบโดยเน้นเนื้อหาความรู้ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในแนวคิด
การออกแบบที่ขัดกับหลักจิตวิทยาการเรียนรู้
ธรรมชาติและพัฒนาการของผู้เรียน
กล่าวคือมีความมุ่งหมายของหลักสูตรแคบเกินไป
เพราะเน้นแต่ด้านพุทธิพิสัยหรือความสามารถในเชิงวิชาการ
ทำให้ไม่ครอบคลุมพฤติกรรมและพัฒนาการด้านอื่นของผู้เรียน เช่น
อารมณ์ เจตคติ ค่านิยม และทักษะด้านสังคม
หรือทักษะชีวิตด้านอื่นๆ
นอกจากนี้การจัดเนื้อหาสารที่แยกเป็นแต่ละวิชาไม่เกี่ยวข้องกัน
ทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจภาพรวมของสิ่งที่เรียน
และเนื้อหาที่เรียนบางเรื่องไม่คำนึงถึงความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง
ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
จากประเด็นปัญหาข้างต้น
นักหลักสูตรรุ่นใหม่จึงได้มีข้อเสนอเพื่อให้มีการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาชาติให้เน้นสมรรถนะ/ทักษะชีวิต
(competencies/life skills) มากยิ่งขึ้น
แนวคิดของหลักสูตรที่อิงสมรรถนะหรือทักษะนี้ (competencies-based
curriculum)
เป็นแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรที่ได้รับความสนใจในระยะเวลาไม่นานมานี้
โดยในระยะแรกได้มีการนำไปใช้กับหลักสูตรวิชาชีพ
ซึ่งต้องการสมรรถนะหรือความเชี่ยวชาญในทักษะการปฏิบัติระดับสูง เช่น
วิชาชีพแพทย์ พยาบาล เป็นต้น
ภายหลังจึงได้ขยายมาสู่การศึกษาขั้นพื้นฐาน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะและความสามารถในการลงมือปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนในการดำเนินชีวิตจริงมากกว่าหลักสูตรที่อิงความรู้เป็นฐาน
ลักษณะที่สำคัญของหลักสูตรอิงสมรรถนะคือ
มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะของเนื้อหาสาระและการจัดจะเน้นการจัดระบบข้อมูล
และมีการกำหนดความรู้เรียงลำดับจากพื้นฐานไปสู่เนื้อหาที่ลึกขึ้น
ดังนั้นในการจัดประสบการณ์
ครูจะต้องจัดประสบการณ์ตามลำดับจากความรู้พื้นฐาน
กระทั่งเกิดเป็นความชำนาญและสามารถทำงานที่ยากขึ้นได้
และในการประเมินผล
ครูจะเป็นผู้พิจารณาประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานของผู้เรียนเป็นสำคัญ
สำหรับสมรรถนะที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น
ความสามารถในการสื่อสารและใช้ภาษา
ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
เป็นต้น
จากเหตุผลข้างต้น
หลักสูตรอิงสมรรถนะจึงเป็นหลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติจริง
มุ่งให้ผู้เรียนถ่ายโยงการเรียนรู้สู่การใช้ทักษะชีวิตในด้านต่างๆ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
เป็นการรับประกันว่าความรู้ที่ได้ศึกษาสามารถนำมาใช้ได้จริง
หลักสูตรรูปแบบนี้จึงมีคุณค่ามากกว่าหลักสูตรอิงเนื้อหา
ซึ่งเป็นแต่เพียงองค์ความรู้ที่อาจจะไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงเลยก็เป็นได้
ด้วยความแตกต่างของแนวคิดรูปแบบหลักสูตรทั้ง 2
รูปแบบ ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ยากลำบาก
เกี่ยวกับการออกแบบหลักสูตรสำหรับการศึกษาในศตวรรษที่ 21
ของสังคมไทยว่า ควรมุ่งเน้นไปในทิศทางใด
เพราะการตัดสินใจที่โน้มเอียงไปด้านใดหน้าหนึ่ง
อาจก่อให้เกิดคำถามตามมาหลายกรณี เช่น
การมีแต่เพียงกระบวนการหรือทักษะแต่ปราศจากความรู้เป็นสิ่งที่ดีจริงหรือไม่
หรือความรู้ที่ไม่สามารถนำไปใช้ ยังควรที่จะบรรจุไว้ในหลักสูตรหรือไม่
เป็นต้น
หลักสูตรของชาติฉบับปัจจุบันดูเหมือนว่าพยายามที่จะสร้างความสมดุลระหว่างความรู้และกระบวนการด้านทักษะชีวิต
แต่ในการปฏิบัติคือ
นักการศึกษายังคงให้ความสำคัญกับเนื้อหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
มากกว่าสิ่งที่ผู้เรียนปฏิบัติได้
หลักสูตรจึงยังคงเน้นเนื้อหาวิชาและไม่อาจทำให้การสร้างทักษะกระบวนการเกิดขึ้นจริง
ปัญหาการศึกษาที่ผู้เรียนเรียนแล้วไม่สามารถประยุกต์ความรู้ถ่ายโยงไปยังสถานการณ์อื่นๆ
ได้ จึงยังคงดำเนินอยู่
และเป็นวิกฤติสำคัญประการหนึ่งของการศึกษาไทยปัจจุบัน
ดังที่กล่าวมานี้ ในกระแสสำนึกของนักหลักสูตรรุ่นใหม่
การร่วมคิดและการร่วมสร้างหลักสูตรให้เป็นหลักสูตรอิงสมรรถนะ
จึงยังไม่ล้มเลิกและยังคงเรียกร้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
_______________________
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปเผยแพร่หรือดำเนินการใดๆ
ควรทำตามหลักวิชาการ จรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์