น.ส.กฤติกา วิชาธร การจัดการ รุ่น 3
สรุปการเรียนวิชา การจัดการดำเนินงาน วันที่ 27 มีนาคม 2554
บทที่ 1 บทนำ
การจัดการดำเนินงาน (Operation management) ในสมัยก่อนใช้ชื่อว่า การจัดการการผลิต (Production management) แต่เนื่องจากวิธีการคิดต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป สังคมมีการเปลี่ยนแปลง การทำงานที่เปลี่ยนไป ในปัจจุบันจึงได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า การจัดการดำเนินงานแทน
การจัดการดำเนินงาน (Operation management) หรือ OM เป็นหน้าที่พื้นฐานหนึ่งขององค์การที่มีความสำคัญมาก
Production System ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ
1. Input ปัจจัยนำเข้า
External Environment การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
- Economic เป็นปัจจัยด้านเศรษฐกิจ
- Etc.
Marketing
- Competition ทำการแข่งขันกับคู่แข่งเพื่อส่วนแบ่งด้านการตลาด
- Product information การแนะนำสินค้าให้กับลูกค้า
- Customer needs จัดหาสินค้าตามความต้องการของลูกค้า
Production Resources
- Man
- Money
- Material
- Machine
- Management
2. Transformation Process
- Productions
- Transports
- Retailing
- Insurance
- Finance
- Communication
- Ect.
3. output สิ่งที่ได้จากการดำเนินงาน ซึ่งจะได้สิ่งที่ต้องการจากการดำเนินงานด้านการผลิต
Direct productivity ผลิตผลทางตรง
- Goods/products ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมา
- Services บริการ
Indirect productivity ผลิตผลทางอ้อม
- Tex ภาษี
- Salary/hire เงินเดือน,ค้าจ้าง
- Technology development การพัฒนาเทคโนโลยี
- Environment Impact ผลกระทบทางธนรรมชาติ
- Labor Impact แรงงาน
- Social impact ปัญหาสังคม
4. Control ควบคุมและดูและภาพลักษณ์รวมขององค์การและทำการปรับปรุงและแก้ไขข้อพกพร่อง ผิดพลาดต่างๆ
Value Chian (ห่วงโซ่แห่งคุณค่า) ประกอบไปด้วย
1. Customers ลูกค้า
2. Manufacturer ผู้ผลิต
3. Suppliers ผู้จัดจำหน่าย
โดยกระบวนการทั้ง 3 ขั้นตอนนั้นจะมีกระบวนการเคลื่อนไหวของข้อมูลกลับไปกลับมา คือ
Flow of information > Customer order
Flow of Product > order fulfillment การเติมเต็มสินค้า
Development Operation Management
- Just-in-time (JIT) Total Quality Control (TQC) ทันต่อเวลา เป็นแนวคิดของญี่ปุ่น
- Manufacturing Strategy Paradigm กรอบกระบวนการคิดการผลิต
- Total Quality Management and Quality Certification การจัดการคุณภาพ มาตราฐานการผลิต
- Reengineering การรื้อระบบใหม่
- Supply Chain Management
- Electronic commerce
- Operation Management การจัดการการดำเนินงาน (OM)
Why to Study?
1.เพื่อให้การดำเนินการผลิตและการดำเนินงานสามารถตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี(ในเวลาที่ถูกต้อง คุณภาพที่พิเศษ และต้นทุนที่ต่ำเท่าที่จะทำได้)
2.จะทำให้คุ้นเคยและตระหนักถึงแนวคิดและมาตราฐานต่างๆที่จะทำให้การผลิตและการตำเนินงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ประสิทธิภาพ หมายถึง การใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ประสิทธิผล หมายถึง การบรรลุผลการกระทำสิ่งที่ถูกต้องที่สร้างคุณค่าให้กับองค์การมากที่สุด
3.ทำให้มองภาพธุรกิจสมบูรณ์ครบถ้วน มีการบริหารอย่างเป็นระบบ
โดยมีการจัดการดำเนินงานเป็นหน้าที่ นอกเหนือจากการตลาด การเงิน
4.ทำให้เกิดการมองอย่างเป็นระบบ มีปฏิสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ระหวาง Operations กับงานอื่นๆ
1. Marketing เป็นฝ่ายวางแผนก่อนการผลิต ใช้ในการขายสินค้า รับorders จากลูกค้า บริหารและผลตอบรับจากการจำหน่าย บริการหลังการขาย และจัดกิจกรรมในการขาย
2. Finance/Accounting เป็นฝ่ายดำเนินงานด้านการเงิน ค่าใช้จ่าย ในการวิเคราะห็ต้นทุน โดยต้องมีการทำขอมูลเกี่ยวกับคลังสินค้าและข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่าย
3.Supplier ฝ่ายผลิตสินค้าและบริการ โดยต้องมี จำนวนในการผลิต การออกแบบสินค้า คุณภาพ ความรวดเร็ว การจัดส่งสินค้า
4. Human Resource เป็นฝ่ายจัดหารกำลังคนเพื่อจะนำมาใช้ในการผลิต
การตัดสินใจทางด้สน OM สามารถจำแนกได้ 3 แบบ คือ
1. การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (Strategic decisions)เป็นการตัดสินใจในระยะยาว
2. การตัดสินใจดำเนินงาน (Operating decisions) เกี่ยวข้องกับการวางแผนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
3. การตัดสินใจด้านการควบคุม (Control decisions) เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการผลิตที่ไม่เป็นไปตามที่กำหนดหรือวางแผนไว้
บทที่ 2 กลยุทธ์ในการดำเนินงาน
ขั้นตอนในการกำหนดกลยุทธ์ดำเนินงาน
พันธกิจขององค์การ
v
การประเมินสภาพแวดล้อม > กลยุทธ์ธุรกิจ < จุดเด่นและจุดด้วย
v
แผนผลิตภัณฑ์/บริการ
v
การจัดลำดับความสำคัญในการแข่งขัน
คุณภาพ ต้นทุน เวลา ความยืนหยุ่น
v
กลยุทธ์ดำเนินงาน
การจัดลำดับความสำคัญในการแข่งขัน
1.การแข่งขันด้ารต้นทุน (Competing on Cost)
2.การแข่งขันด้านคุณภาพ (Competing on quality)
3.การแข่งขันด้านความยืดหยุ่น (Competing on fiexibility)
4.การแข่งขันด้านเวลา/ความเร็ว (Competing on time/speed)
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์การดำเนินงาน คือ รู้จักการวิเคราะห์แลกเปลี่ยน (Trade - off) หรือการแลกเปลี่ยน หรือ การชั่งตวง คือ ระบบการผลิตหนึ่งๆไม่สามารถให้ความสำคัญกับมิติการแข่งขันทุกด้านได้พร้อมๆ กัน ดังนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องตัดสินใจ จัดลำดับความสำคัญในการทุ่มเททรัพยากร เพื่อสร้างความได้ปรียบเชิงการแข่งขันในด้านนั้นๆ
ส่วนประกอบของกลยุทธ์ดำเนินงาน
1.กลยุทธ์รูปแบบผลิตภัณฑ์ (Product Desing Strategy) มี 2 ประเภท คือ
- ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน (Standard products)เป็นสินค้าที่ผลิตจำนวนมากๆ มีรูปแบบไม่หลากหลาย ต้นทุนต่ำ
- ผลิตภัณฑ์เฉพาะเจาะจง (custom products) เป็นสินค้าที่ผลิตตาม order เท่านั้น มีความยืดหยุ่นสูง
2.กลยุทธ์กระบวนการและเทคโนโลยี (Process and Technology Strategy)
- กระบวนการผลิตที่เน้นผลิตภัณฑ์ (Production Focused) เน้นการผลิตที่เป็นมาตรฐานเป็นหลัก
- การผลิตแบบสายการผลิต (Production Line) เหมาะกับกระบวนการผลิตแบบ Custom Product
3.กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปคงคลัง (Finished Product Inventory Strategy)
- นโยบายผลิตเพื่อรอจำหน่าย (Product to Stock)
- ผลิตตาม Order (Product to order)
4.กลยุทธ์กำลังการผลิต (Capacity Strategy) เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดกำลังการผลิตในระยะยาว ว่าจะมีกำลังการผลิตมากน้อยเพียงใด เพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ในระยะยาว
5.กลยุทธ์ทำเลที่ตั้ง (Location Strategy) มีผลต่อการเปรียบเชิงการแข่งขันทางด้านต้นทุน ความรวดเร็วในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินธุรกิจ
6.กลยุทธ์การวางผัง (Layout Strategy) มี 3 รูปแบบ คือ
- ตามสายผลิตภัณฑ์ (Product Layout)
- การวางผังตามกระบวนการ (Process Layout)
- การวางผังตามโครงการ (Fixed Position Layout)
การวัดประสิทธิภาพปละประสิทธิผลการดำเนินงาน
ประสิทธิภาพ = ผลผลิต/ทรัพยากรทั้งหมด หรือ output/input
การวัดประสิทธิภาพบางส่วน = ผลผลิต/ค่าแรง หรือ ผลผลิต/ทุน หรือ ผลผลิต/พลังงาน
การวัดประสิทธิภาพของกลุ่ม = ผลผลิต/ค่าแรง+ทุน+พลังงาน หรือ ผลผลิต/ค่าแรง+ทุน+วัตถุ
การวัดประสิทธิภาพแบบองค์รวม = ผลผลิต/ทรัพยากรที่ใช้ทั้งหมด
การบริการแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. บริการหลัก หมายถึง ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีลักษณะคุณภาพตามที่ลูกค้าต้องการ ในระยะเวลาที่ต้องการ ในราคาที่พอใจ
2. บริการที่เพิ่มคุณค่า หมายถึง บริการที่ทำให้ลูกค้าภายนอกมเกิดความสะดวกขึ้น หรือถ้าเป็นลูกค้าภายใน (ผู้ทำหน้าที่ต่างๆ ในองค์การ) ก็เป็นบริการที่ทำให้บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ง่ายขึ้น
น.ส.กฤติกา วิชาธร การจัดการรุ่น 3
สรุปการเรียน วิชา การจัดการดำเนินงาน วันที่ 3 เมษายน 2554
บทที่ 3 การจัดการเครือข่ายวัสดุ (Supply Chain Management)
การจัดการเครือข่ายวัสดุ คือการจัดการการไหลของข้อมูล วัสดุ ผลิตภัณฑ์ และบริการทั้งระบบ
Supply chain หรือ ห่วงโว่ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมต่อกันตั้งแต่ supplierวัตถุ ผ่านผู้ผลิตระดับต่างๆ จนกระทั้งเป็นสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งรวมเรื่องคลังสินค้า การจัดส่ง การกระจายสินค้าไปยัง ลูกค้ารายสุดท้าย
การวัดผลงานของ Supply chain
การประเมินผลงานอาจทำได้โดยการวัดอัตราหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง หรือระยะเวลาที่สินค้าคงคลังจะเก็บไว้ในคลัง และนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่ง หรือเป้าหมายที่กิจการกำหนด
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง = ต้นทุนสินค้าขาย / สินค้าคงคลัง
ระยะเวลาที่สินค้าอยู่ในคลัง (สัปดาห์) = สินค้าคงคลัง X 52 / ต้นทุนขาย
นอกจากนั้นการประเมินผลงานการจัดการเครือข่ายวัสดุ อาจประเมินจากกฎเกณฑ์ อื่นๆ ดังนี้
1.ร้อยละของคำสั่งที่สั่งให้ลูกค้าได้ทันเวลา
2.จำนวนและความรุนแรงอันเนื่องจากวัสดุขาดมือ
3.ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคลังสินค้าต่อปี
4.จำนวนครั้งที่ลูกค้าต่อว่าหรือไม่พอใจจากบริการที่ไม่ดี
กลยุทธ์เกี่ยวกับ Supply Chain
ผลิตภัณฑ์ตามหน้าที่ ผลิตภัณฑ์นวตกรรม
ประสิทธิภาพ |
เหมาะ |
ไม่เหมาะ |
รวดเร็ว |
ไม่เหมาะ |
เหมาะ |
Supply chain ที่มุ่งเน้นความมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนเกี่ยวกับสินค้าเหมาะกับผลิตภัณฑ์ตามหน้าที่
Supply chain ที่มุ่งเน้นความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดเหมาะกับผลิตภัณฑ์เชิงนวตกรรม
Supply chain ที่เน้นประสิทธิภาพออกแบบเพื่อลดต้นทุน โดยใช้ระบบที่มีอัตราการใช้ทรัพยากรสูง ลดสินค้าคงคลังทั้งเครือข่าย เลือก ซัพพลายเออร์ที่ผลิตสินค้ามีคุณภาพและต้นทุนต่ำ
Supply chain ที่เน้นความสารถในการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลลงของตลาดเป็นการคัดเลือกเครือข่าย Supply chain ที่มุ่งเน้นลดรอบระยะเวลานำหรือเวลาตั้งแต่ได้รับคำสั่งจนกระทั้งจัดส่ง (lead time) เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์เพื่อลดต้นทุนจากสินค้าขาดมือ
บทที่ 4 การควบคุมสินค้าคงคลัง
ต้นทุนเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง
1.ต้นทุนในการเก็บรักษา (holding or carrying costs) ได้แก่ ต้นทุนเกี่ยวกับค่าคลังสินค้า การจัดเก็บ การดูแล การประกันภัย สินค้าแตกหัก หรือเสื่อมสภาพระหว่างจัดเก็บ ค่าเสื่อมราคาเกี่ยวกับคลังสินค้า และค่าของเงินทุนที่จมในสินค้าคงคลัง
2.ต้นทุนการสั่งผลิตหรือสั่งซื้อ (setup or production change or ordering costs) ได้แก่ ต้นทุนการปรับเครื่องจักรเพื่อการผลิตแต่ละคำสั่ง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายวัตถุที่ใช้ผลิตอยู่ก่อนหน้าออกจากบริเวณปฏิบัติงาน ต้นทุนที่เกี่ยวกับการสั่งซื้อวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนแต่ละครั้งที่นอกเหนือจากค่าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน
3.ต้นทุนเกี่ยวกับของขาดมือ (stock out costs) การเสียลูกค้า สูญเสียกำไร ถูกปรับกรณีส่งของล่าช้า
การจำแนกสินค้าคงคลังตามลักษณะอุปสงค์
อุปสงค์อิสระ(independent demand) คือ ความต้องการสินค้าแต่ละชนิดไม่มีความสัมพันธ์กัน
อุปสงค์ที่ไม่อิสระ(dependent demand) คือความต้องการของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นผลเนื่องมาจากความต้องการในของอื่นๆ การกำหนดจำนวนความต้องการสินค้าที่ไม่อิสระทำได้อย่างง่ายๆ โดยใช้ตัวเลขความต้องการของรายการในระดับเหนือขึ้นไป
เทคนิคการพยากรณ์
1.การพยากรณ์เชิงปริมาณ เป็นการพยากรณ์ที่ต้องอาศัยสถิติข้อมูลเชิงปริมาณในอดีตมาใช้เป็นฐานในการพยากรณ์
- ข้อมูลในอดีตสามารถหาได้
- ข้อมูลมีจำนวนเพียงพอ
- ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
วิธีการพยากรณ์เชิงปริมาณ ได้แก่
1.1วิธีอนุกรมเวลา
- วิธีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- วิธีเอกโปเนนเชียล
- วิธีวิเคราะห์แนวโน้ม
1.2วิธีวิเคราะห์ความสัมพันธ์
- วิธีวิเคราะห์สมการถดถอย
2.การพยากรณ์เชิงคุณภาพ เป็นการพยากรณ์ที่อาศัยข้อมูลเชิงพรรณนา เหมาะสำหรับกรณีที่สถิติเชิงปริมาณในอดีตมีไม่เพียงพอหรือไม่สามารถรวบรวมได้
- วิธีเดลฟี
- วิธีสอบถามผู้บริหารระดับสูง
- วิธีสอบถามพนักงานระดับปฏิบัติงาน
- วิธีสอบถามผู้เชี่ยวชาญ
- วิธีสำรวจตลาด
ตัวแบบคณิตศาสตร์เกี่ยวกับคลังสินค้าคงเหลือ
1.จำนวนสั่งคงที่ (Economic order quantity หรือ EOQ หรือ Q - Model) เริ่มสั่งสินค้าใหม่เมื่อระดับสินค้าคงคลังลดลงมาถึงระดับที่กำหนดไว้ การบันทึกบัญชีสินค้าคงคลังต้องใช้ระบบต่อเนื่อง มักใช้กับสินค้าที่มีราคาสูง หรือวัดถุดิบที่มีความสำคัญมาก ต่อระบบการผลิต
2.ระยะเวลาสั่งคงที่ (Periodic system หรือ P - Model) เริ่มสั่งใหม่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ การบันทึกบัญชีใช้ระบบตรวจนับเป็นครั้งคราว
ลักษณะของการสั่งสินค้า
1.สินค้าที่สั่งส่งทั้งจำนวน สั่งและส่งสินค้าทั้งหมดในครั้งเดียว
2.ผลิตสินค้าและทะยอยส่ง จะผลิตและจัดส่งตามจำนวนผลิตเสร็จในแต่ละวัน
สินค้าคงคลังสำรอง(Safety stock)
สินค้าคงคลังสำรอง ทำเพื่อป้องกันสินค้าขาดมือซึ่งจะมีผลให้ต้นทุนของสินค้าเพิ่มขึ้น
การจำแนกสินค้าคงคลังแบบ A B C
เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการควบคุมสินค้าคงเหลือ เพื่อกำหนดวิธีควบคุมให้เหมาะสมกับความสำคัญของสินค้าแต่ละชนิด โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามมูลค่าของสินค้า คือ
A = กลุ่มที่มีมูลค่าสูงประมาณร้อยละ 70 ของมูลค่ารวม
B = กลุ่มที่มีมูลค่าปานกลางประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่ารวม
C = กลุ่มที่มีมูลค่าต่ำประมาณร้อยละ 5 ของมูลค่ารวม
บทที่ 5 การวางแผนผลิตรวม (Aggregate Planning)
แบ่งมิติด้านเวลาออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะยาว ระยะปานกลาง และ ระยะสั้น
การวางแผนกระบวนการผลิต เป็นแผนที่กำหนดเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิธีการที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์หือบริการ ส่วนการวางแผนกำลังการผลิตเกี่ยวข้องกับการกำหนดขนาดและขอบเขตของกำลังการผลิตในระยะยาว การวางแผนการผลิตรวมสำหรับกิจการผลิตสินค้าและกิจการบริการโดยทั่วไปจะเหมือนกัน ยกเว้น แผนการผลิตรวมสำหรับกิจการผลิตสินค้าจะมี แผนสินค้าคงคลังเข้ามาเกี่ยวข้อง
แผนกำหนดการผลิตหลัก (Master production schedule = MPS) จะแสดงจำนวน กำหนดวัน และระยะเวลาที่จะผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด
แผนความต้องการวัตถุ (Material requlrements planning = MRP) แสดงถึงเวลาและจำนวนชิ้นส่วนที่ต้องผลิต จำนวนวัตถุที่ต้องจัดซื้อ เพื่อให้ชิ้นส่วนและวัตถุที่ต้องการมีพร้อมในเวลาที่ต้องการ ทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ได้เสร็จทันตามเวลาที่กำหนด
คุณลักษณะของแผนการผลิตรวม
1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ เป็นการวางแผนการผลิตโดยไม่ลงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ แต่จะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาเทียบเป็นหน่วยๆ เทียบเท่าที่เหมาะสมและสะดวก
2.แรงงาน แปลงแรงงานที่แตกต่างกันให้เป็นกลุ่มแรงงงานเดียวกันโดยการใช้หน่วยเทียบเท่าที่เหมาะสม
3.เวลา โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลา 6 – 8 เดือน และแบ่งช่วงเวลาเป็นรายเดือนหรือไตรมาส และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อแผนการผลิต ก็จะปรับปรุงเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส
จุดมุ่งหมายของแผนการผลิต
1.เพื่อกำหนดกำลังการผลิตให้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่พยากรณ์ไว้และมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง
2.เพื่อใช้ทรัพยากรการผลิตต่างๆ
3.เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง
กลยุทธ์แผนการผลิตรวม
1.แผนการผลิตผันแปรตามอุปสงค์ คือแผนการผลิตที่ปริมาณการผลิต และแผนแรงงานผันแปรไปเท่ากับอุปสงค์ในแต่ละช่วงเวลา กลยุทธ์นี้จะเหมาะสมถ้าแรงงานหาได้ง่ายและระยะเวลาการฝึกให้ทำงานสั้น การจ้างเข้าและปลดมีต้นทุนไม่สูง
2.แผนการผลิตสม่ำเสมอ ปริมาณการผลิตในแต่ละชาวงเวลาและจำนวนแรงงานคงที่
3.แผนการผลิตแบบผสม อาจจะกำหนดและเปลี่ยนแปลงปริมาณผลผลิตด้วยการใช้ชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาหรอลดชั่วโมงการทำงาน กลยุทธ์นี้ช่วยให้แรงงานมีความมั่นใจว่างานมั่นคง ลดการเสียขวัญ
การจ้างเหมาช่วง เพื่อรองรับกับการผันแปรของอุปสงค์ เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง
การวิเคราะห์ต้นทุนของแผนการผลิตรวม
ควรดูแผนที่ทำให้ต้นทุนรวมของแผนนั้นๆ ต่ำสุด ต้นทุนที่เกี่ยวข้อง คือ
1.เงินเดือน ค่าแรง ล่วงเวลา
2.ต้นทุนเกี่ยวกับการรับพนักงานใหม่และการปลดพนักงาน
3.ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง
4.ต้านทุนเกี่ยวกับการค้างส่งสินค้าตามคำสั่ง
การจะวิเคราะห์ว่าแผนใดเหมาะสมต้องพยายามหาแผนการผลิตรวมที่ต้นทุนรวมต่ำที่สุด
สินค้าปลายงวด = สินค้าต้นงวด + ผลิต - ความต้องการ
บทที่ 6 การวางแผนความต้องการวัตถุ (Material Requirements Planning) MRP
เป็นการวางแผนความต้องการวัตถุหรือส่วนประกอบ ที่จะใช้สำหรับผลิตผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด ว่าจำนวนวัตถุดิบ จำนวนชิ้นส่วนที่ต้องการสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดเท่ากับเท่าใด จะต้องสั่งซื้อหรือสั่งผลิตเมื่อใด
ข้อมูลที่ใช้ในการจัดทำ MRP
1.MPS ตารางการผลิตที่ระบุเวลา เจาะจงรุ่นผลิตภัณฑ์ กำหนดจำนวนที่ต้องผลิต
2.Bill of material (BOM) ลำดับของชิ้นส่วนที่ต้องใช้ตั้งแต่ต้นทางไปถึงผลิตภัณฑ์สุดท้ายต้องใช้ ชิ้นส่วนใดบ้าง จำนวนเท่าใด และวัตถุที่ต้องใช้แต่ละระดับ 1 หน่วย ต้องใช้สิ้นส่วนเท่าใด จำนวนเท่าใด
3.Inventory file ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ มีคุณสมบัติเฉพาะอย่างไร ซื้อหรือผลิตจากใคร ใช้เวลาในการสั่งซื้อหรือผลิตเท่าใด ยอดคงเหลือเท่าใด
เงื่อนเวลาที่ยอมให้เปลี่ยนแปลง (Time Fences)
1.ระยะที่ห้ามเปลี่ยนแปลงหรือระยะแช่แข็ง (Frogen) ระยะเวลาที่ไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
2.ระยะเวลาที่ยินยอมให้เปลี่ยนแปลงได้บ้าง (Mqderately firm) อาจยอมให้เปลี่ยนแปลงได้บ้าง เช่น รุ่น
3.ระยะที่ยืดหยุ่น (Flexible) เป็นช่วงที่ยินยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงเกือบทุกอย่างภายใต้เงื่อนไขกำลังการผลิตเท่าเดิม และไม่ทำให้ lead time ยาวขึ้น
|
ระยะแช่แข็ง |
ระยะผ่อนผันเล็กน้อย |
ระยะยืดหยุ่น |
กำลังการผลิต |
คำสั่งซื้อของลูกค้า |
คาดคะเนความต้องการและกำลังการผลิต |
|
|
8 |
1.5 |
26 |
สัปดาห์
บทที่ 8 ทฤษฎีการตัดสินใจเบื้องต้น (Supply Chain Management)
ประเภทการตัดสินใจ
1.ภายใต้ความแน่นอน (Certainly) จะเลือกทางเลือกที่ได้ผลดีที่สุด
2.ภายใต้ความไม่แน่นอน (Uncertainly) เกณฑ์การตัดสินขึ้นอยู่กับตัวแบบการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เลือกทางเลือกที่
- ได้มูลค่าคาดหวังตัวเงินสูงสุด (Maximum Expected Monetary Value) EMV
- ค่าคาดหวังของข่าวสารที่สมบูรณ์ (Expected Value with perfect information) evwpl
- ค่าเสียโอกาสคาดหวังต่ำสุด (Minimum Expected Opportunlty Loss) EOL
- การวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity Analysis)
- การเลือกผลตอบแทนสูงสุด ใน2โอกาสที่จะเกิดขึ้นเท่ากัน (Equally Likely)
- ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Criterion of Realism)
- ภายใต้ความเสี่ยง (Risk)
เทคนิคที่ช่วยในการตัดสินใจ ตัวแบบเครือข่าย
- เทคนิคการเชื่อมต่อเครือข่ายให้มีระยะทางสั้นที่สุด( Minimal-Spanning tree Technique) เป็นวิธีการแก้ปัญหาการเชื่อมต่อจุดต่างๆ ในเครือข่ายให้ติดต่อทั่วถึงกัน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ระยะทางสั้นที่สุด เพื่อประหยัดทรัพยากรที่ต้องใช้ในการเชื่อมต่อ
- เทคนิคการไหลสูงสุด( Maximum-Flow Technique)เป็นวิธีการกำหนดการไหลของวัตถุ หรือกิจกรรมให้ได้มากที่สุดในเครือข่าย
- เทคนิดเส้นทางที่สั้นที่สุด (Shortest-route Technique) เป็นการกำหนดหาเส้นทางจากจุดต้นทางไปยังจุดปลายทางที่ระยะทางสั้นที่สุด
บทที่ 11การจัดการโครงการ
เทคนิคที่ช่วยในการบริหารโครงการ
เทคนิคการทบทวนและประเมินโครงการ (Program Evaluation and Review Technique PERT)
ลำดับขั้นตอนของ PERT ประกอบด้วย
ขั้นที่ 1 กำหนดกิจกรรมโดยใช้สัญลักษณ์ตัวอักษร เช่น A B C แทนกิจกรรม
ขั้นที่ 2 กำหนดลำดับกิจกรรมที่ต้องทำก่อนหลัง
ขั้นที่ 3 เขียนข่ายงานของกิจกรรม
ขั้นที่ 4 กำหนดเวลาแล้วเสร็จของแต่ละกิจกรรม
ขั้นที่ 5 คำนวณว่าสายงานใดยาวที่สุดในโครงข่ายงานทั้งโครงการ ซึ่งสายงานดังกล่าวเรียกว่าสายงานวิกฤต
ขั้นที่ 6 ติดตามและควบคุมโดยใช้ข้อมูลจาก PERT ในการติดตามและควบคุม