จิตตปัญญาเวชศึกษา 153: Positive and Negative Campaign


Positive and Negative campaign

ทุกปีในเดือนธันวาคมและเดือนมกราคมผมจะได้มีโอกาสทำกิจกรรมกับนักศึกษาแพทย์ปีที่ 4 คือ block health promotion (การสร้างเสริมสุขภาพ) และได้เห็นการเติบโตของทั้งปัจเจกบุคคลและทั้งยุค นั่นคือ เด็กที่เราเห็นธรรมดาๆตอนราวน์คนไข้ ตอนนั่งเรียนในห้องบรรยาย ได้ออกมาแสดงอะไรๆที่น่าทึ่งแก่เพื่อนๆและอาจารย์ และความสามารถในเรื่องการใช้ IT หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประกอบการสื่อสารนั้น เรียกว่าเป็นช่วงผันผ่านของยุคสมัยจริงๆ

โครงการสร้างเสริมสุขภาพที่น้องๆนักเรียนแพทย์นำเสนอ จะเป็นอะไรที่เน้นที่พฤติกรรม นั่นคือลดพฤติกรรมเสี่ยงและเสริมสร้างพฤติกรรมที่จะเป็นฐานของสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ รวมแล้วจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้นในกลุ่มเป้าหมาย เรื่องนี้ว่าแต่ทฤษฎีอย่างเดียวไม่เห็น​ (และไม่สนุกด้วย) ต้องลงมือกระทำ ไม่ว่าจะเอาจริงๆจังๆไปเลย หรือเป็น simulated ก็ตาม เราจะได้เห็นว่าการที่มนุษย์จะเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ คือ มันไม่ได้มาตามตรรกะเหตุผลซะทีเดียว แต่ "แรงด้านอารมณ์" นั้นเยอะมาก และมนุษย์ฝั่ง "วิทยาศาสตร์" มักจะบอก (หรือหลอก) ตัวเองว่าอารมณ์ความรู้สึกเป็นอะไรที่เราไม่ใคร่ถนัดนัก ขอเอาแต่ (หรือแค่) เหตุผลก็พอ แต่จะพบในภายหลังว่าที่แท้จริงแล้ว ทุกคน (มนุษย์) มีอารมณ์ และอารมณ์เป็นแรงผลักดันพฤติกรรมทั้งภายในและภายนอกที่สำคัญ เพียงแต่การควบคุม รู้จัก และใช้ด้านนี้ให้เป็นประโยชน์ ก็จำเป็นต้องมีทักษะเหมือนๆกับความรู้ทุกชนิด และทักษะที่ว่านี้ไม่มีทางลัด จะต้องมาจากการปฏิบัติจริง ฝึกจริง ซ้ำแล้วซ้ำอีก และข้อสำคัญคือนำเอาประสบการณ์ที่ทำ มาใคร่ครวญไตร่ตรองให้ลึกซึ้งต่อไป

ในเครื่องมือ empowerment ที่ WHO แยกแยะมา มี 3 หมวดคือ enabling, mediating, และ advocating ผมแปลง่ายๆไว้ว่า "ทำได้ ทำง่าย" เป็นสองอย่างแรก ส่วน advocating คือการ "รณรงค์" ให้เกิดการรับรู้ว่า "ต้องทำ ควรทำ และน่าทำ" รวมเป็น "แรง 5 ประการ" ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

บทความนี้จะขอพูดเฉพาะสามประการสุดท้าย คือการรณรงค์ ที่เน้นเรื่อง​ "การรับรู้ของคน" ว่าทำอย่างไร จะเกิดความรู้สึกว่า ต้องทำ ควรทำ และน่าทำ

CAMPAIGN การรณรงค์

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และพบบ่อยมากในชีวิตประจำวันก็ว่าได้ ด้วยสาเหตุบางประการ การ "ขับเคลื่อนผู้คนมวลมาก" กำลังเป็นปัจจัยที่ห้าในการดำรงชีวิตไปซะแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ว่ากฏ ไม่ว่าระเบียบ ไม่ว่ากฏหมาย ไม่ว่าศีลธรรม ศาสนา จรรยา จริยะ ฯลฯ กลายเป็นคำที่ถูก mock ล้อเลียน ขาดความ "ศักดิ์สิทธิ์" อย่างตะก่อนไปอย่างน่าสนใจมาก สิ่งที่ว่ามาจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ไร้ประสิทธิภาพไปโดยปริยาย อาจจะถึงขนาดใคร quote ขึ้นมา ก็จะถูกโห่ฮา เหยียดหยาม ไปเลยทีเดียว

แล้วเขาใช้อะไรกัน?

การรณรงค์สำหรับ mass หรือคนมากๆนั้น มีสองเวที คือ เวทีจริง ที่เผชิญหน้ากัน เนื้อต่อเนื้อ ปากกับหู มือกับตัว ระหว่างคนเชื้อเชิญกับผู้ถูกเชื้อเชิญ อีกแบบหนึ่งเป็นแบบที่มี media คือสื่อต่างๆคั่น อาทิ ทางวิทยุ ทีวี และที่ทรงพลังอำนาจมากในปัจจุบันคือ internet นั่นเอง

แบบแรกนั้นท้าทายและใช้ "พลังฝีมือ" เยอะ แต่แบบหลังกำลังจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นๆ คนทำสามารถทำได้แม้ว่าสามารถขยับนิ้วได้นิดเดียว แต่ขอให้พิมพ์ keyboard ได้ ก็จะกลายเป็น campaigner มือฉมังไปได้อย่างอัศจรรย์ แต่ว่ามานี้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะในขณะที่มีคนทำสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะพาไปขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกก็ตาม ก็ยังมีคนที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น เจอะเจอแต่อุปสรรค ก่อให้เกิดความเครียดอย่างยิ่ง

นี่ก็จะเป็นสิ่งที่น้องๆหมอจะต้องเผชิญของจริงในอนาคตอันใกล้ จะพบว่าการรณรงค์ healthy behaviors นั้น แม้ตามเนื้อผ้าน่าจะง่าย แต่คนเรานั้นทำดีแม้แต่กับตัวเองก็สามารถกลายเป็นสิ่งยากไปได้ หากข้อมูลมันเข้ามาไม่ดี หรือเจอตอขวางทางอยู่ จะขอเอาเฉพาะการรณรงค์สองแบบ คือ positive campaign คือ การรณรงค์ให้เกิดอารมณ์ด้านบวกผลักดันหรือฉุด และ negative campaign อันนี้จะใช้อารมณ์ด้านลบผลักดันหรือฉุด อารมณ์บวกได้แก่ ความรัก ความชอบ ความพึงพอใจ อิ่มใจ ความหวัง ใฝ่ฝัน ศรัทธา ส่วนอารมณ์ลบได้แก่ ความกลัว ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความเศร้า เสียใจ อับอาย อารมณ์ทั้งสองด้านสามารถก่อให้เกิดพฤติกรรมได้ทั้งคู่

ถ้าถามเฉยๆ ก็อาจจะไม่ค่อยมีใครบอกว่าตนเองอยาก หรือกำลังใช้ negative campaign แต่เราจะพบว่า "จำนวนมาก" ที่ใช้ negative campaign เป็นหลักในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้คน

การใช้กฏหมาย บทลงโทษ ปรับ ฯลฯ พวกนี้เป็น negative campaign การทำให้เกิดความ "กลัว โกรธ แค้น" เป็น negative campaign และยั่งยืนอีกต่างหาก การทำให้เกิดความ "อับอาย เศร้า เสียใจ" ก็เช่นกัน และสิ่งที่เราควรจะรู้ก็คือ สาเหตุที่ negative campaign works นั้นก็เพราะ "อารมณ์ด้านลบนั้น สามารถเสพตนเองเพื่อเติบโตได้" ต่างจากอารมณบวกที่เราจะต้องเติมอาหารบวกลงไปเรื่อยๆ หมดเมื่อไรก็หยุด

แต่สิ่งที่อารมณ์ลบทำให้เติบโต ไม่ใช่วุฒิภาวะ หรือปัญญาอะไร มันทำให้ "ตัวมันเอง" ที่จะเป็นแรงผลักดันนั้น ใหญ่ขึ้นๆเรื่อยๆ และต้องการเสพมากขึ้น เหมือนยาเสพติด เช่น เคยฟังคำหยาบขนาดนี้แล้วเฮ แล้วสนุก ทำๆไปมันจะเริ่มจืด ไม่สนุก ต้องหยาบขึ้น โลนขึ้น แปลกใหม่ขึ้น จึงจะ "กระตุ้นได้เท่าเดิม"

บาง campaign ที่ดูเหมือนเป็น positive campaign ก็อาจจะเป็น negative campaign ที่จำแลงมาก็ได้ ได้แก่การรณรงค์ที่ให้ incentive หรือผลตอบแทนที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกิจกรรม หรือพฤติกรรมที่ดีนั้นโดยตรงหรือแม้แต่โดยอ้อม พูดง่ายๆก็คือ bribery หรือการติดสินบนนั่นเอง ได้แก่ เชิญมาร่วมกิจกรรมแล้วจะแจกลูกโป่ง แจกลูกอม แจกเงิน จับฉลากของรางวัล ฯลฯ แม้ว่าจะเป็น campaign ที่ดูเหมือนจะใช้ "อารมณ์บวก" ผลักดัน แต่นี่คือการใช้ความโลภ ความเกียจคร้าน (ที่จะทำงานให้ได้สิ่งที่อยาก) เป็นอารมณ์ลบที่คนตกเป็นทาสได้ง่ายๆ

สิ่งที่น่ากลัวก็คือ แม้ว่า negative campaign จะเหมือนมีประสิทธิภาพ แต่ผลระยะยาวนั้นน่ากลัว เพราะอารมณ์ลบทุกอย่าง มีพื้นฐานร่วมคือการสร้างความไม่พึงพอใจ และที่รุนแรงมากที่สุดคือ "ความกลัว" แต่จะออกมาในพลังงานของโกรธ แค้น ริษยา อาฆาต ไปแทน เมื่ิอไหร่ก็ตาม incentive หมดไป ด้วยความที่ไม่ได้มี positive force ในตัวเองมาแต่แรก ก็ต้องหาทางระบายออกทางอื่นไปแทน

ในการทำ health promotion ที่ยั่งยืน จึงควรจะใช้ positive campaign ที่อยู่ในเนื้อ อยู่ในตัวของกิจกรรม จึงจะเป็นการ "เปลี่ยน" ที่เริ่มจาก inner self ที้แท้จริง ที่เสริม "ตัวตน" ทำให้ตัวตนทีแท้นั้นมีพลัง (empowered) แข็งแกร่งขึ้น มุ่งมั่นขึ้น เพราะมีฐานพลังที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา และจิตสาธารณะ หลังจากที่อัตตานั้นวางลงได้ ไม่มีอะไรที่จะกลัว ไม่มีอะไรที่จะเกลียด ไม่โดนปรับ ไม่โดนลงโทษ แต่ทำไปเพราะจะได้ยกระดับจิตของตนเอง เพื่อความสุขของคนรอบข้าง ของคนที่เรารัก และของคนที่รักเรา

ทฤษฎีเหล่านี้จะเห็นว่าไม่ค่อยจะใช้ได้ในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบที่เน้น "การแข่งขันเปรียบเทียบ" เพราะในวัฒนธรรมการคิดระบอบนี้ จะมีคนมาปัดแข้งปัดขาตลอดเวลา มีคนที่จะต้องเกลียด มีคนที่จะต้องทำลาย มีคนที่จะต้องปฏิเสธ การเมืองในระบอบนี้ก็จะสร้าง "สิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อในการสร้างเสริมสุขภาพ" เพราะเต็มไปด้วย negative campaign

ยังดีที่นานๆ ในกิจกรรมของนักเรียนแพทย์ เราจะเห็น negative campaign หลุดเข้ามา ก็มีบ้างที่บางอย่างอยากจะใช้กฏหมายบังคับ แต่จริงๆแล้วในรัฐศาสตร์นั้นจะนุ่มนวลประนีประนอมกว่าการใช้นิติศาสตร์เยอะ แต่มันทำยากกว่าเท่านั้นเอง

หมายเลขบันทึก: 421988เขียนเมื่อ 23 มกราคม 2011 04:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท