"มาร่วมกัีนสร้างประชาคมการสอนภาษาไทยให้มีหลักการ
มีทฤษฎีและมีชีวิต"
เฉลิมลาภ ทองอาจ
หลังการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษแรกในช่วงปี พ.ศ. 2540
แนวคิดสำคัญที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการออกแบบ
และการจัดการเรียนการสอนของการศึกษาไทยก็คือ
แนวคิดการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child-centered approach)
เนื่องจากแนวคิดนี้มีที่มาจากต่างประเทศ
เป็นผลให้
นักการศึกษาไทยตีความและอธิบายความหมายไปในหลายลักษณะ
ทั้งในแนวทางที่ “สุดโต่ง” เช่นให้ความหมายว่า
เป็นแนวคิดที่ให้อิสระและเสรีภาพแก่ผู้เรียนอย่างเต็มที่
ในการที่จะเรียนรู้ตามความสนใจและความต้องการ
ในขณะที่ส่วนหนึ่งก็อธิบายว่า หมายถึง
การให้ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้ในเรื่องใดๆ ก็ตามด้วยตนเอง
โดยครูมีบทบาทเพียงเป็นผู้สนับสนุน
หาใช่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ดังที่เป็นมา
แต่เดิมไม่
การอธิบายความหมายในหลายลักษณะเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความสับสน
และการขาดซึ่งบรรทัดฐานสำหรับการจัดการเรียนการสอน
เมื่อหลักคิดหรือมโนทัศน์เกี่ยวกับการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางบิดเบือนไป
ย่อมส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน
(misconception) เกี่ยวกับการออกแบบและการจัดการเรียนการสอน เช่น
ครูที่ให้เสรีแก่นักเรียนในการเลือกเรียนตามความสนใจและความต้องการ
ก็จะไม่คำนึงถึงเป้าหมายหรือคุณลักษณะผู้เรียนตามที่สังคมต้องการ
หรือครูที่เห็นว่านักเรียนจะต้องเรียนรู้ด้วยตนเองทุกเรื่อง
ก็จะไม่สนใจการสอนและทิ้งผู้เรียนและห้องเรียนไป เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจมโนทัศน์ทั้งในด้านความหมาย
แนวคิดและหลักการของการสอนที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ
จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้ครูเข้าใจว่า
การสอนที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ “คืออะไร” “มีที่มาอย่างไร”
และ “มีคุณค่าอย่างไร” แล้ว ประเด็นที่สำคัญคือ
จะทำให้ครูเกิดปัญญาว่าจะ “สอนอย่างไร” และ
“พัฒนาการสอนของตนเองอย่างไร” อีกด้วย
ประเด็นหลังนี้นับว่าสำคัญมาก
เพราะการคิดหาวิธีการสอนใหม่ๆ
ย่อมเป็นการพัฒนาและปรับปรุงการสอนของครูเช่นกัน
บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอที่มาของแนวคิดการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางประการหนึ่ง
และอีกประการหนึ่งคือ
เพื่อเสนอหลักการสอนและบทบาทของครูที่ใช้แนวคิดนี้
แนวคิดการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เมื่อพิจารณาที่มาในแง่ของปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนรู้พบว่า
มีรากฐานมาจากปรัชญาการศึกษาพิพัฒนนิยม (Progressivism)
ซึ่งมี
นักปรัชญาคนสำคัญคือ Dewey (1859 – 1952) สำหรับ Dewey นั้น
เขามีแนวคิดสรุปได้ว่า
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและเรียนรู้จากการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
ร่วมกับผู้อื่น
และการเรียนรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลได้รับเสรีภาพ
ในการเข้าไปร่วมทำกิจกรรมที่มีความหมายต่อตนเอง
ดังนั้นความรู้ในแนวคิดของ Dewey
จึงเกิดขึ้นจากการที่บุคคลประยุกต์ใช้ประสบการณ์เดิมในการดำเนินการแก้ปัญหาใหม่
(Rowe, 2010: online)
การจัดการศึกษาจึงควรมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับ
“กระบวนการเรียนรู้” (learning process) ของนักเรียน
มากกว่าความรู้หรือความสามารถที่ครูมี
นักเรียนจะต้องได้รับการสนับสนุนหรือส่งเสริมให้ใช้กระบวนการสร้างประสบการณ์
จากการได้ลงมือปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามจากข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับ
เพื่อนำไปสู่การใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้
นักเรียนตามแนวคิดของปรัชญานี้ จึงเป็นทั้งนักแก้ปัญหา (problem
solver) และนักคิด (thinker)
โดยครูมีบทบาทในการจัดหรือเตรียมประสบการณ์ที่มีความหมายแก่นักเรียน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ (learn by
doing)
นอกจากพื้นฐานด้านปรัชญาการศึกษาแล้ว
แนวคิดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางยังตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้
(constructivist learning theory)
ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิปัญญานิยม (Cognitivism)
ที่เสนอว่าจิต (mind) จะทำหน้าที่เป็นผู้สร้างความหมาย (maker of
meaning) ด้วยเหตุนี้ ทฤษฎีจึงเชื่อว่าความรู้ใดๆ ก็ตาม
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่บุคคลสร้างขึ้น
จากการได้รับประสบการณ์และการตีความประสบการณ์เหล่านั้น
ทฤษฎีการเรียนรู้
การสร้างความรู้ประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ได้แก่
ทฤษฎีการสร้างความรู้เชิงปัญญา (cognitive constructivism)
ซึ่งมีที่มาจากแนวคิดของ Piaget และ Bruner สำหรับ
Piaget นั้น เขาเสนอว่า
การปรับเปลี่ยนมโนทัศน์และการพัฒนาด้านสติปัญญาเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างปัญญาหรือโครงสร้างความรู้
(cognitive structure/schemata) ที่บุคคลมีอยู่เดิม
กับประสบการณ์ใหม่ที่รับเข้ามา ในขณะที่ Bruner เสนอแนวคิดว่า
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างกระตือรือร้น (active
process)
ที่ผู้เรียนสร้างแนวคิดใหม่บนพื้นฐานความรู้ที่มีในอดีตและปัจจุบัน
และผู้เรียนสามารถที่จะขยายความเข้าใจไปมากกว่าข้อมูลที่ตนเองได้รับ
เพื่อพัฒนาความเข้าใจส่วนบุคคลให้มีความลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น
ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งคือ ทฤษฎีการสร้างความรู้เชิงสังคม (social
constructivism) ซึ่งเสนอโดย Vygotsky
ทฤษฎีนี้อธิบายสรุปได้ว่า
การเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพของผู้เรียนจะ เกิดขึ้นได้
มิได้อาศัยแต่เพียงตัวผู้เรียนเท่านั้น
แต่จะต้องอาศัยความช่วยเหลือของบุคคลที่มีความสามารถ
ด้วยเหตุนี้ ครูจะต้องใช้วิธีการเสริมสร้างศักยภาพ
(scaffolding)
เพื่อสนับสนุนผู้เรียนให้สามารถปฏิบัติงานและบรรลุซึ่งความสำเร็จ
แทนที่จะปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติงานเพียงลำพัง (Feldman และ McPhee,
2008: 54-56)
เมื่อพิจารณาบทบาทของผู้เรียนและผู้สอน
ตามทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้ข้างต้น
ผู้เรียนจึงมีบทบาทที่สำคัญยิ่ง ในฐานะที่เป็นนักสำรวจที่กระตือรือร้น
(active discoverers) โดยมีเป้าหมายการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้
(knowledge construction) จากภายใน
มิใช่ให้ได้มาซึ่งความรู้ (knowledge acquisition) จากภายนอก
ครูจะไม่ละทิ้งผู้เรียนให้เรียนรู้เพียงลำพัง แต่จะมีบทบาทเป็น
ผู้กระตุ้นและอำนวยความสะดวก
โดยจัดประสบการณ์หรือกิจกรรมเพื่อท้าทายให้ผู้เรียนได้ลงมือแก้ปัญหาด้วยการปฏิบัติจริง
นักเรียนต้องได้รับโอกาสให้ประยุกต์ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนกับสถานการณ์จริง
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการคิดระดับสูง
สำหรับหลักการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้สามารถสรุปได้ดังนี้
(Hein, 1991: online)
1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างกระตือรือร้น
(active process)
ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสในการรับข้อมูลและสร้างความหมายจากข้อมูลนั้น
(constructs meaning) มิใช่
การรอรับข้อมูลความรู้ที่ปรากฏหรือ “มีอยู่” อยู่แล้ว
2. บุคคลเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ขณะที่กำลังเรียนรู้ (people
learn to learn as they learn)
การเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมที่สำคัญคือ การสร้างความหมาย
และการสร้าง “ระบบ” ของความหมาย
3. กระบวนการสร้างความหมายเกิดขึ้นภายในจิตใจ
แม้ว่าการได้รับประสบการณ์ตรง (hands-on experience)
หรือประสบการณ์ทางภายภาพจะมีความสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนที่อยู่ในวัยเด็ก
แต่การรับประสบการณ์ลักษณะนี้ยังไม่เพียงพอ
ผู้เรียนจำเป็นจะต้องได้รับประสบการณ์จากกิจกรรมการสะท้อนหรือไตร่ตรองความคิด
(reflective activity) ของตนเอง
เท่ากับที่ได้รับจากประสบการณ์ตรงอีกด้วย
4. การเรียนรู้ต้องอาศัยภาษา
ภาษาเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ จากการวิจัยพบว่า
บุคคลพูดกับตนเองขณะที่กำลังเรียนรู้
ดังนั้นในการจัดโปรแกรมหรือสื่อต่างๆ
ควรที่จะใช้ภาษาแม่เป็นสื่อที่สำคัญ
5. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมทางสังคม (social activity)
การเรียนรู้ของปัจเจกบุคคลมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพฤติกรรมหรือการแสดงออกของบุคคลอื่นๆ
เช่น ครู หรือเพื่อนร่วมชั้น เนื่องจากการศึกษาในรูปแบบเดิม
มักจะใช้การจำแนกหรือโดดเดี่ยวผู้เรียนจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอื่นๆ
ให้เหลือแต่เฉพาะความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ระหว่างผู้เรียนกับสิ่งที่เรียน ด้วยเหตุนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้ จึงเสนอว่า
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นลักษณะที่สำคัญของการเรียนรู้
ดังนั้นควรส่งเสริมให้ผู้เรียนสนทนาและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
6. การเรียนรู้เกิดขึ้นโดยอาศัยบริบท
บุคคลไม่สามารถเรียนรู้ด้วยการแยกข้อเท็จจริง
ทฤษฎีหรือสิ่งที่มีลักษณะที่เป็นนามธรรมจากบริบทของชีวิตจริงได้
สิ่งที่บุคคลเรียนรู้มักสัมพันธ์กับความเชื่อ หรือความรู้สึกต่างๆ
อันเป็นบริบทชีวิตของแต่ละคน
7. การเรียนรู้ต้องอาศัยระยะเวลา
ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนรู้มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยฉับพลันทันที
การเรียนรู้ที่มีนัยสำคัญ ผู้เรียนจะต้องทบทวนความคิด
ไตร่ตรองและสะท้อนความคิดพอสมควร
และหลังจากที่ไตร่ตรองหรือสะท้อนความคิดในสิ่งที่เรียนแล้ว
ผู้เรียนจะตระหนักว่าเกิดผลผลิตของความคิดที่มีคุณค่า
8. แรงจูงใจเป็นกุญแจสำคัญของการเรียนรู้
ผู้เรียนจำจะต้องทราบหรือมีความเข้าใจเสียก่อนว่า
ความรู้ที่ตนเองสร้างขึ้นจะสามารถนำไปใช้อย่างไร
เพราะหากผู้เรียนไม่ทราบว่า
สิ่งที่ตนเองจะต้องเรียนหรือสร้างเป็นความรู้ของตนเองนั้น
เรียนหรือสร้างไปเพื่ออะไรแล้ว
ผู้เรียนก็จะไม่สนใจที่จะประยุกต์ความรู้ที่ตนเองมีอีกต่อไป
หลักการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ข้างต้น
ทำให้สามารถสรุปความหมายของการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางว่า
เป็นการดำเนินการใดๆ ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้
หรือสร้างความหมายจากประสบการณ์ที่ได้รับด้วยตนเอง
โดยใช้ การคิดไตร่ตรอง การสืบสอบ
การแก้ปัญหา การค้นพบและการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น
ขณะที่ครูจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก
ในด้านการจัดสิ่งแวดล้อมและบริบทต่างๆ
เพื่อให้ผู้เรียนมีความพร้อม
และมีเสรีภาพในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดกระทำข้อมูลที่ได้รับมาอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ หลักการที่กล่าวมาข้างต้นยังทำให้สามารถวินิจฉัยได้ว่า
การสอนที่ให้เสรีภาพ
หรือให้ผู้เรียนได้เลือกในสิ่งที่ตนเองต้องการและถนัดในทุกเรื่องนั้น
เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
เพราะหากแม้ผู้เรียนมีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
แล้วเรียนรู้โดยปราศจากการสร้างความหมาย หรือสร้างเป็นความรู้ของตนเอง
ก็ย่อมแสดงว่าผู้เรียนมิได้เป็น “ศูนย์กลาง”
แห่งความหมายหรือความรู้ของตนเองแต่อย่างใด
แต่ยังคงเป็นผู้รอรับความรู้เฉพาะในเรื่องหรือประเด็นที่ตนเองสนใจ
และเป็นสิ่งที่ผู้อื่นได้สร้างหรือเสนอไว้แล้ว
การให้เรียนตามที่สนใจจึงไม่อาจเป็นตัวชี้วัดว่า
ผู้เรียนสร้างความหมายหรือความรู้จากประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เรียน
เพราะผู้เรียนอาจจะยังไม่ใช้การคิดไตร่ตรอง (reflective thinking)
ซึ่งเป็นความคิดระดับสูง
ในการประเมินปัญหาและประเมินวิธีการที่ใช้แก้ไข ซึ่งจะเห็นได้ว่า
มีความลุ่มลึกลงไปลงไปกว่าเพียงความชอบ-ไม่ชอบ
ซึ่งเป็นปัจจัยด้านอารมณ์เท่านั้น นอกจากนี้
ประเด็นเรื่องเสรีภาพที่ควรให้แก่ผู้เรียน
แท้ที่จริงมิใช่การให้เสรีภาพใน “สิ่ง” หรือ “เนื้อหา”
ที่จะเรียน แต่เป็นเสรีภาพแห่งปัญญา (freedom of intelligence) ดังที่
Dewey (1997: 59-61) กล่าวไว้ในหนังสือ Experience and
Education สรุปได้ว่า เสรีภาพเพียงประการเดียวที่มีความสำคัญยิ่งคือ
เสรีภาพทางปัญญา
ที่ผู้เรียนจะได้เสรีภาพในการสังเกตและฝึกหัดตัดสินใจ
(ในการจัดกระทำกับข้อมูลหรือปัญหา-ผู้เขียน)
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าภายในเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นครูจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ชี้แนะ สั่ง
หรือทำตนราวกับว่าตนเองเป็นหัวหน้า
มาสู่การเป็นผู้นำกลุ่มในการทำกิจกรรม
นอกจากพื้นฐานด้านปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนรู้แล้ว
แนวคิดการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ยังได้รับการขับเคลื่อนและผลักดันจากข้อบังคับด้านกฎหมายระหว่างประเทศ
และกฎหมายภายในประเทศ
สำหรับที่มาในด้านการยกย่องและให้สิทธิแก่เด็กและเยาวชนนั้น
สามารถนับย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1989
ในการประชุมกำหนดปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (the convention on the
rights of the child) ขององค์การ UNICEF
ได้เสนอหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน
เป็นที่มาให้ทุกประเทศต้องดำเนินการจัดการศึกษา
โดยคำนึงถึงหลักการเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของเด็กและเยาวชน
สรุปได้ดังนี้ (The office of the united nations high commissioner
for human rights: 2007: online)
1. เด็กทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการพัฒนาศักยภาพของตน
ความแตกต่างด้านเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา
ความพิการหรือความผิดปกติ
หรือข้อจำกัดในลักษณะอื่นใดจะต้องไม่เป็นข้อจำกัดที่จะมาขวางกั้นในการคุ้มครองสิทธิ
2. การปฏิบัติ การกระทำหรือการตัดสินใจใดๆ
จะต้องมุ่งความสนใจมาที่เด็กและเยาวชนเป็นอันดับแรกว่า
พวกเขาจะได้รับผลกระทบใดๆ จากการตัดสินใจนั้นหรือไม่
และเด็กจะต้องได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี เช่น ในภาวะสงคราม
การปฏิรูปเศรษฐกิจ เป็นต้น
3. เด็กทุกคนจะได้รับสิทธิในการอยู่รอดและการพัฒนา
ด้วยการเข้าถึงการบริการพื้นฐานและโอกาสในการบรรลุซึ่งศักยภาพของตนเอง
นโยบายแห่งรัฐและกฎหมายจะต้องให้ความคุ้มครองสิทธิเด็กข้อนี้ในทุกกรณี
4. มุมมองของเด็กจะต้องได้รับความเคารพ
ความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของเด็กในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ
เป็นศูนย์กลางในการตระหนักในสิทธิของพวกเขา
สำหรับแนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย
เกี่ยวกับการศึกษา
ปรากฏหลักการที่จัดเจนในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
2542 ในหมวด 4
แนวการจัดการศึกษา มาตราที่ 22 ที่ระบุว่า
“การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ”
และในมาตราที่ 24 ยังได้กล่าวถึงหลักการจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้
ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของการสอนก็จะพบว่า
หลักการนี้ก็คือหลักการสอนของครู และบทบาทที่ครูจะต้องปฏิบัติ
ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2546: 7-8)
1.
จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์
และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น
รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ
อย่างได้สัดส่วนสมดุล รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม
ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชา
5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ
สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน
และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้
รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
ทั้งนี้
ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่
มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง
และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
จะเห็นได้ว่า
ความเชื่อว่าผู้เรียนมีศักยภาพเรียนรู้ได้ และการตัดสินใจใดๆ
ย่อมต้องพิจารณาโดยมีเด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้น
ปรากฏอยู่ในแนวคิดของกฎหมายทั้งสองฉบับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ซึ่งใช้เป็นหลักในการจัดการศึกษาทุกระดับของประเทศไทย
ด้วยเหตุนี้
แนวคิดการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจึงมีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษา
ทั้งในด้านเป้าหมาย หลักการ หลักสูตร
การสอนและการประเมินผลการเรียนรู้
โดยเฉพาะประเด็นด้านการออกแบบและการจัดระบบการสอนนั้น
ได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นระดับปฏิบัติการ
ซึ่งถือว่ามีความใกล้ชิดกับผู้เรียนมากที่สุด
ผู้เรียนจะสร้างความรู้ได้จริงหรือไม่ก็อยู่ในระดับนี้
นักการศึกษาจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจหลักการสอน
ซึ่งเป็นเรื่องที่มีขอบเขตจำกัดลงมาจากการจัดการศึกษา
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีหลักการที่สำคัญ
ทั้งในส่วนบทบาทของผู้เรียนและบทบาทของครู สรุปได้ดังนี้
(Eder, Eichelberger และFriedrich, 2010: online)
1. การกำหนดทิศทางบนความต้องการของผู้เรียน (orientation on the
needs of children) หมายถึง การจัดบทเรียน (lesson)
จะต้องดำเนินการโดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
และได้ใช้ความต้องการของเขา ตัวอย่างเช่น
การให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการวางแผน
และการออกแบบหัวข้อหรือหน่วย (topics/units) ของการเรียนการสอน
การให้โอกาสผู้เรียนในการกำหนดโครงสร้างเงื่อนไขการเรียนรู้ของตนเอง
ได้แก่ เวลา สถานที่ และเพื่อนที่จะทำงานด้วย (partners)
เป็นต้น
2. การเรียนรู้ด้วยการควบคุมตนเองอย่างกระตือรือร้น (active
self-regulated learning) หลักการนี้หมายถึง
ครูจะต้องจัดการเรียนการสอนและกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้แสวงหาความรู้อย่างกระตือรือร้น
ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความซับซ้อน
สะท้อนและไตร่ตรอง
การเรียนรู้ของตนเอง วางแผนการเรียนรู้ด้วยความรับผิดชอบ
และสามารถที่จะอธิบายการเรียนรู้ของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น
ศึกษาวิจัยและทำงานกับประเด็นทางวิชาการที่สำคัญ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
โดยเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ทำงานอย่างอิสระกับหนังสือเรียน
นำเสนอผลการค้นคว้า
ทำงานและอภิปรายในประเด็นทางวิชาการร่วมกับผู้อื่น
และสามารถที่จะไตร่ตรองผลงานของตนเอง
3. การออกแบบบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดี (well
designed learning environment) หมายถึง
ครูจะต้องออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดี
ซึ่งผู้เรียนสามารถที่จะปฏิบัติงาน
เพื่อพัฒนาสมรรถนะในด้านนิสัยการนำตนเอง (self-directed manner)
ให้สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง ตัวอย่างเช่น
การออกแบบภาระงาน กิจกรรม วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ
การจัดเตรียมห้องสมุดที่เป็นมิตรแก่ผู้เรียน (friendly
libraries) ห้องเรียน สตูดิโอ
สวนหรือบริเวณสำหรับพักผ่อน
4. การเรียนรู้ด้านสังคมเป็นวิธีการและเป็นเป้าหมาย (social
learning as a method and a goal) หมายถึง
การเรียนรู้ของผู้เรียนจะต้องได้รับการออกแบบให้เป็นกระบวนการทางสังคมในลักษณะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
(shared social process) อย่างไรก็ตาม
ผู้เรียนก็สามารถที่จะนำเสนอความต้องการของตนเองต่อกลุ่ม
หรือสามารถที่จะเรียนรู้เพียงลำพังก็ได้
ตัวอย่างกิจกรรมเช่น การวางแผนร่วมกัน (cooperative
planning) การปฏิบัติงานเป็นทีมและกลุ่ม
การวางรูปแบบองค์กรทางสังคมในลักษณะต่าง เช่น กลุ่มอภิปราย
สภานักเรียน
การแสดงตัวอย่างความเคารพผู้อื่นและการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
เป็นต้น
5.
ผู้เรียนมีความเข้าใจที่กว้างขวางเกี่ยวกับการปฏิบัติงานและความสามารถของตน
(broad understanding of performance and abilities)
หลักการข้อนี้หมายถึง
ผู้เรียนไม่เพียงแต่แสดงการปฏิบัติงานหรือความสามารถตามที่โรงเรียนกำหนดเท่านั้น
แต่ยังจะต้องสามารถพัฒนาความสามารถส่วนตัว
เพื่อนำมาใช้ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นและพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองอีกด้วย
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น
การพัฒนากลยุทธ์การเรียนรู้อย่างมีความหมาย (meaningful learning
strategies)
แทนที่จะเป็นการเรียนรู้ในลักษณะการรับแต่เพียงอย่างเดียว
ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามข้อบังคับของโรงเรียน
มีความรับผิดชอบสมกับวัยวุฒิ
พัฒนาตนเองทักษะหรือความสามารถส่วนตัว อย่างต่อเนื่อง
6. ครูใช้การประเมินการปฏิบัติเพื่อกระตุ้นนิสัย (addressing
performance assessments in an encouraging manner) หมายถึง
การที่ครูจะต้องให้โอกาสนักเรียนในการแสดงศักยภาพหรือความสามารถที่ได้รับการพัฒนา
รวมทั้งการให้ผลป้อนกลับในลักษณะที่เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า
นักเรียนจะมีวิธีปฏิบัติงานนั้นให้สำเร็จได้อย่างไร
ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีเครื่องมือสำหรับประเมินตนเองศักยภาพและความสามารถของตนเอง
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น ให้ผู้เรียนพิจารณาความสามารถของตนเองว่า
มีประเด็นใดที่ยังต้องปรับปรุงหรือพัฒนา จัดทำแฟ้มสะสมงาน
(portfolios) เพื่อนำเสนอผลการเรียนรู้ของตนเอง
รวมถึงข้อแนะนำได้รับเพิ่มเติมจากครู
และประเมินการปฏิบัติงานและกระบวนการที่ใช้
7.
การสร้างชุมชนของโรงเรียน (conductive school community)
หลักการข้อนี้เป็นหลักการเกี่ยวกับการจัดการบริบทของผู้เรียน หมายถึง
การที่ผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียนและผู้ปกครอง
ประสานความร่วมมือ
โดยให้ความเคารพกันและกันในการสร้างชุมชนของโรงเรียน
ตัวอย่างกิจกรรมเช่น
การสร้างความสัมพันธ์และความรู้สึกที่ไว้วางใจกัน
ระหว่างครูและนักเรียน
ครูและผู้ปกครองให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของโรงเรียนอย่างเต็มที่
พัฒนาและคงไว้ซึ่งศักยภาพของครูและนักเรียนในการสร้างและไตร่ตรองความสัมพันธ์ระหว่างกัน
หลักการต่างๆ ข้างต้น
ทำให้สามารถขยายความคิดและเปิดประเด็นมุมมองต่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางว่า
แนวคิดนี้มิใช่แนวคิดเกี่ยวกับ “การเรียนการสอน”
หรือเป็นเรื่องระหว่างครู ผู้เรียน และองค์ความรู้เท่านั้น
แต่เป็นแนวคิดที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการที่ครูจะออกแบบและสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้
การวัดประเมิน การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องกับผู้เรียนทุกฝ่าย
เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีความสำคัญ
และเป็นศูนย์กลางของการจัดการศึกษาอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม
จุดเน้นจะอยู่ที่การให้ความสำคัญต่อผู้เรียน
ในฐานะที่ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้สร้างความหมายจากประสบการณ์ที่ตนเองได้รับ
ใช้การพิจารณาไตร่ตรองและสะท้อนความคิดอย่างสุขุมรอบคอบ
มียุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและการดำเนินการ
ซึ่งเป็นการพิจารณาลงไปในระดับรายละเอียดว่า
ผู้เรียนเกิดกระบวนการทางปัญญาอย่างไร ณ ขณะนั้นบ้างส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งคือบทบาทของครูที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วม
ในการเสริมสร้างและอำนวยความสะดวกผู้เรียน
และจัดการเกี่ยวกับการเรียนการสอน
เพื่อให้เอื้อต่อศักยภาพของผู้เรียนมากที่สุด ทั้งนี้
ผู้สอนตามทฤษฎี การเรียนรู้การสร้างความรู้
หรือตามแนวคิดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ย่อมไม่อาจละทิ้งผู้เรียนให้เรียนรู้ตามลำพังได้
เพราะเป็นการขัดกับหลักทฤษฎี
ผู้สอนตามแนวคิดนี้จำจะต้องมีบทบาทใกล้ชิดกับผู้เรียน
ในการที่จะติดตามและหาทางช่วยเหลือผู้เรียน
ในส่วนที่ผู้เรียนยังไม่บรรลุซึ่งความสำเร็จ
เพื่อให้ก้าวข้ามพ้นอุปสรรคการพัฒนา
หรือลดช่องว่างพื้นที่การพัฒนาของผู้เรียนลงให้น้อยที่สุด
_______________________________________
รายการอ้างอิง
ภาษาไทย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. 2546.
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 [Online].
แหล่งที่มา:
http://www.gad.ku.ac.th/PDF/Legislation/prb_study%202542(final).pdf
ภาษาอังกฤษ
Dewey, J. 1997. Experience and
education. New York: Simon & Schuster.
Eder, F, Eichelberger, H., Friedrich, M. X. 2010.
Child-centered education [Online]. Available
from:
http://www.koeck-stiftung.at/downloads/paedagogik/child-centered%20education.pdf
Feldman, J. and McPhee, D. 2008. The Science of Learning and
the Art of Teaching. New York: Thompson.
Hein, G. E. 1991. constructivist learning theory
[Online]. Available from:
http://www.exploratorium.edu/IFI/resources/constructivistlearning.html
[2010 November, 8].
Rowe, R. 2010. Progressivism [Online] Available
from: http://www.rrowe.net/about-
me/tp/progressivism [2010 November, 9].
The office of the united nations high commissioner for human
rights. 2007. Convention on the rights of the
child [Online]. Available from:
http://www2.ohchr.org/english/law/crc.htm
[2010
November, 8].