ระยะนี้เห็นข่าวโฆษณาชวนเชื่อ (ต้องใช้คำว่าโฆษณาไม่ใช่ประชาสัมพันธ์เพราะมีเหตุผลเพื่อชักจูงให้ขายได้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป) ของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล โดยมีนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น สู้กับปัญหาข้าวยากหมากแพง
ฟังดูแล้วเป็นนโยบายที่ดี แต่วิธีการนั้นดูเหมือนจะง่ายเกินไป เพราะถ้าหากทำได้ง่าย ๆ อย่างนี้ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาสามารถแก้ไขได้หมดแล้ว
ง่ายอย่างไร?
ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
ราคาสินค้าแพงขึ้น ก็เพิ่มรายได้(ค่าแรงขั้นต่ำ)เพื่อให้มีเงินไปซื้อสินค้าได้
ง่ายจริง ๆ แก้ไขแบบตรงไปตรงมาไม่มีอะไรแอบแฝง แต่ไม่เหมาะสมกับเป็นนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดังระดับโลกเอาเสียเลย
เพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วสินค้าแพงเกิดจากค่าของเงินลดต่ำลง ซึ่งเรียกว่าเงินเฟ้อ ตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างการคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค
ลองคำนวณเปรียบเทียบอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศ ปี 2543 กับ ปี 2544
สมมติตัวเลข ปี 2543 เป็น 197.7
และปี 2544 เป็น 202.6 ดัชนีราคาผู้บริโภคปี 2544 เพิ่มจากปี 2543 ดังนี้
CPI = (202.6/197.7) x 100 = 102.5
ดังนั้นดัชนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.5-100 = 2.5
ดัชนีราคาผู้บริโภคในปี 2544 ที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจบ่งบอกได้ถึงภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่การเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.5 ซึ่งถือเป็นเงินเฟ้ออย่างอ่อนเป็นสิ่งที่ดีต่อเศรษฐกิจ
จากตัวอย่างเห็นได้ว่า ปี 2543 สมมติว่ามีเงิน 100 บาท สามารถซื้อสินค้า A ได้ 1 ชิ้น พอถึงปี 2544 จะซื้อสินค้า A ได้ 1 ชิ้นนั้นต้องใช้เงินถึง 102.5 บาท ซึ่งภาษาชาวบ้านเรียกว่าของแพง นักเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคารเรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะค่าเงินลดลง
(ที่มา: วิกิพีเดีย - ภาวะเงินเฟ้อ)
ซึ่งส่วนนี้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งจบเศรษฐศาสตร์ทราบเป็นอย่างดี ยิ่งของแพงมากเท่าใด ก็แสดงว่าเงินเฟ้อมาก (เงินก็มีค่าน้อยลงไปตามอัตราส่วน)
สาเหตุของเงินเฟ้อนั้นมี 2 ประการคือ
การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลคือ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งก่อนหน้าก็ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ก็ประดุจดั่งสาดน้ำมันเข้ากองเพลิง เร่งโหมเพลิงราคาให้แรงขึ้น ในที่สุดก็จะไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้เคียงนั่นคือ ระบบเศรษฐกิจ
ข้อเขียนนี้ไม่ได้ต่อต้าน คัดค้าน การขึ้นค่าแรง หรือเพิ่มรายได้ส่วนใด แต่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่หยิบเอาเรื่องเหล่านี้มาแสวงหาผลประโยชน์เหมือนกับการซื้อขนมมาแจกเด็ก ๆ โดยเด็กและผู้ใหญ่หลายคนไม่ทันคิดว่า เงินที่ซื้อขนมนั้นก็มาจากกระเป๋าตัวเอง
สาเหตุที่เขียนคือสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด และวิธีการแก้ไขปัญหาที่ยังอ่อนเกินไป และไม่ยั่งยืน
ทำไมไม่ส่งเสริมและพัฒนาให้เกษตรกรมีแนวทางการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน และแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม จริงจัง และจริงใจ ไม่ใช่ทำแบบขอไปที
เมื่อภาคเกษตรเจริญรุ่งเรืองเหมาะสมกับเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เพื่อมุ่งไปสู่ครัวโลกแล้ว ภาคแรงงานก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ไม่จำเป็นต้องรอหรืออาศัยเศษเงินจากน้ำมือภาคอุตสาหกรรม เหมือนรอกินน้ำใต้ศอก กว่าจะถือปากถึงท้องก็เหลือประโยชน์น้อยนิด เผลอ ๆ มีสิ่งเจือปนก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้อีก
สุดท้ายจึงขอฝากให้ผู้อ่านทุกท่านได้เล็งเห็นถึงการส่งเสริมวิธีคิดและการเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้อ่านในกลุ่มนักการศึกษาทั้งหลายโปรดช่วยกัน ส่งเสริม เสริมสร้าง วิธีคิดและการเรียนรู้ ให้เกิดในหมู่นักศึกษาและเยาวชนของชาติให้สามารถคิดเป็น แก้ไขปัญหาเป็น ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาแบบขอไปที หรือลูบหน้าปะจมูกแบบนี้...
ขึ้นค่าแรง ก็ดีใจ นึกว่ารายได้มากขึ้นจริง แต่ที่เพิ่มขึ้นกลับไม่ไช่ "เงินเก็บ"
กลับกลายเป็นเพิ่มหนี้สินมากขึ้น เพราะนึกว่ามีรายได้เพิ่ม เลยซื้อผ่อนเพิ่มพอกพูน ต่อปัญหา จริงๆ ไม่รู้จบ
ขอบคุณคุณ บุษรา และ คุณมะเดื่อ. mee_pole ที่เข้ามาเยี่ยมชม และให้กำลังใจพร้อมความคิดเห็น พอดีคุณ mee_pole กล่าวถึงเงินเก็บก็คิดได้ว่า ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วเงินได้ 100% จ่าย 80% ออม 20% ถ้าทำได้รับรองไม่จน ตรงนี้ต่างหากเราต้องรณรงค์ส่งเสริมการออมอย่างแท้จริง
แต่ทุกวันนี้เกิดปรากฎการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลังมากกว่า อย่าว่าแต่เงินออมเลยครับ
และการออมเงินนั้นในระบบเศรษฐกิจทุกวันนี้ไม่ส่งเสริมเกื้อหนุน เพราะฝากเงินธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยถูกแสนถูก จึงเป็นกรรมของประชาชนที่ต้องหาทางออมกันเอาเองแล้วแต่เวรกรรมก็แล้วกัน ใครคิดได้ก็ออมเป็น คิดไม่ได้ก็เป็นหนี้แทน
ขอบคุณอีกครั้งครับ
เข้ามาขอบคุณ คุณโยธิน นะครับ
ที่เข้าไปให้กำลังใจ ลูกชาย ที่ถูกรถชน
ขอบคุณมากนะครับ
"เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" ก็ยังเป็นวลีอมตะ ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยครับ