KM (Knowledge Management-KM) หรือ การจัดการองค์ความรู้ ซึ่งมีในสองลักษณะใหญ่ๆ ก็คือการจัดการองค์ความรู้ในตัวเองและการจัดการองค์ความรู้ในองค์กร ที่จะนำเสนอ
ความรู้อาจแบ่งใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
๑. ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปตำรา หรือเอกสารทางวิชาการต่างๆ ที่คนเราได้สั่งสมออกมาในรูปของงานเขียน
๒. ความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์การเรียนรู้ เป็นลักษณะที่เป็นภูมิปัญญาภายในตัวบุคคลผู้นั้นๆ
เมื่อเราทราบถึงลักษณะที่เป็น KM แล้วเรามาดูว่าเราจะนำเอาหลักธรรมะทางพระพุทธศาสนามาสู่การจัดการองค์ความรู้ได้อย่างไร เบื้องต้นเรามาทำความรู้จักกับโพชฌงค์ก่อน ซึ่งเป็นการเข้าถึงองค์ความรู้ภายใน
โพชฌงค์ มีองค์ประกอบทั้งหมด 7 ข้อด้วยกัน คือ
๑. สติ หมายถึงความระลึกถึงได้
๒. ธัมมวิจย หมายถึงการวิเคราะห์ วิจัยธรรมะ
๓. วิริย หมายถึงความเพียรพยายาม
๔. ปิติ หมายถึงความอิ่มใจ
๕. ปัสสัทธิ หมายถึงความสงบกายสงบใจ
๖. สมาธิ หมายถึงความตั้งใจมั่น
๗. อุเบกขา หมายถึงความวางเฉยในอารมณ์
การนำหลักการทางโพชฌงค์มาใช้นั้นก็เริ่มตั้งแต่ สติจดจ่อกับการเรียนรู้อันใดอันหนึ่งและเพียรพยายามมุ่งมั่นที่จะศึกษาอย่างมีสมาธิและสงบระงับกายใจมุ่งต่อสิ่งนั้นจนจะได้เรียนรู้อย่างหมดความสงสัยในความรู้นั้นๆ ก็จะสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาแขนงนั้นได้
สวัสดีจ๊ะน้องแก่งคอย
หวังว่าเราทุกคนคงจะได้นำหลักโพชฌงค์มาใช้ในการเรียนและการทำงานเพื่อให้รอบรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะจ๊ะ