ตามประวัติกล่าวว่าวัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง เมื่อปีพุทธศักราช 1930 ซึ่งภายในวัดจะประกอบไปด้วย
พระอุโบสถ ยาว 40 เมตร กว้าง 11 เมตร มี 3 ตอน มี 2 ประตู ที่ซุ้มประตูมีลวดลายบนเสาเป็นลายเฟืองไทย ภายในมีพระพุทธรูปศิลาทราย ปางสมาธิ ศิลปะสมัยอยุธยา
วิหาร มี 2 หลัง หลังแรกมีขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 11.75 เมตร สูง 3 เมตร มี 1 ประตู หลังที่ 2 มีขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 14.8 เมตร
เจดีย์ราย มี 7 องค์ เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ
หอระฆัง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ก่ออิฐถือปูนกว้างด้านละ 4 เมตร ปัจจุบันชำรุดเหลือแต่รากฐาน
เจดีย์ใหญ่ ก่ออิฐถือปูนแบบไทย สูง 80 เมตร ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ 4 ชั้น เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานแต่ละชั้นที่ต่อจากชั้นที่ 1 มีผนังย่อเหลี่ยม มีฐานบัวคว่ำสลับฐานหน้ากระดานเป็นชั้นขึ้นไป ตรงกลางฐานทักษิณชั้นที่ 4 เป็นอุโมงค์รูปโค้งเข้าไปในเจดีย์ มีพระพุทธรูปอยู่ 1 องค์ ตัวระฆังย่อมุมไม้สิบสองไปจนถึงบันลังก์มีปล้องไฉน ปลียอด และลูกแก้ว ที่ปลายลูกแก้วประดับด้วยทองคำ สองหมื่นห้าพันกรัม
ซึ่งเจดีย์องค์นี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยพระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่าเพื่อประกาศชัยชนะเหนือกรุงศรีอยุธยา แต่ทำได้เพียงรากฐานแล้วยกทัพกลับ ต่อ มาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้เอกราชคืนได้สำเร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2127 จึงโปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์แบบไทยไว้เหนือฐานแบบมอญและพม่า เจดีย์องค์นี้จึงมีลักษณะสถาปัตยกรรมสองแบบผสมกัน ต่อมาส่วนยอดเดิมได้หักพังลงมาสมเด็จพระเจ้าบรมโกศโปรดเกล้าฯให้ซ่อมแซมขึ้น ใหม่ ซึ่งปัจจุบันกรมศิลปากรได้บูรณะใหม่โดยทาสีขาวทั้งองค์ และได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้าบริเวณด้านหน้าวัดภูเขาทอง
อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรค่ะ
มาดูเรื่องราวเกี่ยวกับปริศนามหาปิรามิดยอดชฎาฐานรามัญ ในเชิงประวัติศาสตร์การค้นพบใหม่ๆกันบ้างนะค่ะ เพื่อประดับความรู้อีกแบบ โดยได้คัดลอกบทความมาจาก blogoknation ค่ะ เห็นว่ามีประโยชน์และเกี่ยวกับวัดภูเขาทองลองติดตามอ่านนะคะ
มหาวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เป็นเรื่องราวหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ที่คนไทยแทบทุกคนรับรู้และจดจำมานานกว่า 150 ปี
ถ่ายทอดจากคนรุ่นสู่รุ่นผ่านการสื่อสารเจ้านาย
(ยังไม่มีสื่อสารมวลชน)ในสมัยก่อน
ทั้งที่เป็นเรื่องราวของพระราชพงศาวดาร
เรื่องราวในภาพเขียนโคลงภาพพระราชพงศาวดาร ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง
ในหนังสือศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ ในหนังสือเรียนชั้นประถมมัธยม
จนเมื่อสื่อสารมวลชนเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
มหาวีรกรรมแห่งชัยชนะยิ่งถูกผลิตซ้ำ (Reproductions) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในรูปแบบของภาพยนตร์ ละเม็งละคอน หนังสือการ์ตูน
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
จนปัจจุบันกลายมาเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างมหาศาล
แต่สุดท้าย เนื้อหาของเรื่อง ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
ตามพระราชพงศาดารที่เขียนขึ้นโดยเจ้านาย"ฝ่ายไทย"
ปริศนาสงครามคราวศึกยุทธหัตถี
ได้นำไปสู่ข้อถกเถียงของผู้รู้ ปราชญ์ท้องถิ่น
และผู้ศึกษาในแต่ละมุมมอง
ส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อถือตามกรมพระยาดำรงราชนุภาพ"พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย"
จากจดหมายพระยาอี๋ กรรณสูต ความว่า"พบเจดีย์ร้างที่หนองสาหร่าย
ตามที่พระองค์วินิจฉัยไว้แล้ว...ว่าอยู่ที่สุพรรณบุรี
ชาวบ้านบอกว่าเป็นที่พระนารายณ์ชนช้างกับพระนเรศวร"
ตอกย้ำความเชื่อด้วยการสร้างอนุสรณ์สถานโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ดอนเจดีย์หรือเจดีย์ยุทธหัตถี
จึงอยู่ที่สุพรรณบุรีในทันที
ในขณะที่การขุดแต่งองค์พระเจดีย์โดยกรมศิลปากร
ก็พบร่องรอยของปูนปั้นประดับศิลปะร่วมสมัยในยุคอยุธยาตอนกลาง
เป็นข้อสรุปสำคัญว่าเจดีย์ร้างกลางป่าองค์นี้
ในอดีตคือเจดีย์ที่สร้างขึ้นตามพระราชพงศาวดารนั่นเอง
ร่องรอยของพงศาวดารฝ่ายพม่าบางเล่ม
ได้นำให้ปราชญ์ท้องถิ่นกาญจนบุรี...ไม่เชื่อเช่นนั้น
สมมุติฐานที่ขัดแย้งเกิดขึ้นจากเนื้อความว่า
"เจดีย์ที่สร้างขึ้นสวมทับพระศพของพระมหาอุปราชามีขนาดเล็ก
และสมรภูมิอยู่ในเส้นทางเดินทัพ"
อำเภอพนมทวนจึงกลายเป็นอีกปริศนาของพระเจดีย์อีกองค์หนึ่งที่เชื่อว่า
เป็นเจดีย์อนุสรณ์ในมหาวีรกรรมในครั้งนั้น
ถึงแม้ว่าจะมีการพิสูจน์โดยกรมศิลปากรแล้วว่า
เจดีย์ที่พนมทวน เป็นอุเทสิกเจดีย์ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา
แต่ชาวกาญจนบุรีก็ยังคงเชื่อมั่นในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของเขา
เพราะเส้นทางเดินทัพโบราณ จากด่านพระเจดีย์สามองค์ ผ่านแม่น้ำแคว
มาขึ้นที่กาญจนบุรี ต้องผ่านพนมทวน ล่องตามแม่น้ำจระเข้สามพัน
ผ่านอู่ทอง เขาพระยาแมน ตัดเข้าสวนแตง บึงไผ่แขก
จนถึงเมืองสุพรรณบุรีตามลำน้ำ
เรื่องที่จะเดินทัพบกจำนวนมาก....อ้อมขึ้นไปถึงดอนระฆัง ดอนเจดีย์
เป็นเส้นทางสงครามที่ไม่อาจสามารถอธิบายได้ชัดเจนนัก
ประกอบกับบริเวณรอบพื้นที่พนมทวนก็มีการขุดพบกระดูกช้าง ม้า
และศรัตราวุธนานาชนิดเป็นจำนวนมาก ชาวพนมทวนในทุกวันนี้
ยังคงเชื่อมั่นว่า มหาวีรกรรมครั้งศึกยุทธหัตถี
เกิดขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน
ปริศนาของเรื่องราวแห่งมหาวีรกรรมในสงครามยุทธหัตถี
ยังคงดำมืดมากขึ้น
เมื่อมีการใช้บันทึกของชาวต่างประเทศมาอ้างอิงมากขึ้น
บันทึกของพม่าระบุว่า เป็นสงครามปรากบฏไม่ใหญ่โตนัก
ไม่มีการชนช้างแต่พระมหาอุปราชาต้องปืน(ลึกลับ)สิ้นพระชนม์
สอดรับของบันทึกของตะวันตก ที่บ้างก็ว่า ต้องปืน
ถูกขอบังคับช้างโน้มคอลงมาสับ และใช้ทวนสู้กัน
หลายเหตุของการสัประยุทธ์ แต่กลับไม่มีเอกสารต่างประเทศเล่มใด
ระบุว่ามหาวีรกรรมเกิดขึ้นที่สุพรรณบุรีเลย
แต่มีเนื้อหาของบันทึกชาวต่างประเทศโดยเฉพาะของเยเรเมียส ฟานฟรีส และ
หมอแกมเฟอร์
ที่ระบุสถานที่ทำสงครามในมหาวีรกรรมครั้งนี้อย่างชัดเจน
ปริศนาของเจดีย์ยุทธหัตถี
ถูกกล่าวถึงโดยนักวิชาการในยุคหลังอย่างกว้างขวาง
ถึงความมีตัวตนที่แท้จริง การค้นพบที่เป็นปริศนา
คติการสร้างเจดีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์สงครามมีจริงหรือ?
การสร้างพระสถูปเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
และความคลุมเครือมากมายของเจดีย์ยุทธหัตถี จึงนำไปสู่แนวคิดทางวิชาการ
เจดีย์ยุทธหัตถีไม่เคยเกิดขึ้น หรือ
ไม่เคยมีเจดีย์ยุทธหัตถีเลย
ซึ่งก็เป็นเรื่องราวทางวิชาการ วิชาเกิน
จึงไม่ควรถูกนำมาใช้อธิบายเรื่องราวที่ยังเป็นปริศนาจากอดีตในสังคมส่วนใหญ่
ส่วนในท้องถิ่นก็ยังคงความเชื่อมั่นในประวัติศาสตร์ของตน
มีความสุขกับการรำลึกถึงมหาวีรกรรม และความเชื่อ
ความศรัทธาเดิมก็ยังคงเป็นสิ่งหล่อหลอมให้เกิความรักชาติบ้านเมืองและหวงแหน
ในแผ่นดิน ..... อรรถประโยชน์คนละด้าน
.....เลือกใช้และเลือกเชื่อ ไม่ขัดแย้งกัน
บันทึกของวันวลิตหรือฟานฟรีส (
เข้ามาในสมัยของพระเจ้าปราสาททอง) อธิบายเรื่องราวของสงคราม "ปลดแอก"
ของเจ้าชายชาวสยามว่า....."เกิดขึ้นที่วัดร้างแห่งหนึ่งชื่อ"หนองสาหร่าย"
หรือ "แครง"นอกกำแพงเมืองของอยุธยาไปประมาณ 2.5
กิโลเมตรและชาวสยามประสบชัยชนะเหนือกองทัพพะโค "
ในขณะที่พงศาวดารพม่าฉบับอูกาลา กล่าวว่า
"สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นใกล้พระนคร
และพระนเรศใช้พระนครตั้งรับศึก"
หมอแกมเฟอร์ เข้ามาตามเส้นทางการค้าของ VOC
ในสมัยของพระเพทราชา
เขาเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นชาวต่างประเทศคนเดียวที่มีภูมิหลัง
ทางวิชาการ
มีประสบการณ์และรอบรู้มากกว่าชาวต่างประเทศคนใดที่บันทึกเรื่องราวของชาว
สยามในยุคกรุงศรีอยุธยา
หมอแกมเฟอร์เข้ามาอยู่อยุธยาเพียง 2 เดือน
แต่เรื่องราวในบันทึกของเขาเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยเป็น
อย่างมาก ทั้งเรื่องการคลี่คลายการสืบราชสมบัติของพระเพทราชา
บ้านเมืองของสยาม
รวมทั้งการเยือนมหาเจดีย์องค์"สำคัญ"องค์หนึ่งของชาวสยาม
ที่เขาระบุตามคำบอกเล่าของขุนนางระดับสูงแห่งราชสำนักว่า "
เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชัยชนะเหนือหงสาวดี โดยพระนเรศวร"
พร้อมภาพวาดลายเส้นรูปทรงสัญฐานเจดีย์โดยละเอียด
ปริศนาเจดีย์ยุทธหัตถีจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อมีวิชาการรุ่นใหม่นำเรื่องราวในบันทึกมาเป็นข้อเสนอโดยสรุปว่า"
เจดีย์ยุทธหัตถีควรจะอยู่ที่ทุ่งภูเขาทอง พระนครอยุธยานี้เอง"
ซึ่งก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับโดย"ตรง"จากนักวิชาการรุ่นเก่าและผู้ชื่นชมพระ
ราชพงศาวดารมากนัก แต่ในทาง"อ้อม" อนุสรณ์สถานพระนเรศวรทรงม้าขนาดใหญ่
กลับถูกสร้างขึ้นบริเวณด้านทิศเหนือในช่วงระยะเวลาไมกี่ปีมานี้
รวมทั้งการจัดงานระลึกมหาวีรกรรม
ในวันกองทัพไทยก็เลือกเจดีย์ภูเขาทองเป็นสถานที่จัดงาน
.......
คนไทยนี้น่ารักนะครับ ปากว่าตาขยิบ น้ำร้อนปลาเป็น
น้ำเย็นปลาตาย
ไม่ทำให้เรื่องราวที่เชื่อไม่เหมือนกันมากระทบกระเทือนความรู้สึกกันและกัน
โดยเฉพาะความเชื่อเนี่ย ทะเลาะกัน เกลียดกัน
ฆ่ากันมานักต่อนักแล้ว......
เจดีย์ภูเขาทอง
เป็นเจดีย์เพียงองค์เดียวในคติพุทธบูชาหลังสงครามเพื่อระลึกถึงการปลดแอก
ซึ่งนำไปสู่การฆ่าฟันและทำลายล้างชีวิตศัตรู
หรือจะเป็นหนึ่งในเจดีย์ที่สร้างขึ้นในยุคสมัยของปริศนามหาวีรกรรม
หรือไม่ ......ไม่ใช่เรื่องสำคัญของปริศนาครับ
ปริศนาของเรื่องไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวหรือประวัติศาสตร์
แต่หลักฐานที่เป็นรูปทรงสัญฐานต่างหากที่ยืนยันความสำคัญของมหาเจดีย์องค์นี้
ปริศนาที่ถูกปกปิดโดยประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง
หากท่านได้ลองอ่านประวัติของมหาเจดีย์องค์นี้ ในหนังสือหรือใน web
ก็นำเสนอประวัติการสร้างเหมือนกันว่า "
สร้างขึ้นโดยบัญชาของบุเรงนอง กะยอดินนรธา"
แต่การสวมพระเจดีย์ทรงย่อมุมสิบสอง บ้างก็ยกให้พระนเรศวรสร้าง
แต่แปลกที่ว่า
เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองเป็นคติการสร้างหลังสมัยพระเจ้าปราสาททอง
ห่างจากพระนเรศวรราว 50 ปี หรือจะมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองเกิดขึ้นแล้ว
ดังความพยายามอธิบายเจดีย์สุริโยทัยว่าสร้างขึ้นในสมัยพระมหาจักรพรรดิของ
นักวิชาการอวุโสท่านหนึ่ง ปริศนาต่อมาคือ "เจดีย์องค์นี้ทรุดโทรมลง
ถูกบูรณะและสร้างเจดีย์(ย่อมุมไม้สิบสอง)ขึ้นใหม่ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรม
โกษ " ห่างจากสมัยแรกสร้างถึง 140 ปี
ที่น่าฉงนก็คือ ลายเส้นของหมอแกมเฟอร์ในยุค 80 ปี
หลังการสร้าง กลับมีรายละเอียดไม่ต่างจากพระเจดีย์ในปัจจุบัน ?
แล้วจะมาสร้างเจดีย์ภายหลังในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษได้อย่างไร
?นอกจากการบูรณะใหญ่ ?
การบูรณะครั้งใหญ่ในปี 2541
ทำให้เห็นรากฐานเดิมและรากฐานที่มีการสร้างทับ มีการบูรณะถึง 4 ครั้ง
ครั้งสุดท้ายอยู่ในสมัยของจอมพล ป.
พิบูลสงครามและเชื่อว่าในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ได้มีการซ่อมแซมจริง
แต่ไม่ได้มีการสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่
การซ่อมในครั้งนั้นพบรอยร้าวก่อเป็นช่องอากาศขนาดใหญ่
แยกส่วนของผิวนอกกับแกนในออก
จึงต้องใช้เทคนิคการฉีดซีเมนต์เพื่อยึดเข้าด้วยกัน
จากการบูรณะทำให้เรารู้ว่าการสร้างทับในครั้งแรกนั้น
เกิดขึ้นร่วมสมัยกับการสร้างครั้งแรก
นั่นก็คือสร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระนเรศวรราชาธิราชนั่นเอง
การบูรณะในครั้งนี้ได้เปิดเผยความจริงบางอย่างของการสร้างมหาเจดีย์ที่เป็น
ปริศนามายาวนาน
เจดีย์องค์นี้ สร้างขึ้นโดยสองกษัตราผู้ยิ่งใหญ่
หรือสร้างขึ้นโดยสองจักพรรดิราชา.....แห่งสุวรรณภูมิ
ระบบการปกครองและการควบคุมคนในสมัยโบราณ
มีคัมภีร์ทางศาสนาความเชื่อ
และคติชนมาเป็นตัวกำหนดโครงสร้างและรายละเอียด ในยุคสมัยของบุเรงนอง
ระบอบการปกครองแบบจักรพรรดิราชา ผู้ครอบครองทวีปทั้งสี่
ผู้เป็นจักรพรรดเหนือราชา ครอบครองสัญลักษณ์แก้วเจ็ดประการ อันได้แก่
ช้างแก้ว ม้าแก้ว จักรแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ลูกแก้ว
การสงครามขยายพระราชอาณาจักรคือการขยายทิศจักรวรรดิในไตรภูมิ
ในประวัติศาสตร์ไม่เข้าใจเรื่องคติชน จึงเอาเรื่องของช้างแก้ว
กลายเป็นเรื่องการอ้างขอช้างเผือกของพระมหาจักรพรรดิเป็นเหตุของการสงคราม
และเหตุที่พระมหาจักรพรรดิประกาศตนเป็นเจ้าแห่งราชาทั้งปวงเช่นกัน
จักรพรรดิราชามีได้เพียงองค์เดียว
สงครามระหว่างทวีปจึงเกิดขึ้นและก็เป็นเรื่องราวของการเสียเอกราชของสยามใน
ประวัติศาสตร์ แต่ในศาสนาความเชื่อ พระเจ้าบุเรงนอง
ได้เข้าครอบครองทวีปทั้ง 8 ทิศ
โดยสมบูรณ์และได้สร้างพระราชวังของผู้ใต้การปกครองของจักรวรรดิ
รอบพระที่นั่งของพระองค์ที่หงสาวดี
เป็นสัญลักษณ์"ศูนย์กลางของจักรวาล"
ดั่งที่เกิดพระราชวังโยเดียในหงสาวดีเพื่อเป็นที่ประทับของพระมหาจักรพรรดิ
แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าบุเรงนอง จะสร้างมหาเจดีย์รูปทรงปิรามิด
ที่มีสัญฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
ย่อชั้นปะทักษิณขึ้นไปมีบันไดทางขึ้นทั้งสี่ทิศในทุกแว่นแคว้นที่ทรงครอบ
ครองได้ คติของเจดีย์ คือการสร้าง"เขาพระสุเมรุ"
ในสัญลักษณ์ของจักรวาลทั้งสิ่ทิศ ด้านบนเป็นสถูปในพระพุทธศานา
รูปทรงโอคว่ำ ครึ่งวงกลม
ปัจจุบันยังพบเจดีย์รูปทรงเดียวกันนี้ทั่วไปในประเทศพม่า
ด้วยสัญลักษณ์มงคลพระสุเมรุของมหาเจดีย์รูปทรงปิรามิดที่มีขนาดใหญ่ที่
สร้างขึ้นในสมัยของบุเรงนอง ชานกรุงศรีอยุธยา เมื่อสิ้นรัชกาล
พระนเรศวรราชาธิราช
ผู้ได้รับการถ่ายทอดศิลปะวิทยาการครั้งไปปะกันตนในราชสำนักบุเรงนอง
พระองค์ได้รับการสั่งสอนมาจากบุเรงนองโดยตรง
จักรวรรดิราชหงสาวดีได้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว
จักรพรรดิราชาพระองค์ใหม่ จะเกิดขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา
สงครามปลดแอก สงครามกู้เอกราช หรือสงครามปราบกบฏ ใด ๆ
ก็ตามจึงเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนานในสมัยของพระองค์
นั่นคือการสถาปนาระบอบจักรพรรดิราชาขึ้นใหม่
มหาเจดีย์ทุ่งภูเขาทอง จึงมิใช่เป็นเพียงสัญลักษณ์
อนุสรณ์สถานหรือที่ระลึกในมหาวีรกรรมคราวพระมหาอุปราชา
ด้วยความสำคัญมันมีมากกว่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์หลายเท่านัก
พระนเรศวรราชาธิราช ทรงโปรดให้สร้างพระสถูปทรงสยาม
บนสัญลักษณ์"เขาพระสุเมรุ"ของจักรวรรดิราชาแห่งหงสาวดี ในความหมายว่า
"นับแต่นี้ไป
กรุงศรีอยุธยาคือจักรพรรดิราชเหนือราชาแห่งหงสาวดีและราชาทั้งปวง"
สัญลักษณ์ใหม่เกิดขึ้น พร้อมกับการขยายพระราชอาณาจักรแห่งจักรวรรดิ
ออกไปทุกทิศทาง พิชิตกัมพูชา มาลายู เชียงใหม่ ล้านช้าง หงสาวดี
มอญและครอบครองเบลกอล เปิดสถานีการค้าของสยามอยุธยาเป็นครั้งแรก
นำมาสู่ความมั่นคงและมั่งคั่งของมหานครกรุงศรีอยุธยาในยุคสมัยต่อมา
พระมหาเจดีย์ทุ่งภูเขาทอง
จึงเป็นสัญลักษณ์ของสองมหาจักรพรรดิราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอุษาคเนย์หรือ
สุวรรณภูมิ ในยุคสมัยหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงเจดีย์ยุทธหัตถี
แต่เป็นมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงศรีอยุธยา
สัญลักษณ์แห่งมหาจักรวรรดิ ผู้ปกครองทวีปทั้งสี่
ผู้ครอบครองแก้วเจ็ดประการหรือผู้ปกครองโลกในไตรภูมิ 2 พระองค์
สถิตอยู่ที่นี่ มหาปิรามิดแห่งอยุธยา ยอดชฎา ...ฐานรามัญ
มหาเจดีย์ ยอดชฎา...ฐานรามัญ
ยังคงตระหง่านเหนือทุ่งภูเขาทอง
เป็นหลักฐานความยิ่งใหญ่ที่เก็บงำปริศนาจากอดีตไว้ให้เราได้ชื่นชมค่ะ.....
อ่างเก็บน้ำหน้าวัดภูเขาทอง เป็นสถานที่พักผ่อน ยิ่งยามเย็นพระอาทิตย์กำลังจะตก หากอยู่ในช่วงฤดูฝนด้วยแล้วบรรยากาศดี ทำให้คิดเรื่องราวอะไรต่างๆได้มากมายค่ะ
ถ้าได้มีโอกาสผ่านมาอีกก็ลองแวะสักการะดูนะคะ...รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ