ep.4
เรารู้สึกดีใจที่จะได้เวียนเทียน เพราะไม่ได้ทำมานานแล้วเมื่อไปถึงที่วัด พวกเราส่วนหนึ่งไปนั่งสวดมนต์ในโบสถ์แต่อีกส่วนหนึ่งไปนั่งสวดมนต์ในศาลาวัด แล้วค่อยมาเดินเวียนเทียนรอบโบสถ์พร้อมกัน ทีแรกเราก็งงๆว่าทำไมถึงแยกที่กันทำ วิพุธบอกเราว่าปกติถ้าเป็นวันสำคัญๆอย่างวันนี้จะมีการสดมนต์กันในโบสถ์แล้วเวียนเทียนรอบโบสถ์ แต่ถ้าเป็นพิธีอื่นๆทั่วไปจะทำในศาลาการเปรียญ เราเลยสรุปเอาเองว่าวัดแต่ละที่มีความแตกต่างกัน
การเวียนเทียนที่นี่ต้องถอดรองเท้า เราเดินข้างอาจารย์ดวงใจ พยายามทุกวิถีทางไม่ให้น้ำตาเทียนหยดลงที่เท้า ทีสุดก็ครบสามรอบ ตังเทียนไว้รอบโบสถ์ แต่เราไม่รู้ว่าจะเอาธูปไปไว้ที่ไหน มีคุณยายใจดีเดินมาบอกเราว่าให้ปักธูปลงบนดิน แล้วท่านยังใจดีเดินมาสาธิตให้ดูด้วย เรากับวิพุธจึงได้เรียนรู้วิธีการปักธูปบนดิน ขณะเราตั้งหน้าตั้งตาปักธูปก็ได้ยินเสียงวิพุธขอบคุณคุณยายอยู่ข้างหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นไม่รู้คุณยายหายไปไหนแล้ว เสียดายที่ยังไม่ได้ขอบคุณ
คุณยายมาสอนปักธูป
กิจกรรมค่ำคืนนั้นประทับใจเรามาก หลังบ้านน้องเก่งเป็นทุ่งนา มีลานโล่งๆสำหรับให้พวกเรานั่งคุยกันภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ฝ่ายสถานที่ปูเสื่อสำหรับเป็นที่นั่ง และรอบๆเป็นเชิงไม้ตะเกียงที่ทำจากขวดยาหม่อง วางเรียงเป็นวงกลม ให้ความรู้สึกเหมือนงานรอบกองไฟ ข้อเสียของตะเกียงนี้คือมันจะค่อยๆมอดลง ต้องคอยเติมน้ำมันอยู่เป็นระยะเพื่อให้การมองหน้ากันชัดขึ้น
บรรยากาศการนั่งคุยกัน
การคุยกันในคืนนี้ ความสนใจพุ่งไปที่ผู้มาเข้าค่ายครั้งแรกอย่างน้องเตย น้องจิ๊บ น้องชัย น้องบอย น้องกิ๊ก น้องแก้มยุ้ย ถึงเหตุผลในการมาค่าย ส่วนใหญ่ก็จะบอกเหมือนๆกันว่าอยากมาฟังประสบการณ์พี่ๆที่ทำงาน เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจสำหรับหาสถานที่ทำงาน จากนั้นก็เป็นการเล่าประสบการณ์การทำงานของพี่ๆ
น้องมุข ซึ่งพึ่งเริ่มต้นทำงานได้แค่เพียงสองเดือนถูกเสนอชื่อให้เล่าเรื่องก่อนใคร เพราะถือได้ว่าพึ่งเริ่มต้นเข้าทำงาน น้องมุขเล่าด้วยความสนุกสนาน เราจับใจความได้ว่า รพ.สต.ที่น้องมุขไปทำงานนั้นใช้อาคารเก่ามาเป็นห้องแผนไทย น้องมุขบอกว่าไปถึงต้องทำตัวไม่ให้ตัวเองดูว่างงานโดยการออกไปขอสมุนไพรชาวบ้านมาทำลูกประคบ
ส่วนเรื่องนโยบายต่างๆที่ทางกรมกำหนดมาให้นั้นให้เป็นเรื่องของผู้บริหาร เขาจะไม่กดดันตัวเอง น้องมุขบอกว่าเรื่องปรับปรุงอาคาร การจัดทำห้องให้ได้มาตรฐานต่างๆเขามีหน้าที่แค่เสนอหัวหน้า ให้กรมไปกดดันหัวหน้ามาเร่งทำให้ อย่ามากดดันเขา
ฟังแล้วเรายิ้มออกมากับความคิดของน้อง ตอนที่เราเข้าไปทำงานใหม่ๆเรากดดันตัวเองมากในเรื่องมาตฐานห้องแผนไทย แต่น้องมุขกลับโยนความกดดันนี้ให้หัวหน้าไปแทน อืม.......คิดได้ยังไงนะ เจ๋งไปเลยแฮะ
ส่วนเรื่องการทำหัตถบำบัด น้องมุขบอกว่าการที่คนไข้ซักคนจะถูกส่งมาให้เขาทำในช่วงแรกๆนั้นเขาจะต้องทำให้ดีที่สุด ให้ประทับใจที่สุด เพราะคนไข้จะเป็นฝ่ายไปบอกต่อผู้คนในชุมชนเอาเองว่ามีเขาอยู่ อาศัยคนไข้ให้กระจ่ายข่าวโดยการบอกต่อนั่นเอง แรกๆน้องมุกก็ทำงานคนเดียว แต่ตอนนี้มีผู้ช่วยแพทย์แผนไทยมาช่วยงานหนึ่งคน ทำให้คนไข้ของน้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
ฟังเรื่องของน้องมุขแล้ว ก็มาฟังเรื่องของน้องสาม
สามเล่าถึงการทำงานของตัวเองที่มันดีมาก เท่าๆกับที่ศักยภาพของแพทย์แผนไทยประยุกต์คนหนึ่งจะทำได้ เมื่อมันดีมากอย่างนั้น สามกลับรู้สึกว่ามันอิ่ม มันไร้สิ่งที่ท้าทาย เขาเลยลาพักร้อนเพื่อกลับมาทบทวนตัวเองว่ายังมีอะไรที่เขาทำไม่ได้อีกรึเปล่า คิดวกไปวนมาจนชักอยากจะเอื้อมไปแก้ไขที่นโยบายแพทย์แผนไทยระดับประเทศ
เราฟังแล้วอึ้งมาก โห้.....สามสุดยอดอ่า อาจารย์เอ็มให้ความเห็นว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะมองไประดับประเทศอย่างนั้น แต่พี่ตุ๋ยกลับมองต่างออกไปว่าด้วยศักยภาพของสามสามารถที่จะเป็นไปได้ อาจารย์ดวงใจหันมาถามสามเกี่ยวกับการสร้างเครือข่ายในพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร สามตอบรับไปว่าที่ดำเนินสะดวกการสร้างเครือข่ายค่อนข้างลำบากอยู่ อาจารย์เลยแนะนำให้สามลุยและลองทำเครือข่ายดู
ดึกดื่นค่อยคืนเราง่วงเต็มทนแล้ว เริ่มฟังไม่ออกว่าทุกคนคุยอะไรกันเลยเดินออกมานั่งสงบจิตสงบใจที่หน้าคลินิกน้องเก่ง พักใหญ่ๆ การนั่งคุยของค่ำคืนนี้จึงผ่านพ้นไป ค่ำคืนนั้นเรานอนกับน้องเตย น้องจิ๊บและน้องเพชร ด้วยเพราะแปลกที่เลยทำให้เราหลับไม่ค่อยสนิท
ไม่มีความเห็น