(1) ไม่ได้มาเรียนเรื่องภาวะผู้นำ แต่มาแบ่งปันความรู้ และสำรวจตัวเองและพัฒนาให้เกิดภาวะผู้นำ
(2) บางคนอาจจะมีภาวะผู้นำอยู่ในแต่ละคนแล้วก็ได้ แต่ยังมองไม่เห็นหรือยังไม่ได้นำมาใช้
(3) วิธีการเรียน จะแบ่งเป็น 3 ช่วง
(1) ผมจะแสดงความเห็นสั้น ๆ
(2) เปิดเทป
(3) เปิดอภิปรายทั่วไปว่า ได้อะไร จะนำไปพัฒนาอย่างไร
(4) เมื่อกลับบ้าน เปิด website www.chiraacademy.com และส่ง Blog มา share ความรู้กัน
(5) หนังสือ HR พันธุ์แท้ มีตัวอย่างของผู้นำ 2 คนคือ ดร.จีระ และคุณพารณ
(6) ผมมา share และมาฟังดูว่าบรรดาผู้ฟัง 80 ท่าน คิดอย่างไร ในเรื่องผู้นำ และจะมีการสร้างผู้นำอย่างไรให้ได้ผล เพราะที่ผ่านมา บางครั้งคิดว่า ผู้นำสร้างไม่ได้ แต่ติดตัวมา ซึ่งไม่จริง
(7) ผู้นำมีหลายชนิด และเหมาะกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน
(8) ทุกคนเป็นผู้นำได้ แต่ต้องคิดว่า ตัวเองอยากเป็นด้วย เพราะในสังคมปัจจุบัน จะต้องมีผู้ตามที่ดีด้วย
(9) การจะพัฒนาผู้นำยุคใหม่ จะมีการทดสอบพฤติกรรมของผู้นำ คิดออกมาเป็นคะแนน เช่น บางคนอาจจะเก่งงาน แต่ไม่เก่งคน บางคนชอบทำงานคนเดียว บางคนคิดแบบในกรอบ บางคนคิดนอกกรอบ บางคนชอบวิจารณ์ผู้อื่น ซึ่งทาง chiraacademy ร่วมกับบริษัทDBM จัดทำการวัดภาวะผู้นำออกมา สำหรับแต่ละคนได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ 4 เรื่อง คือ (1) รู้ profiles ของแต่ละคน(2) ไปเทียบมาตรฐานขององค์กรที่เราวัดกับองค์กรอื่น ๆ เรียกว่า Benchmark report (3) มีระบบ Feedback คือที่ปรึกษา ที่ทำข้อมูลที่วัดได้ไปหารือกับเจ้าตัว เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถ่องแท้ (4) มีการสร้างหลักสูตรแบบ coaching หรือสร้างระบบ พี่เลี้ยง Mentoring และสร้างผู้อำนวยความสำเร็จ Facilitators ด้วย ระบบนี้ได้ทดลองในหน่วยงานหลายแห่งได้ผล คล้าย ๆ มีกระจกมาส่องเรา เพื่อเราจะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น
เรียน ถาม ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไปสัมนา MARKETIN GURU ที่ฟัง อ.อธิบายเรื่องของ BENCHMARK REPORT การเทียบมาตราฐานขององค์กรตัวเองกับองค์กรอื่น หลักการที่จะใช้มาประกอบในการมาตราฐานขององค์กรมีอะไรที่เป็นส่วนสำคัญในการใช้
วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เวลาบ่ายโมง ที่โรงแรม Maxx ผมต้องขอบคุณ ศ.ดร.จีระ ที่ได้เปิดโอกาสให้ผมได้แชร์ความคิด Comment และต้องขออภัยด้วย ที่ไม่ได้อยู่รอจนจบสัมมนา เนื่องจากต้องรีบเดินทางไปร่วมกิจกรรม ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่จังหวัดอุบลฯ
ในสิ่งที่ ศ.ดร.จีระ ได้แชร์ไอเดียใหม่ ๆ เกี่ยวกับภาวะผู้นำ ผมสังเกตเห็นได้ว่า ศ.ดร.จีระ ไม่ใช่แค่เลกเปลี่ยนหรือแชร์ความคิดเห็นเท่านั้น ท่านได้ทำการฝึกภาวะความเป็นผู้นำให้กับผู้เข้ารับการอบรม โดยที่หลายท่านอาจจะไม่ทันตั้งตัว
ผมหวังว่าสิ่งที่ผม Comment ไป จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมคบหากันเป็นเพื่อน เป็น Good Connection ต่อกัน
ยม
นักศึกษา ปริญญาเอก รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
Tel 01-9370144
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และ ชาว Marketing Guru ทุกท่าน
ผมเห็น ข้อความที่คุณพิสิษฐ์ อิทธิโชติวัฒน์ เขียนมาเมื่อ จ. 07 ส.ค. 2549 @ 11:05 (58461) เรียน ถาม ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ว่า " อ.อธิบายเรื่องของ BENCHMARK REPORT การเทียบมาตราฐานขององค์กรตัวเองกับองค์กรอื่น หลักการที่จะใช้มาประกอบในการมาตราฐานขององค์กรมีอะไรที่เป็นส่วนสำคัญในการใช้"
ผมขอร่วมแชร์ไอเดีย ดังนี้ครับ BENCHMARKING เป็นหนึ่งในเครื่องมือการบริหารองค์การ ในประเทศไทยนิยมใช้ตามแฟชั่นทางการบริหาร ตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งควรศึกษาให้ดี เพราะเครื่องมือทางการบริหารองค์การมีนับร้อยเครื่องมือ บางเครื่องมือต้องทำต่อเนื่องกัน เช่น ก่อนจะทำการ BENCMARKING ควรทำการวิเคราะห์องค์การด้วยเครื่องมือ SWOT Analysis เพื่อหาจุดอ่อน จุดแข็งฯ และนำการบริหารเชิงกลยุทธ์มาใช้ ด้วยการกำหนดวิสัยท้ศน์ ภารกิจ วัตถุประสงค์ แผนกลยุทธ์ โครงการต่าง ๆ จากนั้นจะมีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จในงาน หรือการบริหารแบบมุ่งสัมฤทธ์ผล กว่าจะไปถึง BENCHMARKING ต้องอาศัยอีกหลายเครื่องมือ เพื่อศึกษาปัญหา และกำหนดกลยุทธ์องค์การ
องค์การ บุคคล แผนงาน และโครงการต่างก็ต้องมีการติดตามผลงานของตนอย่างจริงจังและมีประสิทธิผลเพื่อแสดงให้ทราบผลการดำเนินการว่าได้ผลงานก้าวหน้า หรือมีผลงานที่เป็นความสำเร็จหรือไม่อย่างไร ในขั้นแรกของการติดตามผลงานหรือการวัดผลงานจำเป็นต้องมีการกำหนดกรอบการวัดผลงาน (Measurement framework) และระบบการติดตามงาน (Monitoring system) เสียก่อน
ขั้นต่อไปเป็นเรื่องของการกำหนดดัชนีชี้วัดผลงาน(KPI)สำหรับใช้เป็นมาตรวัดผลงาน การกำหนดผลงานฐานเริ่มต้น (Base line) สำหรับเป็นจุดเริ่มต้นของการวัดการเปลี่ยนแปลงของผลงาน
ในการกำหนดเป้าหมายของแต่ละตัวดัชนีชี้วัดอาจอาศัยการกำหนดผลงานเทียบเคียง (Benchmark) สำหรับการปรับผลงานให้มีความยอดเยี่ยม (Best practice)
อาจกล่าวได้ว่า การติดตามผลงานเป็นกระบวนที่เป็นระบบและเกิดจากการวางแผนในการวัดผลงานตามแผนที่ได้ตั้งเป้าหมายของผลงานไว้ โดยการเปรียบเทียบกับผลงานที่เกิดขึ้นจริงและองค์ประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกรอบการวัดผลงาน หรือกรอบการติดตามผลงานเป็นเครื่องมือการบริหารงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ หรือ RBM (Results Based Management) ที่มีการออกแบบมาเพื่อการวางแผนที่เป็นระบบในการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องสำหรับการติดตามผลงาน การศึกษาความก้าวหน้า และการรายงานผลงาน กรอบการติดตามผลงานจะทำให้ทราบความก้าวหน้าของความสำเร็จในงาน
แผนภาพ แสดงกรอบการติดตามผลงานในระดับองค์การ ที่เป็นระบบผลที่คาดว่าจะได้รับCEO | ดัชนีชี้วัดผลงาน | แหล่ง ข้อมูล | วิธีการจัดเก็บข้อมูล | ความถี่ของการจัดเก็บ | ผู้ปฏิบัติ |
ความพึงพอใจของลูกค้าCustomer Satisfaction | |||||
ความสุข ความพึงพอใจของพนักงานEmployee Satisfaction | |||||
ผลประกอบการ ผลผลิตOrganization profit, outcome) |
นอกจากนี้ องค์การจำเป็นต้องเชื่อมโยงวิสัยทัศน์และแผนกับการวัดผลความสำเร็จด้วย วิสัยทัศน์จะเป็นจุดตั้งต้นของการกำหนดวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัดความสำเร็จในองค์การ KPI
การอาศัยวิสัยทัศน์และภารกิจ(การบริหารเชิงกลยุทธ์) ในการผลักดันกระบวนการวางแผน และเป็นรากฐานของการกำหนดวัตถุประสงค์ในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นพื้นฐานในการวัดผลงานต่อไปองค์การที่ต้องการลดเลิกการทำงานที่อาศัยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และต้องการสร้างการทำงานที่ประสานสอดคล้องกันเพื่อนำความคิดโครงการที่มีความริเริ่มสร้างสรรค์จะต้องดำเนินการตามวิสัยทัศน์ ภารกิจ วัตถุประสงค์และแผนยุทธศาสตร์ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ในการพัฒนาวิสัยทัศน์จะต้องพิจารณาถึงปัญหาอุปสรรคและหาวิธีการกำจัดปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาวิสัยทัศน์ การแก้ไขปัญหาอุปสรรคจะมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของปัญหาอุปสรรคนั้นๆ ส่วนการที่องค์การจะไปสู่ความสำเร็จในระดับใดก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของวิสัยทัศน์และแผนยุทธศาสตร์ ที่ได้พัฒนาขึ้น ผมขอร่วมแชร์ไอเดีย เพียงเท่านี้ก่อน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านสวัสดีครับ
ยม
เรียน คุณพิสิษฐ์ อิทธิโชติวัฒน์ และศิษย์ Nano MBA ทุกท่าน
ขอตอบคำถามที่ถามมาเกี่ยวกับเรื่อง BENCHMARK REPORT การเทียบมาตราฐานขององค์กรตัวเองกับองค์กรอื่น หลักการที่จะใช้มาประกอบในการมาตราฐานขององค์กรมีอะไรที่เป็นส่วนสำคัญในการใช้วัด ก่อนอื่น จะอธิบายถึงเรื่อง Assessment บุคลากรในองค์กรเพื่อให้ได้ Individual Profile ของแต่ละคนเกี่ยวกับพฤติกรรม ความคิด ความสามารถ ทัศนคติ ความชอบในการทำงานแต่ละด้าน ฯลฯ รวมไปถึงจุดอ่อน จุดแข็ง ศักยภาพ ของแต่ละบุคคล จากนั้นนำผลที่ได้ของแต่ละคนมารวบรวมวิเคราะห์สรุปเป็นข้อมูลขององค์กร หรือประสิทธิภาพรวมของบุคลากรในองค์กร เมื่อสรุปผลออกมาก็นำไปเปรียบเทียบกับองค์กรอื่น อาทิ AIS ปตท. หรืออื่น ๆ ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ในเบื้องต้นอาจจะเน้นที่องค์กรภายในประเทศ หากมีความต้องการก็จะเปรียบเทียบกับองค์กรอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก และสรุปออกมาเป็น Benchmark Report ว่าปัจจุบันองค์กรของเราศักยภาพของบุคลากรเราอยู่ตรงจุดไหน มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรอื่น และหากจะพัฒนาองค์กร และทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรควรจะเน้นเรื่องใดเป็นพิเศษ ซึ่งนับว่าเป็นเข็มทิศนำทางให้การพัฒนาองค์กรดำเนินไปอย่างมีทิศทาง ซึ่งหากท่านสนใจผม ได้ร่วมกับทีมงานของ DBM Thailand ทำเรื่องนี้อยู่ ก็สอบถามรายละเอียดมาที่ ผู้ช่วยของผม คุณวราพร โทรศัพท์ 02-884-9420-1 ได้ เพราะเขามีรายละเอียดของโครงการนี้อยู่
สุดท้ายก็ขอขอบคุณที่สนใจและมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้กันที่นี่
จีระ หงส์ลดารมภ์
เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ได้ให้ผมและทีมงานปราการเคเบิ้ลทีวี-สมุทรปราการ เ ข้าเยี่ยมชมและศึกษาการทำงานของมูลนิธิทรัพยากรมนุษย์ ระหว่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่พวกเราเห็นร่วมกัน คือ เป้าหมายในการทำงานของเรา คือ สื่อสารสิ่งที่เป็นจริง สร้างความเป็นธรรมในสังคม และส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มในสังคม ทั้งเวลาประสบการณ์ทำงานของเรายังน้อย จึงหวังว่าให้ท่านได้ช่วยชี้แนะและในโอกาสอันใกล้คงจะต้องขอความกรุณาจากท่านอีก
ด้วยความนับถือเป็นอย่างสูง
วิโรจน์../Nano MBA 5
Isreal/Hezbollah และ ทักษิณ/อภิสิทธิ์[1]
บทความนี้ผมเขียนในวันพุธ ก่อนจะเดินทางไปประชุม APEC/ILO ที่จาการ์ตา ประเทศ อินโดนีเซีย กิจกรรมหนึ่งที่ผมทำในนามของ ประธานคณะทำงานด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ เอเปก ( APEC HRD Working Group ) ซึ่งดำรงตำแหน่งมา 2 ปีแล้ว ได้ความรู้และเป็นประโยชน์มากต่อคนไทย กิจกรรมทุกเรื่อง ผมจะรายงานให้คนไทยทราบเพราะ
ยุคนี้เป็นยุคของการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนข้อมูล การมีสื่อ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านได้ประโยชน์
ในยุคต่อไป องค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ จะทำงานร่วมกันมากขึ้น ต่างคนต่างทำจะไม่สำเร็จ ผมเปิดกว้างให้องค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ มาทำงานร่วมกับ APEC มากขึ้น เช่น OECD หรือธนาคารโลก
การประชุมครั้งนี้ เป็นเรื่องการลดการใช้แรงงานเด็กในหลายประเทศ ซึ่งปัญหาแรงงานเด็กเกิดขึ้นเพราะ
- ค่าจ้างถูก
- กฎหมายควบคุมไม่ถึง
- พ่อแม่ยากจน
- เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ จึงต้องทำงานหาเงิน
จุดอ่อนคือ เด็กขาดโอกาสทางการศึกษา เมื่อเขาอายุ 25 ปีขึ้นไปแล้ว เขาจะทำอะไร อนาคตจะลำบาก เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ
APEC/ILO จึงร่วมมือกัน ลดการใช้แรงงานเด็ก และต้องให้ได้ผลจริง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเด็ก หาวิธีให้เขาได้รับการศึกษาที่ดี
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีกิจกรรม 3 เรื่องที่น่าสนใจ
เรื่องแรกคือ ไปร่วมบรรยายเรื่อง ภาวะผู้นำให้กับกลุ่ม Marketing Guru ในโครงการ Nano MBA ซึ่งทำเป็นครั้งที่ 5 แล้ว การหารือกันเรื่องผู้นำถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ
- ผู้นำสร้างได้
- ผู้นำไม่เกี่ยวกับอำนาจทางกฎหมายหรือตำแหน่ง
- ผู้นำจะมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่ในปัจจุบันผู้หญิงมีน้อยกว่ามาก
- เป็นเรื่องจำเป็น เพราะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ
- ผู้นำแตกต่างกับผู้บริหาร
- อะไรคือแรงกระตุ้น ( Motivation ) ให้อยากเป็นผู้นำ
- ผู้นำต้อง
- เก่งงาน
- เก่งคน
- เก่งบริหารการเปลี่ยนแปลง
- มีคุณธรรม จริยธรรม
ผู้นำมีหลายชนิด
- แบบมีเสน่ห์ ( Charisma )
- แบบ Transformation จาก A B
- แบบเหตุการณ์สร้างผู้นำ ( Situational Leadership )
ผู้นำมีหลายชนิด แตกต่างกัน จะเหมาะกับแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความเหมาะสมแต่ละคน
การเรียนรู้ผู้นำ อย่าลอกตำราฝรั่งเท่านั้น ควรจะวิจัยในประเทศไทยมากขึ้น ดูจากจุดอ่อนของเรา/มองตัวเราเอง หรือดูแบบอย่าง Role model
ผมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการค้าต่างประเทศได้จัด workshop เรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ที่น่าสนใจเพราะเป็นการจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 โดยเน้นทฤษฎีว่า ถ้าจะทำ HR ให้ได้ผล ต้องพัฒนาความเชื่อและศรัทธาก่อน
ผมประทับใจในอธิบดีราเชนทร์ พจนสุนทร เพราะเป็นผู้ที่สนใจการสร้างคุณภาพของคนในองค์กร มานั่งฟังและมีส่วนร่วมทั้ง 3 ชั่วโมง ซึ่งอธิบดีในประเทศไทย ไม่ชอบการเรียนรู้ และเราจะมีการทำงานต่อเนื่องในอนาคต
สรุปการทำ workshop พบว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการค้าต่างประเทศอยากเรียนเรื่อง
- Team work
- การสร้างความรัก ความผูกมิตรในองค์กร
- การเป็นเจ้าขององค์กร
ซึ่งแต่ละเรื่องน่าสนใจ แต่ทำยาก อย่างน้อย กระทรวงพาณิชย์ได้มองอะไรแบบ Intangible ครับ
อีกเรื่องหนึ่งคือ จากการทำงานร่วมกับ FM 96.5 MHz ผมได้ย้ายรายการจากวันอาทิตย์มาเป็นวันพุธ เวลา 19.30 - 20.30 น. จะมีการพูดเรื่องระยะยาว ที่ผู้ฟังสามารถนำไปใช้ได้ ผมดีใจที่การใช้สื่อของผมได้ประโยชน์มากขึ้น ยุคนี้ต้องนำเอา Ideas ดี ๆ ไปสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดเวลา
เมื่อพูดถึงผู้นำ ก็นึกถึงช่วงนี้ที่มีการเปรียบเทียบผู้นำการเมือง 2 คนคือคุณทักษิณ ชินวัตร และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากจะเปรียบเทียบภาวะผู้นำของ 2 คน อย่ามองแบบ static นิ่ง ขอให้มองอย่างรอบคอบ เพราะทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผมขอยกตัวอย่าง
เมื่อปี 1967 ในการรบระหว่างยิวกับอียิปต์ ยิวชนะภายในเวลา 5-6 วัน แต่ในวันนี้กว่า 40 ปี ที่ผ่านมา ยิวรบกับกองโจร Hezbollah ทุกคนคิดว่า ยิวต้องชนะอย่างง่ายดายแต่ปรากฏว่า Hezbollah ปัจจุบันปรับยุทธวิธีการรบ สู้กันอย่างสมศักดิ์ศรี อะไรที่เป็นจุดแข็งของการรบของยิว Hezbollah สามารถนำมาปรับปรุงใช้ได้
ปัจจุบันผู้นำการทหารของยิวหรืออิสราเอล ก็ตกใจ ไม่คิดว่าการรบจะยืดเยื้อไปมากมายขนาดนี้
เมื่อกลับมาดูคุณทักษิณ กับคุณอภิสิทธิ์ ในระยะแรก นายกฯทักษิณได้เปรียบ ชนะอยู่หลายช่วงตัว แต่วันนี้ คุณอภิสิทธิ์ปรับปรุงแนวทางของการเป็นผู้นำ จุดแข็งของคุณทักษิณ คุณอภิสิทธิ์ก็นำมาใช้ได้ และหลีกเลี่ยงจุดอ่อนอื่น ๆ เช่น
- คุณธรรม จริยธรรม
- เรื่อง Corruption ก็นำมาชี้ให้เห็น
- สิ่งใดที่เป็นประชานิยมก็จะทำ ทำเพื่อความยั่งยืน เช่น มีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
- เน้นเรื่องการลดค่าครองชีพ ทุนนิยมของทักษิณเป็นแบบเน้นการตลาดเต็มตัว แต่ทุนนิยมของคุณอภิสิทธิ์เป็นทุนนิยมแบบยั่งยืน เน้นกระจายผลประโยชน์ต่อทุกกลุ่ม และยังมองเรื่องการศึกษาด้วย สนใจเรื่องสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้คนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
จีระ หงส์ลดารมภ์
โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
ผมขอเชิญให้ท่านติดตามศึกษาหาความรู้ จากผลงานของ ศ.ดร.จีระ และร่วมกันแสดงความคิดเห็น สะสมสร้างทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางสังคม ใน Blog นี้ ครับ
ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน ยมสวัสดี ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ทักษิณ VS อภิสิทธิ์
อาจาร์ยครับ ผมฟังท่านนายกให้สัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ตอนหนึ่งสรุปเนื้อหาใจความได้ว่า ถ้ามีคนที่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้ดี เขาก็อาจจะเว้นวรรค คำว่า ดีในอดีต ดีในปัจจุบัน ดีในอนาคตจะใช้บรรทัดฐานอะไรมาตรวจสอบละครับ และที่สำคัญใครละที่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า อนาคตจะดีอย่างนั้นหรืออย่างนี้ ความเป็นจริงและกาลเวลาที่ล่วงเลยต่างหาก ที่จะอธิบายให้เห็นได้ชัดเจนว่า สิ่งนั้นถูก สิ่งนี้ผิด และข้อสรุปในปัจจุบัน บางครั้งยังไม่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของอนาคต ความจริงมักไม่มีอะไรถูกทั้งหมดและผิดทั้งหมด ดังนั้น ความสำเร็จของคนๆหนึ่ง ความเก่งความเฉลียวฉลาดของคนอีกคน ย่อมเกิดประโยชน์ เมื่อสิ่งนั้นกระทำเพื่อรับใช้สังคม ผมมีความเข้าใจและเชื่อว่า เมื่อความรู้เรียนรู้ได้ ทักษะของผู้นำก็สามารถสร้างได้ จะเก่งงานแค่ไหน เก่งคนแค่ไหน หรือเก่งคิดเพียงไร สุดท้ายหากท่านทำเพื่อตัวเองแล้ว หรือทำด้วยผลประโยชน์แอบแฝงประชาชนก็จะให้คะแนนท่านเอง กล่าวโดยสรุป ภาวะผู้นำสร้างได้ บนพิ้นฐานความมีจริยธรรม-ศีลธรรมและด้วยความเสียสละ
ร่วมคิดด้วยคน ขอบคุณครับ
สัปดาห์นี้ ผมมี 3 เรื่องมาแบ่งปันให้ได้รู้กัน
เรื่องแรกคือ ได้รับเชิญไปเป็นองค์ปาฐก ( keynote ) ของการประชุมนานาชาติ Science and Technology for Sustainable Development of the Greater Mekong Sub-region ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันอังคารที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมประทับใจการจัดการประชุมครั้งนี้มาก โดยเฉพาะคณบดี ศ.ดร.ละออศรี เสนาะเมือง ที่ทำงานอย่างหนักและได้ผล เพราะมีนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิจัย จากกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงมากันมากมายกว่า 300 คน เช่น ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน นอกจากนี้ ยังมีมาจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษด้วย
ในฐานะที่เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความรู้สึกว่าการประชุมเช่นนี้ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีภาพลักษณ์ที่ดี มีชื่อเสียงและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเรื่อง networking หรือการร่วมพันธมิตรทางวิชาการ การวิจัย การสร้างการทูตภาคประชาชน ( People to People Diplomacy : PPD )
ผมคงเป็นนักวิชาการคนเดียวที่ไม่ได้จบทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ต้องพูดในหัวข้อเรื่องวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ที่เน้นการสร้างทรัพยากรมนุษย์ในส่วนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อไปสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยพูดเรื่อง ทุนแห่งความยั่งยืนในทฤษฎี 8 K's มานาน ความยั่งยืนเป็นทุนเพราะการจะได้ความยั่งยืน ต้องเสียสละเพื่ออนาคต ซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นตัวทำให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง นักการเมืองควรต้องรู้
ในวันนี้ ผมจึงเน้นมากๆ ว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนคืออะไร
ความจริง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ การพัฒนาอย่างยั่งยืนนั่นเอง
ผมจึงนำเอาความคิดของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประยุกต์ เรียกว่า 6 ปัจจัยของความยั่งยืน ( Chira 's 6 factors ) ซึ่งผมจะสรุปว่า
ปัจจัยแรกคือการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องเน้นให้ระยะสั้นสร้างความสมดุลย์ในระยะยาว อย่าให้ระยะสั้นดี แต่ทำลายระยะยาว ผมได้ตัวอย่างมาจากเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในประเทศไทย คือรวยระยะสั้น แต่มีปัญหาระยะยาวมากมายอย่างที่เห็นกัน
ปัจจัยที่สองคือการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติต้องไม่ถูกทำลาย และต้องไปด้วยกันกับ การพัฒนา บางแห่งเรียกว่าเป็น Green development
ปัจจัยที่ 3 คือการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องมีทั้งคุณธรรมและจริยธรรมควบคู่กันกับความเจริญ คือมีศีลธรรม คุณธรรมคู่ไปกับกับพัฒนา
ปัจจัยที่ 4 คือต้องคิดเป็นวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์เป็น หาความรู้อย่างต่อเนื่อง เป็นสังคมการเรียนรู้
ปัจจัยที่ 5 ต้องให้ประชากรส่วนใหญ่ของสังคม ชุมชนหรือประเทศ มีความเจริญเพิ่มขึ้นอย่างกระจาย ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเล็กๆ
และสุดท้ายต้องเป็นการพัฒนาที่พึ่งตัวเอง self - reliance ไม่ใช่รอแบมือให้รัฐบาลมาช่วยอย่างเดียว
ผมคิดว่า การเน้นเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่จะทำได้จริงหรือไม่ มีปัจจัยหลายอย่างที่ไปไม่ถึงเพราะ เหตุผลทางการเมือง ความโลภและความเห็นแก่ตัวของสังคม
อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย เราคิดว่ารัฐบาลจะมีหน้าที่ต้องทำ แต่จริงๆ แล้ว ประชาชน โดยเฉพาะชุมชนของนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถมีส่วนร่วมกับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นได้ เพื่อจะพัฒนาอย่างยั่งยืน
ผมจึงขอเน้นว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะช่วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น
- สาขาแรกคือ ช่วยให้การศึกษาของชุมชนหรือสังคมดีขึ้น ในวันนั้น ผมเน้นเป็นพิเศษคือ การใช้ Internet การใช้ Blog การเรียนแบบทางไกลหรือ E-Learning
- สาขาที่สองคือ การใช้เทคโนโลยี มาช่วยในการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันการแพทย์มีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อย การแพทย์ จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสังคม ไม่ใช่เฉพาะเรื่องรักษา แต่เป็นเรื่องการป้องกันด้วย ผมจึงเสนอเรื่อง Tele - Medicine ไปด้วย
- อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ การพัฒนาชนบท และการพัฒนาศักยภาพของภาคเกษตรของประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงที่ยังล้าหลังอีกมาก
- ต่อมาจะช่วยเรื่องการลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มศาสนาต่างๆ ในสังคม เพื่อสร้างสันติภาพ รวมทั้งการลดการก่อการร้ายข้ามชาติ
- การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน Global warming หรือภัยธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งมีมากขึ้นทุกวัน และกระทบต่อประชาชนมาก
- การแสวงหาพลังงานทดแทนน้ำมัน
- และสร้างความสามารถในการแข่งขัน competitiveness แบบยั่งยืน ในสังคมในภูมิภาคนี้มากขึ้น แทนที่จะเน้นเฉพาะสินค้าส่งออกแรงงานราคาถูกเท่านั้น ให้มีการใช้ความรู้และวิทยาศาสตร์สำหรับการพัฒนาสินค้ามากขึ้น
ถ้าจะพัฒนาเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ผมขอให้นักวิทยาศาสตร์มองอะไรที่กว้าง เชื่อมโยงกับการพัฒนา ไม่ใช่สนใจแต่เรื่องวิจัยเฉพาะทางที่ตัวเองถนัด ต้องมี networking มากขึ้น รับฟังและเรียนรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ มากขึ้น
เรื่องที่สอง ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน เป็นต้นไป เราจะจัดรายการโทรทัศน์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงกับโลกาภิวัตน์ ทางช่อง 11 เวลาประมาณ 10.30 น. วันละ 5 นาที เป็นความร่วมมือกันของมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ และ Chira Academy ธนาคารกรุงไทยมี ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา และ ดร.ปรียานุช พิบูลสราวุธ มาร่วมผนึกกำลังกัน น่าติดตามว่ามีอะไรน่าสนใจในประเด็น
- คนไทยสับสนเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ยังรู้ไม่จริง
- สับสนเรื่องโลกาภิวัตน์ ว่าคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร
- และนึกว่าเศรษฐกิจพอเพียง จะแก้ปัญหาเฉพาะภาคคนจน
ซึ่งแท้จริงแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา ซึ่งผู้ส่งออก นักลงทุน นักการเงิน นักวิทยาศาสตร์ นำไปใช้ได้ เพื่ออยู่ในโลกาภิวัตน์แบบยั่งยืน ซึ่งรายการโทรทัศน์นี้จะเชื่อมโยงให้ได้อย่างดี ผมอยากให้ผู้อ่านได้ติดตามชม
และสุดท้าย เมื่อวันพุธที่ 16 สิงหาคม มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศได้จัด Learning forum เรื่อง Lesson study in Mathematics เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเชื่อมโยงกับ APEC ที่ผมเคยเขียนถึงว่า คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ขอเงินสนับสนุนโครงการเรื่อง Lesson study โดยร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ศึกษา และเผยแพร่ในประเทศไทย เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งที่ไทยได้รับจาก APEC
ครั้งนี้มี ดร.ไมตรี อินทรประสิทธิ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาบรรยายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับครูกว่า 20 คน โดยดร.ไมตรี ต้องการสร้างเด็กให้คิดเป็น ไม่ปิดกั้นการคิดของเด็ก โดยให้เด็กได้คิดอย่างเสรี คิดนอกกรอบ คือการสอนแบบ Lesson study ซึ่งได้พัฒนาในประเทศญี่ปุ่นมากว่า 100 ปี การสอนแบบนี้ต้องมีการสังเกตว่าเด็กคิดอย่างไร ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ มีการสร้างคำถามลักษณะปลายเปิด ที่เด็กสามารถคิดหาคำตอบที่หลากหลาย จะมีการถกเถียงกัน ซึ่งจะนำไปสู่การบูรณาการที่ดี และมีการสังเกตการสอนของครู ครูจะต้องอภิปรายถกเถียงกันหลังจากเสร็จสิ้นการสอน คล้ายเป็นการวิจัยชั้นเรียน นับเป็นการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง
แต่วิธีการนี้อาจจะขัดกับวัฒนธรรมของไทย เพราะการศึกษาของไทยตั้งแต่อดีตมักจะกำหนดการคิดให้เด็ก ไม่ค่อยรับฟังความคิดของเด็ก และไม่ยอมให้ใครมาวิจารณ์การสอนของตนเอง การศึกษาไทยจึงล้มเหลว แต่มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศจะทำงานต่อเนื่องต่อไปในด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทย และสิ่งสำคัญที่ได้รับนอกเหนือจากความรู้แล้วคือ networking ซึ่งครูทุกคนที่ได้มาร่วมกันในวันนั้น คงจะได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนาแผนการสอนเพื่อพัฒนาเด็กไทยต่อไปในอนาคต
หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้แนวทางจากกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ยุคนี้ สื่อดีๆ ต้องสร้างความรู้ใหม่ให้ผู้อ่าน และนำไปต่อยอด
จีระ หงส์ลดารมภ์
โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
ขอต้อนรับ : พลเอกสุรยุทธ์[1]
ท่านที่ติดตามบทความของผมมาตลอด 7-8 ปี คงจะเห็นแล้วว่าแต่ละสัปดาห์ มีอะไรเกิดขึ้น และตัวเราวิเคราะห์ให้เป็น เราจะเป็นสังคมการเรียนรู้อย่างแท้จริง กระหายความรู้ นำเอาความรู้ไปใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
สิ่งแรกที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24
หลายฝ่ายอาจจะไม่เข้าใจประวัติความเป็นมาของท่าน ผมขอเรียนว่า ท่านเป็นทหารมืออาชีพ และเป็นทหารประชาธิปไตย ซี่งดีกว่านักประชาธิปไตยแต่ในรูปแบบ วันนี้ประเทศไทยทำงานแบบ Back to basics ที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือ ความถูกต้องและความพอดี หรือหากจะเรียกว่าเป็นความพอเพียงทางการเมือง สังคมและวิถีชีวิตคนไทยคือเดินสายกลาง ไม่หลุดโลกไปทางใดทางหนึ่ง
มี 2 ประเด็นที่น่าจะเขียนถึงท่านนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 คือ
ท่านเป็นคนสมถะ ประหยัดและดำรงชีวิตแบบพอเพียงมาตลอด อุปนิสัยจะช่วยให้บทบาทของท่านนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นตัวอย่างที่ดี " Role Model " ของคนไทยคือ หลังจากรับตำแหน่ง ท่านได้ไปกราบสมเด็จพระสังฆราช และไปพบผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพนับถือ คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
หนังสือพิมพ์ The Nation เขียนว่า ช่วงที่นายกฯทักษิณชนะการเลือกตั้ง ท่านไป ช็อปปิ้งที่ เอ็มโพเรียม และดื่มกาแฟที่ Starbucks เป็นการเปรียบเทียบวิถีชีวิตของท่านทั้งสองได้ดี
อีกเรื่องหนึ่ง ภาพของนายกฯ สุรยุทธ์ จะนำไปสู่ภาพของความพอเพียง และเป็นภาพที่สร้างความจริงของสังคมไทย คือจะเจริญทางด้านวัตถุไม่พอ ต้องมี
Heritage รากเหง้า
Head คิดเป็น
Heart มีคุณธรรม
Happiness มีความสุข ความสมดุลในชีวิต
ในช่วง 1 ปีนี้ที่สำคัญคือ รูปแบบผู้นำของท่าน จะทำให้นิสัยของคนไทย ที่ฟุ้งเฟ้อ ลดน้อยลง สิ่งไม่ดีต่างๆ เช่น ความอยากได้ทุกอย่างเร็วๆ นิยมตะวันตก นิยมวัตถุ การไม่เคารพรากเหง้าหรือประวัติศาสตร์ของตัวเอง มองมนุษย์โดยไม่เน้นการเคารพ ( Respect ) และความมีศักดิ์ศรี ( Dignity ) อาจจะดีขึ้นบ้าง โดยเฉพาะหากท่านนายกฯ คนใหม่เน้นเรื่องสังคมเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นวิถีชีวิตของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรมและมองสังคมแบบยั่งยืนเป็นหลัก
ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะยุคคุณทักษิณ ไม่ใช่แค่ระบอบทักษิณ แต่เป็นวัฒนธรรมการคิดแบบคุณทักษิณที่เน้นเงินและอำนาจ แบบทุนนิยมที่ไร้ขอบเขต ไร้จิตวิญญาณเป็นหลัก ซึ่งในที่สุดแล้ว ไม่เหมาะกับสังคมไทยในระยะยาว จึงต้อง back to basics หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารผ่านไป 2 สัปดาห์กว่า สิ่งหนึ่งที่ผมได้เขียนไปแล้วช่วงแรกคือ การสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลก เพราะโลกาภิวัตน์ มีหลายเรื่องที่กระทบเรา เช่น
- Information Technology เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ เช่น Nanotechnology , Biotechnology
- เรื่องการค้าเสรี , WTO , FTA
- เรื่องการเงินเสรี อัตราแลกเปลี่ยน
- บทบาทของจีน อินเดีย และลาตินอเมริกา
- เรื่องอิทธิพลของประชาธิปไตย และ human right
- เรื่อง Global warming , ภัยธรรมชาติ
- เรื่องสงคราม และการก่อการร้าย
- เรื่องน้ำมันหมดโลก และพลังงานทดแทน
- เรื่อง Bird Flu หรือไข้หวัดนก
เรื่องใหญ่คือ เรื่องมาตรฐานประชาธิปไตยกับสิทธิมนุษยชนของตะวันตก
จริงอยู่ การศึกษากำหนดมาตรฐานต่างๆ ต้องเน้นทฤษฎี 2 R's ของผมซี่งเน้นว่า จะวิเคราะห์อะไรต้องประกอบด้วย :
Reality ความจริง
Relevance ตรงประเด็น
ประชาธิปไตยภายใต้ระบอบทักษิณเป็นเรื่องไม่ปกติ หากปกติคงจะไม่มีการขัดแย้ง ไม่มีคดียุบพรรค ไม่มีคดีฉ้อราษฎร์บังหลวง ความแตกแยกในสังคมไทย ขาดคุณธรรม จริยธรรม
ดังนั้น คนไทยจะต้องอธิบายว่า ปฏิวัติเกิดขึ้นเพราะอะไร ความจริงคืออะไร และแสดงให้เห็นว่า มาแก้ไขเพื่อไปประชาธิปไตยที่ดีในอนาคต ไม่ใช่เห็นรถถังก็กลัว คล้ายว่าถอยหลัง 1 ก้าว เพื่อไปข้างหน้า 2 ก้าวอย่างมั่นคงและยั่งยืน
การอธิบายต่อสังคมโลกเป็นสิ่งสำคัญ อย่าให้มาตรฐานของตะวันตกเป็นมาตรฐานโลกมากำหนดตัวเราเท่านั้น สหรัฐอเมริกายังไม่เห็นพูดถึงประชาธิปไตยในปากีสถาน บางครั้งอเมริกาก็มี Double Standard ด้วย จึงขอเรียนว่า อย่าตกใจไปกับข่าวทางลบของต่างประเทศมากเกินไป ผมคิดว่าอธิบายได้ ผมเป็นคนหนึ่งที่อธิบายให้เพื่อนต่างประเทศทุกวัน
หวังว่าข่าวรัฐประหารจะค่อยๆ จางไป แต่จะขอฝากท่านนายกฯ คนใหม่คือ เรื่องปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปให้คนไทยคิดเป็น เป็นสังคมการเรียนรู้ อยากรู้ อยากมีทุนทางปัญญา ไม่ใช่เห็นแก่ใบปริญญาเท่านั้น โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ ประชากรส่วนมาก รอให้รัฐบาลช่วยเหลือ จะทำอย่างไรให้เขาพึ่งตัวเองได้มากขึ้น เพราะงานของรัฐบาลชั่วคราวที่สำคัญ ต้องปรับอุปนิสัยแบมือขอ ที่รัฐบาลไทยรักไทยทำอย่างต่อเนื่องมา 6 ปีเต็ม อบต.หรือองค์กรปกครองท้องถิ่นต่างๆ จะมองการสร้างภูมิคุ้มกันให้ชาวชนบทอย่างไร การจะให้อะไรแบบประชานิยม ก็ต้องแน่ใจว่าระยะยาวอยู่รอดและเข้มแข็งขึ้น
หนังสือพิมพ์ Herald Tribune เขียนว่าการทำให้ชาวบ้านพอใจนั้น พรรคไทยรักไทยเก่งมาก เขาเน้นการตลาด การคิดนอกกรอบ การมีนวัตกรรมทางนโยบาย การใช้พลังทุกอย่าง ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่จะต้องมีความเข้าใจ และปรับนโยบายระยะยาว ต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ด้วย
ขอจบด้วยการเล่าถึงโครงการต่อเนื่องที่ผมทำอยู่ 2 โครงการคือ
โครงการ Learning Forum ที่ Ho Chi Minh ที่ได้จัดไปเมื่อวันศุกร์ที่ 29 กันยายน ซึ่งได้เห็นว่า เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีคุณค่าต่อผู้นำทางภาคเกษตรของเวียดนามมาก เขาศึกษาอย่างละเอียด และมีบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนความคิดที่น่าสนใจ ยิ่งกว่านั้น เวียดนามจะขอมาดูงานที่ประเทศไทยด้วย ต้องถือโอกาสขอบคุณท่านกงสุลใหญ่ คุณสมปอง สงวนบรรพ์ และเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุล คุณปาริฉัตร ลื้อไพบูลย์พันธ์ คุณพิมพ์พิรี ไพรามาน การทูตภาคประชาชนต้องมีรัฐบาลมาเป็นแนวร่วมด้วย
กงสุลใหญ่ ท่านเป็นคนใฝ่รู้ ให้ความสำคัญกับกิจกรรมของมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศมาก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานกงสุลมานั่งฟังตลอด ได้เห็นวิธีการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม
ผมได้กลับไปที่โรงเรียนบ้านแพง จังหวัดมหาสารคาม เป็นครั้งที่ 3 ในช่วง 3 ปี กลับไปสร้างสังคมการเรียนรู้กับเด็กนักเรียนกว่า 400 คน ผอ.วาสนา เลื่อมเงิน เป็นลูกศิษย์ผม และเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนที่ทำงานนอกกรอบ สนใจการสร้างแนวร่วม Network ลูกศิษย์ก็กระตือรือร้น เช่น กลุ่มมัธยมศึกษา บอกว่า จะให้ผมและมูลนิธิฯ ช่วยสนับสนุนให้มาดูอุทยานวิทยาศาสตร์ในจังหวัดปทุมธานี การศึกษาในอนาคตไม่สามารถจะใช้แบบการบริหารในกล่อง รอให้รัฐบาลมาช่วย ต้องกระโดดออกนอกกล่อง พึ่งตัวเอง และให้นักเรียนเป็นผู้ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ผู้อำนวยการโรงเรียนวิ่งหาตำแหน่ง เพื่อจะได้ C8 ตลอดเวลา
จีระ หงส์ลดารมภ์
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระและท่านผู้อ่านทุกท่าน
เช้านี้ วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ผมหาความรู้ ทาง internet และค้นหาอ่านบทความ “บทเรียนจากความจริง กับ ศ.ดร.จีระ” ซึ่งสัปดาห์นี้อาจารย์ใช้ชื่อเรื่องว่า ขอต้อนรับ : พลเอกสุรยุทธ์[1]ในบทความนี้ ศ.ดร. จีระ เขียน ถึงนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ และท่านได้เล่าเรื่องสำคัญที่ท่านได้ทำประโยชน์แก่สังคมไว้อย่างน่าสนใจเช่นกัน ผมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยใช้ข้อความข้างล่างนี้ แถบสีน้ำเงินคือข้อความที่ผมคัดลอกมาบางส่วนจากบทความที่อาจารย์เขียน ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม ซึ่งมีดังนี้ ครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เขียนไปแล้วช่วงแรกคือ การสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลก เพราะโลกาภิวัตน์ มีหลายเรื่องที่กระทบเรา เช่น
- Information Technology เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ เช่น Nanotechnology , Biotechnology
- เรื่องการค้าเสรี , WTO , FTA
- เรื่องการเงินเสรี อัตราแลกเปลี่ยน
- บทบาทของจีน อินเดีย และลาตินอเมริกา
- เรื่องอิทธิพลของประชาธิปไตย และ human right
- เรื่อง Global warming , ภัยธรรมชาติ
- เรื่องสงคราม และการก่อการร้าย
- เรื่องน้ำมันหมดโลก และพลังงานทดแทน
- เรื่อง Bird Flu หรือไข้หวัดนก
เรื่องใหญ่คือ เรื่องมาตรฐานประชาธิปไตยกับสิทธิมนุษยชนของตะวันตก
จุดเด่นของพรรคไทยรักไทย คือทำให้ชาวบ้านพอใจโดยใช้ระบอบประชานิยม ในการบริหารนโยบายสาธารณะ มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี ดีคือสามารถสนองความต้องการของลูกค้า(ประชาชนได้) รัฐฯควรมองประชาชนเป็นลูกค้า และสนองความต้องการของลูกค้าได้ One stop service ในหน่วยงานราชการหลายแห่ง เกิดขึ้นในยุครัฐบาลของท่านทักษิณ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี รัฐบาลอิเล็คโทรนิค ก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตามจุดอ่อนคือขาดการวิเคราะห์ผลกระทบระยะยาวในนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมือง ยังขาดหลักการแห่งความยั่งยืน รัฐบาลยุคท่านทักษิณ เป็นครูที่ดี แก่ผู้นำและสัจจะธรรมชีวิต ทุกอย่างในโลกล้วนมีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ เมื่อมีมา ย่อม มีไป เมื่อมีเกิด ย่อมมีแก่ มีเจ็บและตาย
ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน
ยม
นักศึกษา ปริญญาเอก
รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
เรื่องแรกคือ ได้รับเชิญไปเป็นองค์ปาฐก ( keynote ) ของการประชุมนานาชาติ Science and Technology for Sustainable Development of the Greater Mekong Sub-region
เรื่องที่สอง ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน เป็นต้นไป เราจะจัดรายการโทรทัศน์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงกับโลกาภิวัตน์ ทางช่อง 11 เวลาประมาณ 10.30 น. วันละ 5 นาที สุดท้ายวันพุธที่ 16 สิงหาคม มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศได้จัด Learning forum เรื่อง Lesson study in Mathematics เป็นครั้งที่ 2”
ประการแรก คือเรื่องการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แบบข้ามศาสตร์ อาจารย์ทำงานที่เป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวมประเทศชาติ มากกว่าเพื่อส่วนตน ตรงนี้น่ายกย่องสรรเสริญ และควรยึดถือเป็นตัวอย่างที่ดี
ปัจจัยแรกคือการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องเน้นให้ระยะสั้นสร้างความสมดุลย์ในระยะยาว
ปัจจัยที่สองคือการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติต้องไม่ถูกทำลาย
ปัจจัยที่ 3 คือการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องมีทั้งคุณธรรมและจริยธรรมควบคู่กัน
ปัจจัยที่ 4 คือต้องคิดเป็นวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์เป็น หาความรู้อย่างต่อเนื่อง เป็นสังคมการเรียนรู้
ปัจจัยที่ 5 ต้องให้ประชากรส่วนใหญ่ของสังคม ชุมชนหรือประเทศ มีความเจริญเพิ่มขึ้นอย่างกระจาย
สุดท้าย ต้องเป็นการพัฒนาที่พึ่งตัวเอง self - reliance ไม่ใช่รอแบมือให้รัฐบาลมาช่วยอย่างเดียว”
ตรงนี้ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ศ.ดร.จีระ ท่านสรุปไว้ได้ดี ทำให้เข้าใจถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้มากขึ้น เข้าใจถึงหลักแห่งความยั่งยืนมากขึ้น
ปัจจัยแรก การพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มที่การทำโครงการระยะสั้นให้ดี ทำอะไรอย่างคิดสั้นอย่างเดียว ต้องคิดให้ยาวด้วยว่าจะมีผลกระทบหรือไม่
การจะทำอะไรให้ยั่งยืน ถ้าทำให้เกิดความเจริญเฉพาะกลุ่ม ไม่กระจายออกไปอย่างทั่วถึง ปัญหาความขัดแย้งแก่งแย่งชิงดีกันจะตามมา
คนไทยสับสนเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ยังรู้ไม่จริง
สับสนเรื่องโลกาภิวัตน์ ว่าคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรและนึกว่าเศรษฐกิจพอเพียง จะแก้ปัญหาเฉพาะภาคคนจน”
รายการโทรทัศน์ ที่ท่าน ศ.ดร.จีระจัดเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงกับโลกาภิวัตน์ เดิมทราบว่าจะออกรายการทางช่อง 5 ต่อมาทราบภายหลังว่าจะออกทางช่อง 11 รายการนี้ ผมคิดว่าสำคัญและจะเกิดประโยชน์ ทางกระทรวงศึกษาธิการน่าจะร่วมด้วย เพื่อจัดทำรายการนี้เป็นวีดีโอทัศน์ ประกอบการพัฒนาองค์ความรู้ให้ครู เพื่อให้ครูใช้สอนนักเรียน ต่อไป รัฐบาลต้องเร่งพัฒนาครูให้มีความรู้เรื่องนี้ให้มาก ก่อนจะสายเกินไป ผมเคยได้ยินครูสอนนักเรียนเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครูตั้งใจดีมาก แต่สอนเรื่องการจัดสรรที่นา ที่เลี้ยงปลา ที่เพาะปลูก ไม่ได้สอนแก่นแท้ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้สอนเรื่องโลกาภิวัตน์ว่าคืออะไรและมีผลกระทบอย่างไร และในฐานะคนไทยควรต้องทำอย่างไร
“ดร.ไมตรี อินทรประสิทธิ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาบรรยายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับครูกว่า 20 คน โดยดร.ไมตรี ต้องการสร้างเด็กให้คิดเป็น ไม่ปิดกั้นการคิดของเด็ก โดยให้เด็กได้คิดอย่างเสรี คิดนอกกรอบ คือการสอนแบบ Lesson study ซึ่งได้พัฒนาในประเทศญี่ปุ่นมากว่า 100 ปี
วิธีการนี้อาจจะขัดกับวัฒนธรรมของไทย เพราะการศึกษาของไทยตั้งแต่อดีตมักจะกำหนดการคิดให้เด็ก ไม่ค่อยรับฟังความคิดของเด็ก และไม่ยอมให้ใครมาวิจารณ์การสอนของตนเอง การศึกษาไทยจึงล้มเหลว แต่มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศจะทำงานต่อเนื่องต่อไปในด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทย”
ท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาน่าจะอ่านตรงนี้ และเชิญ ศ.ดร.จีระ ไปเป็นที่ปรึกษากระทรวงศึกษาธิการ เชิญ ดร.ไมตรี เข้าไปร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาด้วย เพื่อรีบปฏิรูปการทำงานของครู รูปแบบการสอนของครูที่เป็นแบบดั้งเดิมถือเป็นโรคร้ายอย่างหนึ่งทางการพัฒนาเด็กไทย
ผลการวิจัยที่อินเดีย ซึ่งทาง BOI ได้จ้างนักวิชาการที่อินเดียวิจัยค้นหาอุปสรรคในการพัฒนาของไทย พบว่า ครูของไทยยังด้อยประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องภาษา และหลักการสอน ข้อเสนอแนะก็คือควรมีแผนระยะสั้นและระยะยาวในการพัฒนาครูอย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริมให้เกิดรูปแบบการสอนที่ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ผมเห็นด้วยกับ ดร.ไมตรี ครับ รัฐบาลควรเข้ามาช่วยส่งเสริมแนวคิดนี้ให้เป็นจริง โดยมีตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ครับ
ศ.ดร.จีระ ยังมีรายการโทรทัศน์ ”สู่ศตวรรษใหม่” ทาง ช่อง 11 ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 14.00-15.00 น. และออกอากาศอีกทีทาง UBC 7 ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเวลา 14.00-15.00 น. และรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระ ทาง UBC 7 อาทิตย์ที่ 1,3 และ 5 ของเดือนเวลา 13.00-13.50 น. นอกจากนั้นยังมีรายการวิทยุ knowledge for people วันพุธ เวลา 19.30 - 20.30 น. ทางสถานีวิทยุ อสมท. F.M. 96.5 MHz Hz คอลัมน์ “บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระ” ของหนังสือพิมพ์แนวหน้าทุกวันเสาร์หน้า 5 หรือทาง http://www.chiraacademy.com/ เชิญท่านติดตามศึกษาหาความรู้ จากผลงานของ ศ.ดร.จีระ และร่วมกันแสดงความคิดเห็น สะสมสร้างทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางสังคม ใน Blog นี้ ครับ
ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน