การพัฒนาหลักสูตรบนกระบวนทัศน์ที่ขัดแย้ง
เฉลิมลาภ ทองอาจ
การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 เริ่มมีการกล่าวถึงการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะกับบริบทของไทยและความเป็นสากล แต่คำถามสำคัญที่นักหลักสูตร หรืออันที่จริงควรจะได้แก่ครูผู้สอนก็คือ กระบวนทัศน์แบบใดที่ควรจะนำมาใ้ช้ในการพัฒนาหลักสูตรกันแน่ ระหว่างกระบวนทัศน์ที่ศรัทธารูปแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (subject-matter) กับหลักสูตรรูปแบบที่เน้นสมรรถนะ/ทักษะชีวิต (competencies/life skills)
หลักสูตรคือประสบการณ์ต่างๆ ที่สถานศึกษาจัดให้แก่ผู้เรียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณลักษณะและค่านิยมที่เหมาะสมตามที่ได้กำหนด การจัดการศึกษาจึงไร้เสียซึ่งหลักสูตรมิได้ เพราะหลักสูตรย่อมกำหนดเป้าหมาย สาระความรู้ วิธีการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลผู้เรียนไว้อย่างครบถ้วน เพื่อใช้เป็นแนวทางสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนา สำหรับ ประเทศไทย หลักสูตรการศึกษาของชาติได้รับการพัฒนาและปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีการปรับปรุงหลักสูตรให้มีลักษณะที่อาจต่างไปในแต่ละสมัย แต่การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาชาติเท่าที่ผ่านมา ยังคงปรากฏว่าผู้สร้างหลักสูตรใช้กระบวนทัศน์เดิมในการพัฒนาหลักสูตร กล่าวคือ เป็นการพัฒนาหลักสูตรบนกระบวนทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับความรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับ หรือก็คือกระบวนทัศน์การพัฒนาหลักสูตรที่อิงปรัชญาการศึกษากลุ่มสารัตถนิยม (Essentialism) หรือการเน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาสาระทางวิชาการด้านต่างๆ จำนวนมาก ในขณะที่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนอย่างสมดุล เน้นทักษะชีวิตและการสร้างประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียนให้มากที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานจากปรัชญาการศึกษาพิพัฒนนิยม (Progressivism) ทำให้นักหลักสูตรในปัจจุบันกำลังเกิดปัญหาในเรื่องการออกแบบหลักสูตรและทำให้เกิดปัญหาวิกฤติ ซึ่งเป็นปัญหาด้านปรัชญาและทฤษฎีหลักสูตรที่สำคัญว่า “หลักสูตรสำหรับศตวรรษใหม่ของสังคมไทยควรเป็นอย่างไร”
สำหรับกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (focused on subject matter) นั้นเห็นว่า หลักสูตรการศึกษาควรที่จะบรรลุความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเตรียมผู้เรียนให้ก้าวเข้าสู่ยุคสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สังคมที่ถือว่าการมีความรู้คือการมีอำนาจ คือสามารถสร้างความได้เปรียบให้แก่ตนเอง ในการใช้ความรู้พัฒนางานหรือวิชาชีพให้มีมูลค่าและระดับที่สูงขึ้น หลักสูตรการศึกษาของชาติทุกฉบับที่ได้สร้างขึ้น ล้วนแต่เกิดจากกระบวนทัศน์ที่เน้นเนื้อหาความรู้ทั้งสิ้น แม้แต่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ก็เป็นหลักสูตรแกนวิชา (core curriculum) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีลักษณะสำคัญคือ เป็นหลักสูตรพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องศึกษา โดยโครงสร้างของเนื้อหาจะมีเนื้อหาความรู้ที่สำคัญสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งในปัจจุบันจำแนกได้ถึง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ประโยชน์ของหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาความรู้คือ ทำให้ผู้สร้างหลักสูตรมีความสะดวกในการเลือกเนื้อหาวิชาที่จะนำมาใช้สอน ผู้ใช้หลักสูตรคือครูในสถานศึกษาจะรู้สึกว่าสามารถดำเนินการเรียนการสอนได้ง่ายและควบคุมเวลาได้ เนื่องจากเนื้อหาถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบ ในรูปแบบของสาระการเรียนรู้รายปีและรายภาค ครูสามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระและความรู้ได้คราวละมาก ๆ และวัดประเมินผลการเรียนรู้ได้ง่าย ซึ่งส่วนใหญ่เน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้ของผู้เรียน อย่างไรก็ตามหลักสูตรที่ออกแบบโดยเน้นเนื้อหาความรู้ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในแนวคิดการออกแบบที่ขัดกับหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ธรรมชาติและพัฒนาการของผู้เรียน กล่าวคือมีความมุ่งหมายของหลักสูตรแคบเกินไป เพราะเน้นแต่ด้านพุทธิพิสัยหรือความสามารถในเชิงวิชาการ ทำให้ไม่ครอบคลุมพฤติกรรมและพัฒนาการด้านอื่นของผู้เรียน เช่น อารมณ์ เจตคติ ค่านิยม และทักษะด้านสังคม หรือทักษะชีวิตด้านอื่นๆ นอกจากนี้การจัดเนื้อหาสารที่แยกเป็นแต่ละวิชาไม่เกี่ยวข้องกัน ทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจภาพรวมของสิ่งที่เรียน และเนื้อหาที่เรียนบางเรื่องไม่คำนึงถึงความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
จากประเด็นปัญหาข้างต้นจึงได้เกิดข้อเสนอเพื่อให้มีการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาชาติให้เน้นสมรรถนะ/ทักษะชีวิต (competencies/life skills) มากยิ่งขึ้น แนวคิดของหลักสูตรที่อิงสมรรถนะหรือทักษะนี้ (competencies-based curriculum) เป็นแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรที่ได้รับความสนใจในระยะเวลาไม่นานมานี้ โดยในระยะแรกได้มีการนำไปใช้กับหลักสูตรวิชาชีพ ซึ่งต้องการสมรรถนะหรือความเชี่ยวชาญในทักษะการปฏิบัติระดับสูง เช่น วิชาชีพแพทย์ พยาบาล เป็นต้น ภายหลังจึงได้ขยายมาสู่การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะและความสามารถในการลงมือปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนในการดำเนินชีวิตจริงมากกว่าหลักสูตรที่อิงความรู้เป็นฐาน ลักษณะที่สำคัญของหลักสูตรอิงสมรรถนะคือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลักษณะของเนื้อหาสาระและการจัดจะเน้นการจัดระบบข้อมูล และมีการกำหนดความรู้เรียงลำดับจากพื้นฐานไปสู่เนื้อหาที่ลึกขึ้น ดังนั้นในการจัดประสบการณ์ ครูจะต้องจัดประสบการณ์ตามลำดับจากความรู้พื้นฐาน กระทั่งเกิดเป็นความชำนาญและสามารถทำงานที่ยากขึ้นได้ และในการประเมินผล ครูจะเป็นผู้พิจารณาประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานของผู้เรียนเป็นสำคัญ สำหรับสมรรถนะที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการสื่อสารและใช้ภาษา ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นต้น
ดังที่กล่าวมาหลักสูตรอิงสมรรถนะจึงเป็นหลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติจริง มุ่งให้ผู้เรียนถ่ายโยงการเรียนรู้สู่การใช้ทักษะชีวิตในด้านต่างๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นการรับประกันว่าความรู้ที่ได้ศึกษาสามารถนำมาใช้ได้จริง หลักสูตรรูปแบบนี้จึงมีคุณค่ามากกว่าหลักสูตรอิงเนื้อหา ซึ่งเป็นแต่เพียงองค์ความรู้ที่อาจจะไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงเลยก็เป็นได้ ด้วยความแตกต่างของแนวคิดรูปแบบหลักสูตรทั้ง 2 รูปแบบ ทำให้เกิดภาวะการตัดสินใจที่ยากลำบาก เกี่ยวกับการออกแบบหลักสูตรสำหรับการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ว่าควรมุ่งเน้นไปในทิศทางใด เพราะการตัดสินใจที่โน้มเอียงไปด้านใดหน้าหนึ่ง อาจก่อให้เกิดคำถามตามมาหลายกรณี เช่น การมีแต่เพียงกระบวนการหรือทักษะแต่ปราศจากความรู้เป็นสิ่งที่ดีจริงหรือไม่ หรือความรู้ที่ไม่สามารถนำไปใช้ ยังควรที่จะบรรจุไว้ในหลักสูตรหรือไม่ เป็นต้น หลักสูตรของชาติฉบับปัจจุบันดูเหมือนว่าพยายามที่จะสร้างความสมดุลระหว่างความรู้และกระบวนการด้านทักษะชีวิต แต่ในการปฏิบัติคือ นักการศึกษายังคงให้ความสำคัญกับเนื้อหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มากกว่าสิ่งที่ผู้เรียนปฏิบัติได้ หลักสูตรจึงยังคงเน้นเนื้อหาวิชาและไม่อาจทำให้การสร้างทักษะกระบวนการเกิดขึ้นจริง ปัญหาการศึกษาที่ผู้เรียนเรียนแล้วไม่สามารถประยุกต์ความรู้ถ่ายโยงไปยังสถานการณ์อื่นๆ ได้ จึงยังคงดำเนินอยู่ และเป็นวิฤติสำคัญประการหนึ่งของการศึกษาไทยปัจจุบัน